บทที่ 118
ชำระแค้น
ทันทีที่สำนักผู้ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับตระกูลเย่ทราบข่าว พวกเขารีบสั่งให้ลูกน้องถอนกำลังออกจากหน้าคฤหาสน์ตระกูลเย่อย่างไม่รอช้า เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับเย่เย่ที่กำลังเดินทางกลับมายังบ้านของตน แต่ทว่า…
“เพิ่งมาถอนกำลังอะไรป่านนี้ ไม่คิดว่ามันสายไปบ้างหรือไง?” เสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีดังขึ้นข้างหลังพวกเขาอย่างเยือกเย็น เมื่อพวกเขาหันกลับไปก็ปรากฏให้เห็นใบหน้าอันเย็นชาของเย่เย่ สีหน้าของพวกเขาซีดเผือดลงราวกับเห็นผี
“ท่านเย่ พวกข้าเพียงหลงผิดไปชั่วขณะ ได้โปรดยกโทษให้พวกข้าด้วย ไม่ว่าท่านจะเรียกร้องอะไรข้า อู๋เทียนจะทำตามที่ท่านประสงค์ทุกประการ!” อู๋เทียนเดินแหวกฝูงชนออกมาเพื่อเจรจากับชายผู้กลับมาทวงแค้น แม้ว่าเขาจะบรรลุขั้นเทพยุทธ์แล้ว แต่ชายแก่ก็รู้ดีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เย่ที่อยู่ในระดับเทพอสูรเลยสักนิด
“ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วยเถิด ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านไปตลอดชีวิตเลย” เฉินเทียนตงและหลิวเหาหลานที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งเทพยุทธ์ ทั้งสองคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตจากเย่เย่เช่นเดียวกับตาแก่อู๋เทียน
อย่างไรก็ตามความผิดของพวกเขานั้นเกินกว่าจะให้อภัย เย่เย่มองพวกเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนพูดขึ้นอย่างประชดประชัน “พวกท่านนำกำลังมาปิดล้อมบ้านข้า แล้วยังจะมีหน้ามาอ้อนวอนขอชีวิตอีกงั้นรึ!? น่าขันเสียจริง”
เมื่อจ้าวสำนักทั้งสามได้ฟังคำพูดประชดประชันของเย่เย่ พวกเขาก็อดกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บแค้นเสียไม่ได้
ในขณะนั้นเองเย่เทียนที่ทราบว่าเย่เย่กลับมาถึงแล้ว เขาก็นำกำลังออกมาสนับสนุนลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขา เช่นเดียวกับเหล่ยเชิง และเหล่ยถิงทั้งสองได้นำกำลังจอมยุทธ์ฝีมือฉกาจออกมาปิดกั้นทางหนีทีไล่ของกบฏทั้งสามด้วยเช่นเดียวกัน
กำลังของสามสำนักกบฏหันซ้ายที ขวาทีก็พบว่าพวกเขากำลังติดอยู่ในวงล้อมของฝ่ายพันธมิตรเข้าให้เสียแล้ว
“ยอมแพ้ซะเถอะ พวกข้าได้ปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว!”
เย่เทียนมองอู๋เทียนด้วยสายตาอาฆาตมาดร้ายอย่างไม่เคยมีมาก่อน เห็นได้ชัดว่าไฟแค้นที่สั่งสมอยู่ในอกของเขาใกล้จะปะทุขึ้นมาทุกทีแล้ว
“ไม่ว่าใครก็ห้ามออกไปจากที่นี่” เหล่ยเชิงจ้าวสำนักจ้าววายุตะเบ็งเสียงลั่น เหล่าจอมยุทธ์ของเขาต่างฮึกเหิมจากคำพูดปลุกใจของเขา
จากการประจันหน้ากันระหว่าง 3 กบฏ และ 2 พันธมิตรเห็นได้ชัดว่าหากไม่มีศพคงไม่จบลงง่ายๆ
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้อู๋เทียนก็ตระหนักขึ้นได้ว่าอ้อนวอนขอชีวิตไปก็เปล่าประโยชน์ เขาจึงรวบรวมแรงกายแรงใจ ตะโกนออกคำสั่งลูกน้องของเขาอย่างสุดเสียง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่น้องอารามเจ้าวรยุทธ์ทั้งหลายจงฟังข้า! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราจะสู้จนตัวตาย!”
“ฆ่ามันนนนนนน!” เสียงกู่ร้องของศิษย์อารามจ้าววรยุทธ์ดังกึกก้องไปทั่วเมืองเฟิงเจิ้น พวกเขาคว้าอาวุธของตนพุ่งเข้าห้ำหั่นเย่เย่อย่างไม่เกรงกลัวความตาย
เมื่อหลิวเหาหลาน และเฉินเทียนตงเห็นพรรคพวกของเขาฮึดสู้ พวกเขาจึงสั่งให้บรรดาลูกน้องของเขาทำตามคำสั่งของอู๋เทียนเพื่อหวังเอาจำนวนเข้าสู้
“มัดรวมกันแล้วเข้ามาพร้อมกันให้หมดเลย!” เย่เย่กวักมือท้าทายด้วยท่าทีเย้ยหยัน
ราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ทันทีที่เย่เย่ควักกระบี่เทพอัสนีออกมาใช้ สายฟ้าสีม่วงก็ผ่าลงมากลางสมรภูมิ และทุกครั้งที่เขากวัดแกว่งมันศัตรูก็ล้มตายลงทีละคน สองคน จนซากศพกองเป็นภูเขาเลากา
ในชั่วอึดใจ ศัตรูทั้งหมดรวมไปถึงจ้าวสำนักทั้งสามก็สยบลงแทบเท้าของเย่เย่ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ สภาพไม่ต่างอะไรไปจากนรกภูมิเลยแม้แต่น้อย เห็นทีว่าตระกูลเย่ถึงคราวต้องทำบุญขึ้นบ้านใหม่กันยกใหญ่เลยทีเดียว
“ยะ…ยินดีด้วยขอรับท่านเย่ที่ท่านสามารถปราบกบฏและนำความสงบสุขมายังเฟิงเจิ้นได้อีกครั้ง!” หลังจากการต่อสู้จบลง เหล่ยเชิงเป็นคนแรกที่แสดงความยินดีต่อเย่เย่ ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าหดหู่ เหล่ยถิงและจอมยุทธ์สำนักจ้าววายุคนอื่นๆก็สรรเสริญเย่เย่เป็นเสียงเดียวกัน
เย่เทียนที่แม้ว่าเขายังตกตะลึงกับสถานการณ์เบื้องหน้าเขาอยู่ ก็เดินข้ามซากศพเข้ามาโผกอดเย่เย่ที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของอริศัตรูนับไม่ถ้วน
“ลูกเย่ ขอบใจเจ้ามาจริงๆ ตระกูลเย่ต้องพึ่งพาเจ้าอีกแล้ว”
“ขอบคุณนายน้อย” ภายใต้การนำร่องของเย่เทียน เหล่าคนใช้ตระกูลเย่ก็ประสานมือทำความเคารพต่อเย่เย่อยู่ห่างๆ
“ลุกขึ้นเถอะ!” เย่เย่ยกมือให้สัญญาณทุกคนที่กำลังทำความเคารพเขาอยู่ ก่อนหันหน้าไปหา
เหล่ยเชิงและพูดขึ้น
“ข้าขอขอบคุณสำนักจ้าววายุที่ให้การสนับสนุนตระกูลเย่เป็นอย่างดีมาโดยตลอด เพื่อเป็นการตอบแทนข้าขอยกสำนักกระบี่จรัสแสงที่ไร้ผู้นำให้ท่านจัดการ!”
“ขอบคุณท่านเย่ ได้โปรดวางใจ สำนักจ้าววายุจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเฟิงเจิ้นจะไร้ซึ่งสำนักกระบี่จรัสแสง” เหล่ยเชิงไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเย่เย่ และรับมันไว้ด้วยใจจริง
เย่เย่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนหันหน้าไปพูดกับพ่อของตนด้วยเช่นกัน “ท่านพ่อสำนักอัคคีเป็นของท่านแล้ว! ถึงเวลาที่ตระกูลเย่ของพวกเราจะต้องขยับขยายอิทธิพลบ้างแล้ว”
“ลูกเย่ อย่าได้เป็นกังวลไป ข้าจะทำให้พวกสำนักอัคคีได้รู้ซึ้งถึงผลลัพธ์ของการเป็นปฏิปักษ์กับพวกเรา!” นับว่าหาได้ยากที่เย่เทียนจะแสดงสีหน้าเอาจริงเอาจังออกมาเช่นนี้
“เช่นนั้นพวกท่านเริ่มดำเนินการได้!”
“รับทราบ!” ทั้งตระกูลเย่ และสำนักจ้าววายุต่างตอบรับเย่เย่อย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปเตรียมการให้พร้อมสรรพ และเคลื่อนพลไปยังสำนักทั้งสองดังกล่าว
มีเพียงเย่เย่เท่านั้นที่กลับเข้าบ้าน ล้างเนื้อล้างตัวที่ เปรอะเปื้อนเลือด พลางครุ่นคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับอารามจ้าววรยุทธ์ แม้ว่าเขาจะไม่ลงรอยกับอู๋เทียนเป็นทุนเดิม แต่กับฉินหมิงและคนอื่นๆนั้นทำให้เขาลำบากใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ว่าคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก แต่เมื่อเขาหัวถึงหมอนความคิดเหล่านั้นก็พลันหายไป เขาสลบไสลไปด้วยความเหนื่อยล้า
ในวันถัดมาเขาตื่นขึ้นพร้อมกับได้ยินข่าวดี ตระกูลเย่และสำนักจ้าววายุได้เข้ายึดสำนักอัคคีและสำนักกระบี่จรัสแสงเป็นที่เรียบร้อย แต่ทว่าทันใดนั้นเอง ฉินเจิ้นตูประมุขของอารามจ้าววรยุทธ์ก็ได้ขอเข้าพบเขาพร้อมกับฉินหมิงผู้เป็นบุตรเพื่อขอโทษและอธิบายเรื่องราวทั้งหมดต่อเย่เย่
ฉินเจิ้นตูนั้นได้รับบาดเจ็บอย่างหนักและต้องเข้ารักษาตัวเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้อำนาจส่วนใหญ่ตกไปอยู่ในมือของอู๋เทียน จนเป็นเหตุให้เขาใช้อำนาจบาตรใหญ่นี้ในการก่อเหตุโดยพลการ ซึ่งกว่าที่ฉินเจิ้นตูจะทราบเรื่องมันก็สายเกินไปเสียแล้ว…