บทที่ 152
วิกฤติตระกูลหยาง
“รับทราบขอรับ…” เจิ้งซูที่เพิ่งหลุดพ้นจากกองงานมหาศาลก็รับปากเย่เย่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก
ในขณะเดียวกันโจวหลางและคณะเดินทางของเขาต่างพากันตกตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของเย่เย่ ก่อนหน้านี้พวกเขาเอาแต่คิดว่าเย่เย่ที่พวกเขารู้จักเป็นเพียงแค่คนที่ชื่อแซ่เดียวกันกับประธานหอการค้าหยูเย่ที่เห็นได้ดาษดื่นทั่วไปในแผ่นดินจีน อีกอย่างเย่เย่นั้นดูอ่อนวัยกว่าที่พวกเขาคิดไว้มากจึงไม่มีใครรู้สึกเอะใจเลยแม้แต่คนเดียว
มีเพียงลี่เฉียนเฟิงที่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากนัก เพราะเขาได้คาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของเย่เย่เอาไว้แล้ว แต่อย่างไรก็ตามความยิ่งใหญ่ของหอการค้าหยูเย่นั้นเหนือความคาดหมายของเขาอยู่มาก ทำให้การแสดงออกทางสีหน้าของเขาแทบไม่ได้ต่างจากคนอื่นมากนัก
เย่เย่ไม่ได้อธิบายอะไรกับพวกเขาเพิ่มเติม เพราะทันทีที่เขากลับมาถึงก็มีกลุ่มพนักงานระดับสูงของหอการค้ารายเรียงต่อแถวเข้ามารายงานสถานการณ์แก่เขาอย่างไม่ขาดสาย
“ท่านเย่ หวางฉีเจี่ยตามด้วยศิษยานุศิษย์แห่งสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายพร้อมที่จะเข้าร่วมการประลองยุทธ์ที่จะจัดขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้าตามที่ตกลงกันไว้แล้วเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านเย่จะส่งใครเข้าร่วมประลองในนามของหอการค้าดีเจ้าคะ?” หลังจากที่ทราบสถานการณ์ของธุรกิจอย่างคร่าวๆจากพนักงานระดับสูงแล้ว เสวี่ยหยูก็ได้เข้ามารายงานแก่เขา
“ไม่ต้องห่วงเสวี่ยหยู ข้ามีตัวเลือกในใจแล้ว” เย่เย่สังเกตเห็นขอบคล้ำใต้ตาของเสวี่ยหยูก็รู้ได้ทันทีว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่นั้นนางได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปขนาดไหน เขาจึงบอกให้นางกลับไปพักผ่อนและปล่อยให้ที่เหลือเป็นหน้าที่ของเขาเอง
เมื่อเสวี่ยหยูออกไป เย่เย่ก็ได้ตกอยู่ในภวังค์ความคิดอีกครั้ง ทั้งหอการค้าหยูเย่และสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายนั้นต่างเป็นถึงสองยักษาที่ทรงอิทธิพลในภูมิภาค งานประลองยุทธที่จะจัดขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้านี้ย่อมดึงดูดผู้ชมมากมายจากทั่วทุกสารทิศ ดังนั้นเย่เย่จึงหมายมั่นปั้นมือใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงแสนยานุภาพของหอการค้าที่เหนือกว่าทั้งสำนักดาบและตำหนักประกายแสงให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง
“ท่านเย่ วันก่อน ‘หยางซื่อไห่’ ผู้นำตระกูลหยางของเมืองเซียงเฉิงได้มาขอความช่วยเหลือจากท่านขอรับ เขาต้องการขอกำลังเสริมจากท่านเพื่อรวมเมืองเซียงเฉิงให้เป็นหนึ่ง หากสำเร็จท่านหยางกล่าวว่าตระกูลหยางจะยอมสวามิภักดิ์ต่อหอการค้า หยูเย่ขอรับ”
เสียงรายงานของซูฉีเจี่ยได้ปลุกเย่เย่ขึ้นมาจากห้วงความคิด จากน้ำเสียงที่ตื่นเต้นและแววตาที่เปล่งประกายเห็นได้ชัดว่าซูฉีเจี่ยนั้นเห็นด้วยกับข้อเสนอของชายที่ชื่อหยางซื่อไห่อย่างสนิทใจ เขาคิดว่านี่เป็นโอกาสทำเงินที่หอการค้าหยูเย่ควรคว้าเอาไว้
เนื่องจากหากไม่นับรวมจิ้นเฉิง เซียงเฉิงเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหลิงเฉิงมากนัก และถึงแม้บุคลากรของตระกูลหยางจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่ด้วยธุรกิจของพวกเขาที่มีสาขาทั่วทั้งภูมิภาคและสร้างเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ทำให้ ซูฉีเจี่ยเล็งเห็นโอกาสที่จะทำให้หอการหยูเย่ขยับขยายขึ้นได้อีกในระยะเวลาอันสั้น
“ตระกูลหยางแห่งเซียงเฉิงงั้นรึ? เขาต้องการให้เราช่วยจากอะไร? ทำไมต้องมาขอความช่วยเหลือจากเรา? อธิบายมาให้ละเอียด” เย่เย่นั้นเคยได้ยินเกี่ยวกับธุรกิจอันรุ่งเรืองของตระกูล หยางมาบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้ตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นโดยปราศจากการไตร่ตรอง ด้วยความสงสัยเขาจึงรัวชุดคำถามใส่ ซูฉีเจี่ยอย่างไม่ยั้งปาก
ซูฉีเจี่ยที่กำลังจะเอ่ยปากตอบคำถามก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียบเรียงคำพูดและตอบกลับเย่เย่ไปเท่าที่เขารู้
“การปกครองของเซียงเฉิงนั้นถูกแบ่งออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ โดยตระกูลหยางมีฐานะร่ำรวยที่สุดแต่กลับไร้ซึ่งยอดฝีมือ ราวหนึ่งเดือนก่อนทั้งสี่ตระกูลเริ่มต่อสู้แย่งชิงอำนาจการปกครองสูงสุดของเมือง สมาชิกระดับสูงของตระกูลหยางต่างถูกลอบสังหารจนล้มตายเป็นจำนวนมากโดยตระกูลเฉิน ศัตรูเก่าศัตรูแก่ของพวกเขาที่มีประวัติมาอย่างช้านาน ซึ่งทำให้พวกเขาสูญเสียอำนาจในการต่อกรกับอีก 3 ตระกูล หยางซื่อไห่จึงได้มาขอความช่วยเหลือจากท่านขอรับ”
นอกจากที่ชื่อเสียงของเย่เย่เป็นที่กล่าวขานไปทั่วภูมิภาคในฐานะผู้โค่นล้มมูหลงแล้ว เมืองหลิงเฉิงยังใกล้กับเมืองเซียงเฉิงที่สุดเมื่อเทียบกับเมืองที่ตั้งของตำหนักประกายแสงและสำนักดาบบูรพาไร้พ่าย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จ้าวตระกูลหยางจะดั้นด้นมายังหอการค้าหยูเย่เพื่อขอความช่วยเหลือ
เย่เย่นิ่งไปสักพัก ก่อนจะออกคำสั่งแก่ซูฉีเจี่ย
“ไปเรียกเขามาพบข้าเดี๋ยวนี้”
“ขอรับ” ซูฉีเจี่ยผสานมือตอบรับคำสั่งขอเย่เย่และเดินออกไปอยู่พักหนึ่ง ก่อนกลับเข้ามาพร้อมกับชายสูงวัยผู้หนึ่งที่รูปร่างหน้าตาดูมีสง่าราศี
ชายชราผู้นี้คือหยางซื่อไห่ จ้าวตระกูลหยางแห่งเมืองเซียงเฉิง เมื่อเดินตามซูฉีเจี่ยเข้ามายังห้องรับรองแขก เขาก็ประสานมือโค้งคำนับเย่เย่ด้วยท่าทีที่เป็นมิตร
“หยางซื่อไห่ ทำความเคารพท่านประธานเย่” แม้ว่าชายชราจะประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นเย่เย่ยังดูอ่อนวัย แต่เขาก็ให้ความเคารพเย่เย่อย่างจริงใจ
“ท่านหยาง เชิญนั่งลงก่อน ข้าทราบเรื่องของท่านแล้ว แต่สมาชิกของข้านั้นกำลังอยู่ในระหว่างการฝึกฝน ข้าเกรงว่าการขอความช่วยเหลือนั้นอาจจะมีราคาที่ต้องจ่าย” เย่เย่ลุกขึ้นรับการคำนับ และผายมือเชิญให้ชายแก่นั่งลง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบพูดเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว
หยางซื่อไห่ได้ยินเช่นนั้นก็ผงะกับความเถรตรงของเย่เย่ เขาจึงยิ้มเจื่อนๆออกมาด้วยความกระอักกระอ่วน
“อย่างที่ท่านทราบตระกูลหยางนั้นไร้ซึ่งยอดฝีมือที่คอยค้ำจุนอำนาจเอาไว้ แต่พวกเรานั้นมีธุรกิจที่ส่งต่อมายังรุ่นต่อรุ่นหลายสาขาทั่วทั้งภูมิภาค หากท่านยินดีที่จะช่วยพวกเรา ข้าก็ยินดีที่จะยกธุรกิจทั้งหมดนอกเหนือจากสาขาหลักในเซียงเฉิงให้กับท่านเพื่อเป็นการตอบแทน”
แม้จะลำบากใจ แต่ชายชราก็เตรียมใจมาเป็นอย่างดี เนื่องจากนี่อาจเป็นทางออกสุดท้ายที่จะช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากวิกฤติในครั้งนี้ได้ ตราบใดที่ตระกูลหยางขึ้นปกครองเซียงเฉิงได้สำเร็จ
ต่อให้เขาต้องสูญเสียเม็ดเงินจำนวนมากแต่หยางซื่อไห่ก็มองว่ามันคุ้มค่า
แต่ทว่าเย่เย่ก็ได้ปฏิเสธข้อเสนอของชายชรา ท่ามกลางสายตาคัดค้านของสมาชิกระดับสูงรวมไปถึงซูฉีเจี่ยที่ฝันเห็นตัวเองแหวกว่ายอยู่บนกองเงินกองทองไปแล้ว
“จริงอยู่ที่ข้อเสนอของท่านหยางนั้นน่าสนใจมาก แต่ต่อให้หอการค้าของข้าไม่รวมกับธุรกิจของท่าน ข้าก็มั่นใจว่าหอ หยูเย่ของข้าจะเติบโตถึงสองเท่าภายในสิ้นปีอยู่ดี ถึงเวลานั้นธุรกิจของข้าคงทิ้งห่างของท่านไปแบบไม่เห็นฝุ่น พูดง่ายๆก็คือข้อเสนอของท่านไม่ได้ส่งผลอะไรกับพวกเราเลยแม้แต่น้อย”
ตั้งแต่เปิดกิจการจวบจนวันนี้หอการค้าหยูเย่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างเป็นประวัติการณ์ จากร้านค้าข้างทางที่เรียกตัวเองว่าเป็นหอการค้าในวันนั้นสู่หอการค้าที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคเป็นรองเพียงสำนักดาบบูรพาไร้พ่าย และตำหนักประกายแสง ดังนั้นเรื่องเงินจึงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรในสายตาเย่เย่เลย
หลังจากฟังคำคุยโวของเย่เย่ สีหน้าของหยางซื่อไห่ก็แสดงให้เห็นถึงความสับสนอย่างบอกไม่ถูก ชายชราคาดไม่ถึงว่าเย่เย่จะปฏิเสธเขาด้วยเหตุผลที่ใจจืดใจดำเช่นนี้ เขาจึงทำตัวไม่ถูกและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้เย่เย่พอใจ
“ได้โปรดเถอะท่านเย่ ตระกูลหยางของข้าแทบไม่เหลืออะไรมาเสนอให้ท่านแล้ว หากท่านไม่ยอมช่วยเหลือพวกข้า พวกข้าก็จนปัญญา” ชายชราพูดด้วยสีหน้าที่น้อยเนื้อต่ำใจ น้ำเสียงของเขาสั่นเครือด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจ สำหรับตระกูลหยางแล้วหอการค้าหยูเย่คือที่พึ่งสุดท้ายของพวกเขา
“ท่านหยาง ท่านทราบใช่ไหมว่าแผ่นดินฉางหลางกำลังตกอยู่ในภัยสงคราม ต่อให้หอการค้าของพวกเราช่วยท่านรวมเซียงเฉินได้สำเร็จ ไม่นานนักเมืองของท่านก็จะติดร่างแหของมันไปด้วย ในเมื่อท่านรู้เช่นนี้แล้วใยท่านจึงลังเลจะเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่นักล่ะ?”
หยางซื่อไห่เมื่อได้ยินคำพูดที่ฉะฉานของซูฉีเจี่ย เขาก็เริ่มตระหนักได้ว่าจากภัยร้ายที่กล้ำกรายเข้ามาในไม่ช้าก็เร็วโชคชะตาก็บีบบังคับให้เข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่อยู่ดี
หลังจากชั่งใจอยู่นาน หยางซื่อไห่ก็ตัดสินใจคุกเข่าต่อหน้าเย่เย่และประกาศกร้าวขึ้น
“ข้า หยางซื่อไห่และตระกูลหยางขอสวามิภักดิ์ต่อหอการค้าหยูเย่ ได้โปรดส่งกำลังพลของท่านไปช่วยตระกูลของข้าด้วยเถอะ!”