บทที่ 153
การตัดสินใจ
ซูฉีเจี่ยและหยางซื่อไห่ต่างรอคอยคำตอบของเย่เย่ด้วยความคาดหวัง แต่คำตอบของเย่เย่นั้นกลับไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคาดคิด
“ดูเหมือนว่าท่านหยางจะไม่ได้เข้าใจอะไรเสียเลย…ได้โปรดกลับไปเถอะ”
เมื่อเย่เย่ปฏิเสธข้อเสนอของชายชราอย่างไร้เยื่อใย เขาก็เดินออกไปจากโถงรับรองในทันที
แม้ว่าจะปฏิเสธไม่ได้ว่าหากตระกูลหยางเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหอการค้าหยูเย่แล้วจะทำให้กิจการของเขาเจริญเติบโตไปอีกระดับหนึ่ง แต่ทว่าเย่เย่นั้นไม่ได้สนใจที่จะขยายอาณาเขตของตน ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ต้องการให้กิจการของเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปสะดุดตาของทัณฑ์สวรรค์อีก
ทันทีที่เห็นหลังของประธานเดินไปจนลิบตา ซูฉีเจี่ยมองชายชราด้วยความรู้สึกผิด และรีบตามเย่เย่ไปเพื่อโน้มน้าวเขาอีกครั้ง
“ท่านเย่ เหตุใดท่านจึงปฏิเสธข้อเสนอของหยางซื่อไห่?” ชายผู้ภักดีถามขึ้นอย่างฉงนใจ
“ข้อเสนอของเขานับว่าไม่เลวเลยทีเดียว แต่ข้าไม่อยากข้องแวะกับปัญหาอื่นๆไปมากกว่านี้แล้ว” เย่เย่ตอบกลับคำถามของซูฉีเจี่ยอย่างไม่อ้อมค้อม
ซูฉีเจี่ยได้ยินแล้วจึงเงียบไปครู่ใหญ่ เขาถอนหายใจ ก่อนถามเย่เย่ขึ้นอีกครั้ง
“ท่านเย่ ท่านเคยได้ยินนามของนิกายลำนำแห่งขุนเขามาบ้างหรือไม่?”
“ก็เคยได้ยินมาบ้าง ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะไม่สามารถทัดเทียมกับนิกายอื่นๆได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอิทธิพลของพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าทั้ง 7 นิกายเลย” เย่เย่พยักหน้าเล็กน้อย พลางสาธยายข้อมูลที่เขาพอจะนึกออก
“นับตั้งแต่ก่อตั้ง นิกายลำเนาแห่งขุนเขานั้นมีหน้าที่รักษาความสงบสุขของแผ่นดินฉางหลาง ทำให้ทั้ง 8 นิกายแห่งราชวงศ์สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมาเนิ่นนาน…”
เมื่อเห็นท่าทีสนอกสนใจของผู้เป็นประธาน ซูฉีเจี่ยก็กล่าวเสริมขึ้น
“แต่เนื่องจากไฟสงครามที่ปะทุขึ้นทุกหนทุกแห่ง ทำให้อิทธิพลของพวกเขาตกต่ำลงอย่างน่าใจหายเหล่ากองกำลังทั้ง 7 ที่มีอำนาจเป็นรองเพียง 8 นิกายแห่งราชวงศ์ก็ได้ส่งกองกำลังเข้าโจมตีนิกายลำนำแห่งขุนเขาเพื่อหมายครอบครอง บ่อน้ำแห่งการเกิดใหม่ เป็นของตน”
“แม้ว่านิกายทั้ง 8 จะเคยร่วมลงนามในสนธิสัญญาว่าจะไม่ก่อสงครามกับนิกายลำนำแห่งขุนเขา แต่เมื่อใดที่นิกายลำนำแห่งขุนเขาถูกทำลายลง สนธิสัญญาทั้งหมดจะเป็นโมฆะ นิกายทั้ง 8 ก็คงไม่ลังเลที่จะก่อสงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจอย่างแน่นอนและมันจะส่งผลกระทบไปทั่วแผ่นดินฉางหลางอย่างรวดเร็ว ข้ารู้ดีว่าท่านไม่เห็นสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายหรือแม้กระทั่งตำหนักประกายแสงอยู่ในสายตาแต่หากท่านไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ ท่านคิดว่าพวกเราจะรับมือกับนิกายทั้ง 8 ได้อย่างไร?” เมื่อซูฉีเจี่ยแสดงความคิดเห็นให้เย่เย่ฉุกคิด เขาก็รอคำตอบของเย่เย่อย่างเงียบๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอเวลาข้าคิดอีกสักสองสามวัน” หลังจากเอามือเท้าคางและขบคิดอยู่นาน เย่เย่ก็ถอนหายใจด้วยความหนักใจ ก่อนขอเวลาในการตัดสินใจเพิ่ม
“เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน” เมื่อเห็นเย่เย่เริ่มตระหนักในสิ่งที่เขาพยายามจะบอก ซูฉีเจี่ยก็ยิ้มออกมาอย่างเบาใจ ก่อนจะปล่อยให้เย่เย่ใช้ความคิดต่อไป
เมื่อซูฉีเจี่ยออกจากห้องไป เย่เย่ก็เชื่อมโยงความเป็นไปได้ต่างๆขึ้นในหัว
แม้ว่าเขาจะไม่เป็นห่วงเรื่องภัยคุกคามจากตำหนักประกายแสง หรือกองกำลังอื่นๆ แต่การรับมือกับนิกายทั้ง 8 ยังเกินมือเขาอยู่มาก ครั้นจะรับข้อเสนอของหยางซื่อไห่เขาก็กังวลกับการถูกทัณฑ์สวรรค์ตามล่า หลังจากครุ่นคิดอยู่นานเขาก็ตัดสินใจเลือกรับข้อเสนอของชายชรา
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เย่เย่ก็เดินทางไปยังสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายเพื่อขอเข้าพบผู้อาวุโสหวางฉีเจี่ย เพื่อหารือเกี่ยวกับการประลองยุทธ์ที่ใกล้เข้ามาทุกที
จากการหาพูดคุยระหว่างทั้งสอง พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าจะจำกัดผู้เข้าร่วมการประลองเฉพาะเหล่าศิษย์และสมาชิกของทั้งสองสำนักเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจากปัจจัยภายนอกที่ยากจะควบคุม
โดยกติกาที่ทั้งสองตกลงร่วมกันคือ ทั้งสองฝ่ายสามารถส่งศิษย์เข้าประลองได้ครั้งละ 1 คนโดยฝ่ายที่อยู่บนสนามนานที่สุดจะเป็นผู้ชนะ
หลังจากที่พวกเขาเสร็จสิ้นการประชุม เย่เย่ก็เดินทางกลับหอการค้าและขึ้นห้องของตนเพื่อบ่มเพาะพลังปราณระดับเทพอสูรขั้นสูงให้เสถียรเตรียมพร้อมสำหรับการเลื่อนขั้นต่อไป
เป็นเวลากว่า 2 วันที่เย่เย่ยังคงหมกตัวอยู่ในห้องและนั่งสมาธิโคจรลมปราณของเขาอยู่เงียบๆ ลี่เฉียนเฟิงและลี่อิงก็ได้เคาะประตูห้องอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีการตอบกลับ ทั้งคู่จึงแง้มประตูเข้ามาอย่างเงียบๆ แต่เย่เย่ก็สัมผัสถึงพวกเขาได้จึงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
สองพี่น้องได้พบกับเย่เย่อีกครั้ง แต่ทว่าสรรพนามที่ทั้งคู่ใช้เรียกเขา รวมไปถึงคำพูดก็ฟังดูเปลี่ยนไป
“ต้องขออภัยด้วยที่ข้ามารบกวนท่านเช่นนี้ และขอโทษด้วยสำหรับเรื่องที่ผ่านๆมา ข้าหวังว่าท่านเย่จะไม่ถือสาเอาความข้า…” ลี่อิงพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆอย่างรู้สึกผิด พลางใช้นิ้วชี้ทั้งสองชนกันและเบือนหน้าหนี
แม้ว่านางจะให้การยอมรับเย่เย่ตั้งแต่ที่เขาได้ช่วยนางและพี่ชายของนางเอาไว้จากกลุ่มอันธพาล รวมไปถึงกลุ่มโจรในหุบเขา แต่ด้วยความปากไม่ตรงกับใจทำให้นางไม่กล้าเอ่ยกับเขาด้วยตัวเอง ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ นางจึงใช้โอกาสนี้ตามพี่ชายเข้ามาเพื่อขอโทษพร้อมกัน
เมื่อเย่เย่เห็นลี่อิงพูดออกมาจากใจ เขาก็ไม่ได้ถือสาอะไร แต่เมื่อนึกถึงความเอาแต่ใจของนาง เย่เย่ก็นึกอยากจะแก้เผ็ดนางขึ้นมา
“ในเมื่อเจ้ารู้ดีว่าเจ้าผิด เจ้าก็เตรียมใจชดใช้เอาไว้แล้วสินะ! ดี! ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องรายงานตัวกับผู้จัดการเสวี่ยและเรียนรู้จากนาง ไว้เจ้าโตขึ้นเมื่อไหร่ข้าจะพิจารณาดูอีกที”
เย่เย่ยิ้มชั่วร้ายออกมา และยีหัวลี่อิงด้วยความหมั่นไส้ปนเอ็นดู
“ข้านึกไม่ถึงเลยว่าท่านเย่จะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้! ข้าไม่ได้มาที่หอการค้านี้เพื่อทำงานเอกสารนะยะ!” พอไม่ได้รับการอภัยอย่างที่ตั้งใจไว้ ลี่อิงก็กลับมาเป็นเด็กที่เอาแต่ใจคนเดิม นางปัดมือของเย่เย่ออกพร้อมลั่นวาจาออกมา
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาต่อรองกับข้า!” เมื่อเห็นไม้อ่อนใช้ไม่ได้ผล เย่เย่จึงปลดปล่อยลมปราณเทพอสูรออกมา ทำให้สีหน้าของสองพี่น้องเปลี่ยนไปในทันที…