บทที่ 162
ไม่เหลือซาก
สิ้นเสียงของเย่เย่ ใบหน้าของผู้คนสกุลเฉินต่างบิดเบี้ยวด้วยความโกรธและสบถถ้อยคำหยาบคายออกมา
“ไอ้โจรถ่อยเอ๊ย!”
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล ปัญหาของเซียงเฉิงก็ต้องให้ชาวเมืองจัดการกันเองสินะ ย่อมได้! ต่อให้ตระกูลหยางจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าจะไม่ก้าวก่ายการต่อสู้ของพวกเจ้า” เย่เย่ประกาศกร้าวด้วยท่าทีมั่นใจ เนื่องจากเขาได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว
“ท่านเย่ หากท่านไม่ช่วยตระกูลหยางของเราต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนขอรับ” หยางเซี่ยงหยุนที่ไม่รู้เรื่องแผนการของเย่เย่ก็กล่าวขึ้นด้วยความกังวล
แม้ว่าหลายคนจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจที่บ้าบิ่นของเย่เย่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านเขาแบบเดียวกับ หยางเซี่ยงหยุน เมื่อไร้ซึ่งเย่เย่ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ หยางซื่อไห่ด้วยความคาดหวัง
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าหยางซื่อไห่จะเตรียมใจมาเป็นอย่างดี หลังจากฟังคำพูดที่ไม่ได้ความของหยางเซี่ยงหยุน เขาก็พูดขึ้น
“ดูเหมือนว่าท่านเซี่ยงหยุนจะโรยราเต็มทีแล้ว ตระกูล หยางของพวกเราเป็นถึง 1 ใน 4 ตระกูลใหญ่แห่งเซียงเฉิงไม่ต่างกับตระกูลเฉิน เมื่อรู้เช่นนี้แล้วพวกเจ้ายังจะหวาดกลัวสิ่งใดกันอยู่อีก!?”
“ไปซะ! ออกไปต่อสู้ให้สมศักดิ์ศรีของตระกูลหยาง” หยางตงหลิงเสริมขึ้น
ทั้งสองปลุกใจกองกำลังของตน กำลังใจที่ถดถอยของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“สหายเอ๋ย จงมากับข้า!” หยางซื่อไห่ชักดาบขึ้นฟ้า พร้อมแผดเสียงกังวานออกมาเป็นสัญญาณเปิดฉากการโจมตี หยางตงหลิงก็ชักม้าตีคู่มากับเขา กวัดแกว่งกระบองปราการเหล็กเข้าห้ำหั่นศัตรูอย่างไร้ความปรานี
“รนหาที่ตายเองนะ! พี่น้องสกุลเฉินจงฟัง อย่าปล่อยให้พวกหยางเล็ดลอดไปได้แม้แต่คนเดียว!” เฉินโหยวตงไม่รอช้า รีบออกคำสั่งกับบริวารของเขา
เมื่อสองฝ่ายเข้าปะทะกัน หยางซื่อไห่ก็ควบม้าฝ่าทัพศัตรูอย่างบ้าคลั่ง เขาตวัดดาบฟาดฟันศัตรูคนแล้วคนเล่า สมรภูมิถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน
หยางตงหลิงเองก็ไม่น้อยหน้า เขาโบกกระบองยักษ์ใส่เหล่าศัตรูจนล้มลงอย่างระเนระนาด แม้ว่าพวกเขาจะพยายามยกดาบขึ้นมาปัดป้อง แต่ก็ไม่สามารถต้านทานเรี่ยวแรงประหนึ่งคชสารของเขาได้เลย
ผู้คนสกุลเฉินต่างตกตะลึงในความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อน พวกเขาพากันถอยร่นออกไปในขณะที่ทัพของหยางบีบไล่เข้ามา
‘ขะ…แข็งแกร่ง’
แม้จะอยู่ท่ามกลางศึกสงคราม แต่สมาชิกสกุลหยางมองชายชราทั้งสองเปลี่ยนไปจากเดิม กำลังใจที่เปี่ยมล้นของพวกเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงมไปค่อนเมืองเซียงเฉิง ไม่นานนักบริเวณรอบคฤหาสน์ของตระกูลเฉินก็เต็มไปด้วยซากศพและกลิ่นคาวเลือด
‘เป็นไปไม่ได้!? ทำไมพวกเขาถึงแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้!’ หยางเซี่ยงหยุนคิดในใจ เขาตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของชายชราทั้งสองที่เพิ่มขึ้นราวกับเป็นคนละคน และด้วยกำลังที่น้อยกว่าเกือบเท่าตัวทำให้เขาไม่เคยคาดคิดว่าตระกูลของเขาจะสามารถเอาชนะตระกูลเฉินได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งเย่เย่ ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความสับสน
“บ้าเอ๊ย! นี่มันไม่ใช่ดาบดาวตกที่ข้ารู้จัก! เย่เย่เจ้าทำอะไรกับพวกเขากันแน่!?” เฉินโหยวตงที่จนมุมก็ตระหนักถึงสาเหตุของความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติของหยางซื่อไห่และหยางตงหลิง ก่อนสบถใส่เย่เย่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“ก็ข้าบอกแล้วว่าจะไม่แทรกแซงการต่อสู้ของพวกเจ้า แต่ข้าไม่เคยบอกสักคำว่าข้าจะไม่สนับสนุนตระกูลหยาง” เย่เย่กล่าวสั้นๆ พลางยักไหล่ขึ้นอย่างไม่รู้ไม่ชี้
เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่ากองกำลังของตระกูลหยางก็เริ่มเข้าใจแผนการของเย่เย่ พวกเขาต่างรู้สึกขอบคุณเย่เย่อยู่ในใจ มีเพียงหยางเซี่ยงหยุนที่รู้สึกเกลียดเย่เย่เข้ากระดูกดำ เพราะในบรรดา 3 เสาหลักของตระกูล เขาเป็นคนเดียวที่เย่เย่ไม่ขัดเกลาอาวุธให้ หนำซ้ำยังปกปิดแผนการในวันนี้อีกด้วย
‘บัดซบ! หรือว่าเย่เย่มันรู้เรื่องที่ข้าแอบสมคบคิดกับพวกซ่งพวกหวังแล้วงั้นรึ!? เป็นไปไม่ได้’
“ตาย ตาย ตาย ตายซะ!” เมื่อหยางเซี่ยงหยุนคิดได้ดังนั้น เขาก็บันดาลโทสะใส่ศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะขึ้นคร่อมและตะบันหมัดใส่หน้าของผู้เคราะห์ร้ายอย่างไม่ยั้งมือจนกะโหลกของเขายุบลงไป ข่มขวัญศัตรูโดยรอบจนพวกมันผวาและหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าตงหลิง กับเจ้าเซี่ยงหยุนเองก็ไม่เลวเลยนี่! เฉินโหยวตงปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!” หยางซื่อไห่ที่รอคอยวันนี้มานาน เขาก็หัวเราะลั่นออกมาอย่างไม่เก็บอาการพลางยกดาบดาวตกขึ้นชี้หน้าศัตรูคู่อาฆาต
“ซื่อไห่! ไอ้ลูกนางโลม!” เฉินโหยวตงแม้ถูกต้อนอย่างจนตรอก เขาก็ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาทางสีหน้า…