บทที่ 192
ต้นตอแห่งหายนะ
เปรี้ยง เปรี้ยงง เปรี้ยงงงงง!
ทั้งคุกใต้ดินเงียบสงัด มีเพียงเสียงวิชาหมัดหักกระดูกของหวางเสี่ยวเท่านั้นที่ยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ระหว่างที่หวางเสี่ยวใช้วิชาหมัด เย่เย่เพ่งจิต รวมศูนย์ปราณไปที่จุดต่างๆ เพื่อป้องกันจุดอ่อนไหว
“นี่น่ะหรือวิชาหมัดหักกระดูกที่เขาร่ำลือ? ช่างด้อยค่าเมื่ออยู่ในมือคนถ่อยเช่นเจ้า” เย่เย่พูดขึ้นท่ามกลางสีหน้าที่ตื่นตระหนกของหวางเสี่ยว และอู๋เซี่ยน
เมื่อผิดหวังกับวรยุทธ์ของทหารเมืองหลวง เขาก็ใช้กำลังสลัดโซ่ตรวนที่ข้อมือจนหลุดออกได้อย่างเหลือเชื่อ
“บ้าน่า แม้กระทั่งโซ่ตรวนที่แข็งแกร่งที่สุด!?” เมื่อเห็นตรวนหล่นลงกับพื้น อู๋เซี่ยนก็ผงะถอยหลังออกไป และชักดาบขึ้นมาป้องกันตัว
“เทพอสูรขั้นสูง!? อู๋เซี่ยนไหนว่าเจ้าบอกว่าเจ้านี่เป็นแค่เทพยุทธ์ไง?” หวางเสี่ยวมองค้อนอู๋เซี่ยนที่สะเพร่าในหน้าที่ พลางชี้นิ้วมาที่เย่เย่
อู๋เซี่ยนถึงกับกุมขมับด้วยความสับสน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าทำให้เขาไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไรได้แล้ว
“เรียกหัวหน้าของพวกเจ้ามาหาข้า ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้รู้ซึ้งถึงผลกรรมของการขูดรีดประธานหอการค้าหยูเย่!” แทนที่เย่เย่จะสั่งสอนพวกเขาโดยตรง เขากลับนั่งขัดสมาธิลงเพื่อปรับสมดุลกำลังภายใน
อู๋เซี่ยนและหวางเสี่ยวมองหน้ากันด้วยความสับสน แต่แล้วพวกเขาก็เริ่มเข้าใจจุดประสงค์ตั้งแต่แรกเริ่มของเย่เย่ ก่อนที่ทั้งสองจะไปรายงานแก่ กวนโป๋ ผู้บัญชาการสูงสุดกองทหารยามรักษาประตูแห่งหวางตู้
ระหว่างนั้น ชายหนุ่มผู้หนึ่ง อายุราวคราวเดียวกับเย่เย่ ก็มองเย่เย่ผ่านลูกกรงฝั่งตรงข้าม ชายผู้นี้คือ ลู่จุ้น ชายผู้ไม่ยอมจำนนต่อความไม่ชอบธรรม จึงถูกอู๋เซี่ยนจอมโฉดลากเข้าตารางเช่นเดียวกับเย่เย่
“ข้าล่ะนับถือความบ้าดีเดือดของเจ้าจริงๆ” ลู่จุ้นพูดขึ้นกับเย่เย่ที่กำลังทำสมาธิอยู่
เย่เย่ที่เพ่งสมาธิกับลมปราณที่ไหลเวียน ทำให้เขาไม่สนใจเสียงนกเสียงกา
“นี่ เจ้านั่นแหละ คิดจะเมินข้าไปถึงไหนกัน เอาอย่างนี้ข้ามีข้อเสนอ พาข้าออกไปจากที่นี่แล้วข้าจะจ่ายตามที่เจ้าร้องขอ” ลู่จุ้นไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ระหว่างที่เขาเรียกความสนใจจากเย่เย่ ความคิดสุดบรรเจิดก็ได้แล่นเข้ามาในหัว
เมื่อได้ยินเรื่องเงิน สำหรับประธานหอการค้าแล้วก็ต้องหูผึ่งเป็นธรรมดา เย่เย่ที่ปิดโสตประสาทและจมดิ่งกับการฝึกตนนั้นก็ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
“เจ้า? ดูแล้วน่าจะอายุไล่เลี่ยกับข้า เหตุใดถึงถูกจับมาอยู่ในที่แบบนี้ หรือว่าเจ้า เป็นฝีมือของอู๋เซี่ยนสินะ” เย่เย่ที่เพิ่งสังเกตเห็นชายหนุ่ม ก็เอ่ยปากถามขึ้น
ลู่จุ้นไม่ได้ตอบคำถามของเย่เย่ คำพูดของเย่เย่ทำให้ภาพในอดีตแล่นเข้ามาในหัวของเขาอย่างฉับพลัน
“ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องฝืนหรอก ข้าเข้าใจ” เย่เย่เองก็ไม่ต่างจากลู่จุ้น เขาเองก็เป็นเหยื่อของการใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบ ความประทับใจแรกเมื่อมาถึงหวางตู้กลับกลายเป็นความหดหู่ ไม่มีที่ไหนอบอุ่นไปกว่าหลิงเฉิงที่เขาหล่อหลอมขึ้นกับมืออีกแล้ว
แม้ว่าระดับวรยุทธ์ของเขาจะสูงถึงระดับจิตพิสุทธิ์หากไม่พึ่งพลังของเกราะสวรรค์นภาทมิฬ แต่ความต้องการในยาประเภทประสมดุลนั้นกลับเพิ่มขึ้น แต่ในระบบแลกเปลี่ยนในปัจจุบันนั้นมียาที่เหมาะสมกับระดับวรยุทธ์ของเขาไม่กี่ชนิด อีกทั้งมันยังแพงหูฉี่อีกด้วย ราคาของมันนั้นเพียงพอที่จะให้เย่เย่ตั้งสาขาหอการค้าในชนบทได้เลยทีเดียว
แต่ด้วยความขัดสนทางการเงิน ทำให้เย่เย่ไม่มีทางเลือกนอกจากรีดไถตังที่อู๋เซียนขูดรีดมาจากชาวบ้านอีกต่อหนึ่งเท่านั้น
ในเมื่อลู่จุ้นมีข้อเสนอ เย่เย่ก็พร้อมสนอง ดีซะอีกเขาจะได้ไม่ต้องใช้จำใจใช้เงินสกปรกของอู๋เซี่ยน แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของลู่จุ้น เขาก็ไม่คะยั้นคะยอต่อ
ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก
ทันใดนั้นเอง เสียงเท้าของชายสามคนก็ดังขึ้น หวางเสี่ยว อู๋เซี่ยน และหัวหน้าของพวกเขากวนโป๋ได้เดินลงบันไดมายังคุกใต้ดิน ลู่จุ้นที่สัมผัสได้ถึงภัยไม่ต่างจากเย่เย่ เขาก็สลัดภาพเก่าๆทิ้งไปและพูดขึ้น
“นี่กายาเหล็ก! เรามาร่วมมือกันหนีไปจากนรกนี่กัน เจ้าจัดการกวนโป๋ และหวางเสี่ยว ส่วนอู๋เซี่ยนข้าเอง! จบงานนี้ข้าจะตอบแทนเจ้าตามที่เจ้ารอขอ” ลู่จุ้นถือวิสาสะตั้งฉายาให้เย่เย่ กระซิบอย่างแผ่วเบาควบคู่กับการใช้ภาษากายทางสีหน้า
แต่ทว่าคำว่า ‘จ่ายตามที่เจ้าร้องขอนั้น’ ยังไม่สะกิดใจ เย่เย่มากพอ ทำให้เย่เย่ยังคงทำหูทวนลมและโคจรลมปราณของเขาต่อไป
“หนึ่งหมื่นตั๋วทอง! พาข้าไปจากที่นี่!” ลู่จุ้นสวมบทนักประมูลตัวยง
เย่เย่ไม่ตอบกลับลู่จุ้นด้วยคำพูด แต่ชูนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้ว
“หนึ่งแสนงั้นรึ!? ก็ได้ๆ มันเป็นของท่านแล้ว” ลู่จุ้นผงะเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเย่เย่ต้องการสื่ออะไร
เย่เย่ส่ายหน้า พลางชูนิ้วขึ้นมาหกนิ้ว
“อะไรนะ! หกแสนรึ!?” ลู่จุ้นเอียงคอถาม
“เจ้าโง่ หกหลักต่างหาก หกหลัก! เรื่องแค่นี้ต้องให้ข้าพูดรึไง!” เย่เย่พูดขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ
“หนึ่งล้าน!? เรียกราคานี้ทำไมเจ้าไม่ปล้นข้าซะเลยล่ะ?” ด้วยความตกใจ ลู่จุ้นเลยเผลอหลุดเสียงออกมา
“ชู่วววว จะโวยวายทำไมเล่า เดี๋ยวพวกนั้นก็ได้ยินพอดี” เย่เย่จุ๊ปาก พลางทำหน้าโกรธใส่ลู่จุ้น เพื่อให้เขาเบาเสียงลง
“นี่ กายาเหล็ก! ลดให้ข้าหน่อยน่า เห็นแก่วรยุทธ์ขั้นเทพยุทธ์ของข้ามันก็ไม่ได้ห่างจากเทพอสูรอย่างเจ้านักหรอก สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวจริงไหมล่ะ”
เมื่อการเจรจาไม่สัมฤทธิผล เย่เย่ก็เมินลู่จุ้นราวกับว่าเขาเป็นอากาศธาตุ
“กายาเหล็ก กายาเหล็ก!” ไม่ว่าลู่จุ้นเรียกกี่ครั้งก็ไม่มีเสียงตอบรับ เมื่อรู้ว่าเขาคงต้องอยู่ในนรกนี่ไปอีกสักพัก สีหน้าของเขาก็ซีดเผือดลง ได้แต่มองหน้าของมิตรสหายร่วมเรือนจำ ก่อนถอนหายใจออกมาและผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนแรง
ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนจักรพรรดิเหวินมีพระโอรสและพระธิดาที่เกิดจากฮองเฮาอยู่ 3 พระองค์ได้แก่ องค์รัชทายาท องค์ชายรองหวงจิ้งเฟิง และพระธิดามู่หลู ทั้งสามต่างมีจริยวัตรที่งดงาม ฉายแววอัจฉริยะมาตั้งแต่ครั้นทรงพระเยาว์ คุณสมบัติเพียบพร้อมในการเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อองค์รัชทายาทลำดับที่หนึ่งถูกลอบปลงพระชนม์ในขณะที่เที่ยวชมเมืองในงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ และไม่นานนักจักรพรรดิเหวินก็ล้มป่วยอย่างกะทันหัน อัครมหาเสนาบดีในขณะนั้นก็เข้ายึดอำนาจ และแต่งตั้งองค์ชายเหิงหวัง พระโอรสในพระสนมผู้เป็นธิดาของอัครมหาเสนาบดี ขึ้นดำรงตำแหน่งจักรพรรดิตั้งแต่นั้นมา จักรพรรดิเหิงนั้นมีใจให้องค์หญิงมู่หลู แต่ก็ถูกนางปฏิเสธทำให้จักรพรรดิไม่พอพระทัยและพยายามขืนใจนางแต่ไม่สำเร็จ ลั่วเฟิงเฉิงทหารองครักษ์แหกกฎวังเข้ามาปกป้องนางเอาไว้ และพานางหลบหนีไปพึ่งใบบุญของเม่งเทียนฉี ประมุขนักพรตแห่งนิกายลำนำแห่งขุนเขา นิกายฝ่ายธรรมะผู้ผดุงความยุติธรรมและความสงบสุขในใต้หล้า ก่อนที่จะหนีขึ้นหุบเขาแห่งต้นกำเนิดตามคำชี้แนะของประมุขนักพรต
หลายปีผ่านไป จักรพรรดิเหิงลุ่มหลงนารี เริงโลกีย์เป็นหลัก ไม่ฝักใฝ่การบ้านการเมือง ไม่ต่างอะไรจากกษัตริย์หุ่นเชิดของอัครมหาเสนาบดีผู้เป็นเสด็จปู่ ประชาชนแร้นแค้น อดมื้อกินมื้อ ล้มตายกันเป็นว่าเล่นจากภัยสงครามที่ปราศจากการ เหลียวแลจากภาครัฐ จนไม่นานมานี้ก็ถูกเหล่า-ขุนนางยุยงว่าองค์ชายรองหวงจิ้งเฟิงซ่องสุมกำลังก่อกบฏ ทำให้จักรพรรดิผู้โง่เขลาโกรธจัดและสั่งการให้คุมเข้มการตรวจคนเข้าออกราชอาณาจักร นอกจากนี้เขายังส่งจดหมายข่มขู่ลู่จุ้นเพื่อให้คายความลับของหวงจิ้งเฟิงออกมา
แต่ลู่จุ้นนั้นถูกอดีตจักรพรรดิเหวินรับเลี้ยงมาตั้งแต่เยาว์วัย บุญคุณในครั้งนั้นทั้งชีวิตไม่อาจทดแทน เขาจึงไม่ปริปากบอกที่อยู่ของหวงจิ้งเฟิง จนกระทั่งถูกกวนโป๋จับกุมมาทรมานยังคุกใต้ดิน ทันทีที่ลู่จุ้นพบเย่เย่ แสงแห่งความหวังก็สาดส่องลงมาในจิตใจที่บอบช้ำและดวงตาที่อ้างว้างของเขาอีกครั้ง
ปัง!
เสียงเปิดประตูคุกใต้ดินดังขึ้น ปลุกลู่จุ้นตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา
“รายงานท่านผู้บัญชาการกวน นี่คือโฉมหน้าของผู้ที่อยากจะลองดีกับท่าน” อู๋เซี่ยนใส่สีเติมไข่ โยนความผิดทั้งหมดให้กับเย่เย่
เมื่อนับจำนวนนักโทษอย่างรอบคอบแล้ว หวางเสี่ยวก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขืนมีใครหลบหนีออกไปได้แม้แต่คนเดียว ในฐานะหัวหน้าผู้คุมขังเขาต้องได้รับโทษสถานหนักเลยทีเดียว..