เฟิงอี้เซวียน…
“กำบัง!” เฟิงอี้เซวียนกอดแคลร์ไว้ในอ้อมแขนของเขา มือข้างหนึ่งยกขึ้นสูงหลังจากตะโกนออกไป บนหัวของทั้งสองก็ปรากฎแผ่นลมหมุนขึ้น เป็นเหมือนโล่แต่ก็ไม่ใช่โล่ กำแพงลมที่มีอยู่เดิมหมุนเร็วขึ้นสายฟ้าผ่าลงมา แต่ไม่ทะลุลงมากำแพงลมหมุนอย่างรวดเร็วกลายเป็นแสงสว่างสาดไปทั่ว มันเหมือนกับดอกไม้ไฟที่งดงาม
“ขอโทษนะ ที่ข้ามาช้า” เฟิงอี้เซวียนกอดแคลร์แน่นและพูดคำพูดนั้นที่หูของแคลร์ คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเป็นทุกข์ กังวลและการตำหนิตัวเองอย่างลึกซึ้งแคลร์ค่อยๆ หลับตาและพิงหัวของนางไว้ในอ้อมแขนของเฟิงอี้เซวียน ไม่พูดอะไรออกมาเลย
หัวใจของเฟิงอี้เซวียนบีบแน่น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขากำลังอ่อนแอจนแทบจะแตกสลายแล้ว ความรู้สึกทุกข์ใจก็แผ่ซ่าน
เมื่อเหลิ่งหลิงยวิ๋นมาถึงเขาก็เห็น…
เมฆดำบนท้องฟ้าซ้อนกันเป็นชั้นสายฟ้าขนาดใหญ่ฟาดลงมาอย่างน่าตกใจ และด้านล่าง ชายรูปงามที่มีผมสีแดงเพลิงก็โอบคนในอ้อมแขนไว้แน่นด้วยมือข้างเดียวมืออีกข้างหนึ่งชูขึ้นไป เพื่อร่ายคาถารับสายฟ้าที่ผ่าลงมาเฟิงอี้เซวียน เป็นเขานั่นเอง! ดวงตาของเหลิ่งหลิงยวิ๋นมองไปที่คนในอ้อมแขนของเฟิงอี้เซวียน แล้วหัวใจของเขาก็แทบหยุดเต้นทันที เด็กสาวผมสีดำผู้นั้น แม้ว่าสีผมจะเปลี่ยนไปแต่เขาก็ยังจำได้ในทันที นั่นคือแคลร์! รอบๆ นั้นเป็นความโหดร้ายที่น่ากลัว ผืนดินที่ไหม้เกรียม ไกลออกไปนั้นพระสันตะปาปากำลังจมกองเลือดอยู่ อูมาริที่ถูกตัดครึ่ง
ดยุกกอร์ตั้นที่เสียมือเสียไป ราเซียและลาเกอร์ที่ดูอาการหนัก ทั้งหมดนี้ดูเป็นการนองเลือดโหดร้ายมากแต่ว่า สองคนที่อยู่ตรงกลางกลับดูสงบอบอุ่นและสวยงาม
ดวงตาของเหลิ่งหลิงยวิ๋นมองภาพตรงหน้า แล้วหัวใจของเขาก็ปวดร้าว
เมื่อตอนที่แคลร์หมดหนทางและอันตรายที่สุด เฟิงอี้เซวียนคือคนที่ยืนอยู่ข้างนาง ไม่ใช่ตัวเขา…
เวลานี้เฟิงอี้เซวียนไม่กล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะบรรลุขั้นที่สิบเอ็ดของสายลมเทียนกังแล้ว แต่สายฟ้าทั้งหมดสิบครั้ง จะรับไว้ทั้งหมดดูเหมือนจะลำบากมากๆ เขาแอบด่าในใจ ถ้าแผ่นหยกของอาจารย์ปู่อยู่ก็คงจะดี สิ่งนั้นสกัดภัยพิบัติทั้งหมดได้แน่นอน เฟิงอี้เซวียนควบคุมกำแพงลมที่อยู่บนหัวแล้วก็ก้มหน้าลงมองแคลร์ที่อ่อนแอในอ้อมแขนของเขาไปด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นด้านนี้ของแคลร์ไม่ว่าจะอย่างไร จะต้องช่วยแคลร์สกัดสายฟ้าทั้งสิบนี้ให้ได้!
เหลิ่งหลิงยวิ๋นยืนอยู่ไม่ไกล มองไปที่ภาพตรงหน้าเขาอย่างตะลึง ไม่สามารถเรียกสติกลับมาได้ จนกระทั่งสายฟ้าครั้งที่แปดผ่าลงมา บนใบหน้าของเฟิงอี้เซวียนดูเหนื่อยล้ามาก เหลิ่งหลิงยวิ๋นจึงได้เรียกสติกลับมาได้อีกครั้ง
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาเหม่อ!
หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เฟิงอี้เซวียนก็คงจะไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไปและอาจจะถูกสังหารด้วยสายฟ้าไปพร้อมกับแคลร์!
เฟิงอี้เซวียนขมวดคิ้ว แต่ยังคงกอดแคลร์ไว้แน่น เขาแทบจะพยุงไว้ไม่อยู่แล้วสายฟ้าทั้งแปดทำให้พลังของเขาหมดลง สายฟ้าต่อไปพลังจะรุนแรงมากขึ้น เกรงว่าจะรับไม่ไหวแล้ว หางตาของเฟิงอี้เซวียนมองไปที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นที่ยืนอยู่ไม่ไกลหัวใจของเขาสั่นเล็กน้อย เขาจะโยนสิ่งนี้ไปที่ผู้อื่นงั้นหรือ? ไม่ในอ้อมแขนของเขาเป็นใครกัน? ไม่ใช่ปีศาจตัวน้อยเจ้าเมืองเนียร์หรือ?นางยังมีชีวิตอยู่จากนั้นเสียงคำรามของท้องฟ้าดึงความคิดของเฟิงอี้เซวียนกลับมา เฟิงอี้เซวียนแอบสบถตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคิดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้ควรจะคิดหาวิธีปกป้องคนในอ้อมแขนสิ! พลังของเฟิงอี้เซวียนลดลงแล้ว กำแพงลมของเขาก็หายไป เฟิงอี้เซวียนกัดฟันและกอดแคลร์แน่นไว้ในอ้อมแขน
เขาอยากจะใช้เลือดเนื้อของเขาเพื่อกั้นสายฟ้าสองครั้งสุดท้ายให้กับแคลร์!
เหลิ่งหลิงยวิ๋นค่อยๆ วางร่างของเหลิ่งซวนซวนในอ้อมแขนของเขาที่เริ่มเย็นแล้วลง หยิบสร้อยคอรูปหยดน้ำใสออกจากคอของนางและกระชากมันออก สองมือประสานที่หน้าอก วางสร้อยไว้ตรงกลาง หลับตาและเริ่มร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว
“กำแพงต้าน!” เหลิ่งหลิงยวิ๋นร่ายคาถาจบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลืมตาขึ้น ทันใดนั้นแสงสีม่วงก็ปรากฏขึ้นในมือและพุ่งลงมาจากด้านบนหัวของเฟิงอี้เซวียนและแคลร์กลายเป็นสิ่งที่คุ้มกัน
ตูม…
สายฟ้าที่น่ากลัวครั้งที่เก้ากระหน่ำลงมากระทบเข้ากับกำแพงสีม่วงอย่างหนัก กำแพงสีม่วงสั่นเล็กน้อยแต่ยังไม่แตกหัก
เหลิ่งหลิงยวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่เลว ในที่สุดสิ่งนี้ก็มีประโยชน์ในวันนี้
เฟิงอี้เซวียนกอดแคลร์เงยหน้าขึ้น เห็นภาพที่อยู่เหนือศีรษะ จากนั้นหันไปมองเหลิ่งหลิงยวิ๋น และรู้ได้เลยว่านั่นคือเหลิ่งหลิงยวิ๋นที่ช่วยตนเองและแคลร์อยู่
เมื่อสายฟ้ารุนแรงครั้งสุดท้ายลงมาเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็หรี่ตาเล็กน้อย ขยับริมฝีปากร่ายคาถาที่ซับซ้อนอย่างรวดเร็ว กำแพงสีม่วงเหนือศีรษะของแคลร์และเฟิงอี้เซวียนเปล่งประกายและความหนาของมันก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทันที
ตูม…
ในที่สุดสายฟ้าก็กระแทกเข้ากับกำแพงสีม่วง
สายฟ้าสลายไปแสงสีม่วงก็ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
เหลิ่งหลิงยวิ๋นกระอักเลือดออกมา แล้วก็ยิ่งตกใจ คิดไม่ถึงว่าสายฟ้านี้จะรุนแรงขนาดนี้ ถึงขั้นที่สามารถทำให้ผู้ร่ายเวทย์บาดเจ็บได้เลย
บริเวณรอบๆ ค่อยๆ สงบลงเมฆดำบนท้องฟ้าสลายไปอย่างรวดเร็ว ดวงจันทร์สีซีดปรากฎขึ้นอีกครั้ง
“รีบออกไปจากที่นี่เร็ว” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูด อุ้มร่างของเหลิ่งซวนซวนขึ้น และก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จะมีคนจากวิหารแห่งแสงตามมาเร็วๆ นี้ ตอนนี้พวกเขาไม่มีกำลังมากพอในการต่อสู้ หากเผชิญหน้าศัตรูในขณะนี้ผลที่ตามมาคงจะหายนะเลยล่ะ
เฟิงอี้เซวียนมองตาของเหลิ่งหลิงยวิ๋นค่อนข้างซับซ้อน แต่ก็ยังคงพยักหน้า เฟิงอี้เซวียนก้มลงมองคนในอ้อมแขนของเขาแคลร์สลบไปแล้ว ไป๋ตี้และเฮยหยู่กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเฟิงอี้เซวียน แล้วมองแคลร์อย่างเป็นห่วง
“ไปเถอะ กลับไปที่บ้านของข้าก่อน” หลังจากที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นเข้ามาใกล้เฟิงอี้เซวียน ก็หยิบม้วนเคลื่อนย้ายออกมาและเปิดออก แสงสีขาวสว่างวาบแล้วร่างของพวกเขาก็หายไป
ในไม่ช้าหลิวเฉว่ฉิงก็มาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง และเมื่อเห็นภาพที่น่าสังเวชตรงหน้าพวกเขาก็ตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อเลยขาข้างหนึ่งของพระสันตะปาปาหายไป มีเลือดนองพื้นเต็มไปหมด ร่างกายของอูมาริถูกตัดครึ่งเลือดและสมองกระเซ็นไปทั่วพื้น ดยุกกอร์ตั้นมีเพียงแค่ผิวแห้งที่มือข้างหนึ่ง ล้อมรอบด้วยเลือดที่แข็งตัว ราเซียและลาเกอร์มีเลือดออกจากปากจมูกและหูพวกเขาหมดสติอยู่อาร์ชบิชอปทั้งสิบสอง ศพบางส่วนก็ไม่มี และบางส่วนถูกทำลายขาดหายไป
มันโหดร้ายมาก!
ใครกันที่ทำเช่นนี้?
แคลร์ไม่อยู่ที่นี่และไม่มีศพ! หนีไปหรือ? แล้วหลิงยวิ๋นล่ะช่วยแคลร์แล้วหนีไปด้วยกันหรือ?
เช่นนั้นใครฆ่าคนเหล่านี้ล่ะ? หรือจะเป็นแคลร์? หลิวเฉว่ฉิงตัดการคาดเดาของนางไปทันที แม้ว่าหญิงผู้นั้นจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำร้ายกาจเช่นนี้กับอาจารย์ของตัวเองเป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าอาร์ชบิชอปจำนวนมากเช่นนี้ และทำร้ายพระสันตะปาปาอย่างรุนแรงเช่นนี้!
ความจริงของเรื่องคืออะไรมีเพียงแต่คนที่นอนอยู่บนพื้นนี้เท่านั้นที่จะรู้
ผู้รักษากำลังเริ่มการรักษาอย่างเต็มที่
เมฆหมอกปกคลุมดวงจันทร์ที่มืดครึ้มอย่างช้าๆ แล้วรอบๆ ก็มืดลง
สองวันต่อมา อันพาแกรนด์ก็ประกาศข่าวที่น่าตกใจ
‘ดาวเด่นอย่างแคลร์ฮิลล์ฆ่าแคทเธอรีน ฮิลล์ผู้เป็นแม่ของนางและอูมาริอาจารย์ของนางอย่างบ้าคลั่ง เพราะต้องการจะดีกับวิหารแห่งแสง ดยุกกอร์ตั้นฮิลล์ปู่ของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส วิธีการนั้นโหดร้ายและแย่มาก วิหารแห่งแสงจะไม่ยอมรับคนที่ชั่วร้ายเช่นนี้จึงมีคำสั่งลงไปแคลร์ ฮิลล์อัญเชิญเทพเจ้าแห่งความมืดมาและสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับคนของวิหาร แล้วล่อลวงบุตรแห่งแสงก็คือเหลิ่งหลิงยวิ๋นออกจากวิหารไป จากนี้ไปแคลร์จะต้องถูกจับกุมไม่ว่าจะเป็นหรือตายเหลิ่งหลิงยวิ๋นนั้นถูกหลอกใช้หวังว่าเขาจะไตร่ตรองได้โดยเร็วแล้วกลับสู่อ้อมกอดของเทพี’
ข่าวนี้ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้น
ณ ลากัค ในห้องลับของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง
“เจ้าพวกชั่วนี่!” เฟิงอี้เซวียนมองจดหมายในมือ มือของเขาสั่น แล้วก็ฉีกจดหมายในมืออย่างบ้าคลั่ง โดยไม่คิดอ่านมันจนจบ
“เป็นการใส่ร้ายแคลร์ทุกอย่างใช่หรือไม่?” เหลิ่งหลิงยวิ๋นถามอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเฟิงอี้เซวียน เหลิ่งหลิงยวิ๋นเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่เข้าใจวิธีการของวิหารแห่งแสงเลย
“เลว! คนเลว!” เฟิงอี้เซวียนโกรธจนพูดไม่ออก วิหารแห่งแสงต่ำช้า ไร้ยางอาย!
เหลิ่งหลิงยวิ๋นนิ่งเงียบ มองคนบนเตียงด้วยความขมขื่นในใจ แคลร์ยังไม่ตื่นเลย ตอนนี้ยังคงหลับสนิท เหลิ่งหลิงยวิ๋นซึ่งเป็นผู้รักษาแคลร์เข้าใจดีว่านางกำลังหลบหนีจากความเป็นจริงและไม่อยากตื่นขึ้นมา ไม่เต็มใจที่จะเผชิญกับความจริงที่ว่าคนที่ห่วงใยที่สุดได้จากไปแล้ว จะเป็นอย่างไรถ้านางตื่นขึ้นมาและรู้ว่าตัวเองยังถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนที่นางห่วงใยมากที่สุดอีก? จะเผชิญมันอย่างไร? เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็รู้สึกเป็นทุกข์มาก
เฟิงอี้เซวียนยื่นมือออกไปจับมือของแคลร์และพูดอย่างกังวล “ทำไมนางยังไม่ฟื้นอีก? สองวันแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่ฟื้นล่ะ?”
เหลิ่งหลิงยวิ๋นนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะพูด “นางกำลังหลบเลี่ยงความเป็นจริงและไม่เต็มใจที่จะเผชิญกับความจริงที่โหดร้ายนี้ ดังนั้นนางจึงไม่ยอมตื่นขึ้นมา”
เฟิงอี้เซวียนชะงักไปใบหน้าของเขาก็เจ็บปวด เขายื่นมือออกมาและลูบใบหน้าของแคลร์เบาๆ ไป๋ตี้และเฮยหยู่นั่งบนหมอนของแคลร์คนละข้าง มองใบหน้าของแคลร์อย่างเป็นห่วง
“แคลร์เจ้าต้องตื่นมานะ เจ้ายังต้องแก้แค้น! แม่ของเจ้า อาจารย์ของเจ้าถูกศัตรูฆ่าไป เจ้าจะนอนหลับตลอดไปไม่เผชิญหน้ากับมันหรือ?” เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองใบหน้าของแคลร์และพูดเช่นนั้นอย่างเย็นชา
“เจ้า!” เฟิงอี้เซวียนกัดฟันมองเหลิ่งหลิงยวิ๋นที่ใบหน้าเย็นชาจากนั้นใบหน้าของเขาก็หดหู่ แม้ว่าวิธีนี้จะโหดร้าย แต่ก็เป็นวิธีปลุกแคลร์ที่ได้ผลที่สุด
“แคลร์ตื่นเถอะนะ” เฟิงอี้เซวียนจับมือของแคลร์ไว้แน่นและพูดด้วยเสียงต่ำ “เจ้ารู้หรือไม่? เจ้าแบกรับความทุกข์ทรมานอย่างมาก แม่ของเจ้าไม่อยากเห็นเจ้าในแบบนี้หรอก ฟื้นขึ้นมาสิ เจ้าจะปล่อยให้แม่ของเจ้าต้องสูญเสียไปฟรีๆงั้นหรือ?”