“เจ้าไปเอามงกุฎที่อยู่บนหัวเชี่ยนเอ๋อร์แล้วเอาไปให้ข้าบนเรือที่ท่าเรือฝั่งตะวันออก” น้ำเสียงราบเรียบของเชวียหลงเฟยแฝงไปด้วยอำนาจที่ไม่อาจสงสัยหรือปฏิเสธได้
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าแล้วไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ตงเฟิงโฮ่วก็มองแผ่นหลังของหญิงสาวที่กำลังจากไปอย่างระแวงและกลัดกลุ้ม เขารวบรวมพลังอัญเชิญไม่ได้เลย ในตอนที่หญิงสาวผู้นั้นโจมตีอยู่ พอเขากำลังจะรวบรวมสมาธิก็จะถูกขัดขวางทันที หญิงสาวผู้นั้นเป็นใครกันแน่?
“ไปเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะที่เราจะคุยกัน” เชวียหลงเฟยลุกขึ้นแล้วเดินนำไป
ชีอ้าวชวางพร้อมกับคนอื่นๆ เดินตามไปด้วยกันโดยไม่ลังเล เฟิงอี้เซวียนเองก็เงียบไม่พูดอะไรเลย
เชวียหลงเฟยพาทุกคนไปทางทิศตะวันออกจนกระทั่งถึงท่าเรือ ผู้คนที่กำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่ที่ท่าเรือเมื่อเห็นเชวียหลงเฟยมาถึงก็พากันหยุดทุกสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วเตรียมจะเข้ามาทำความเคารพเชวียหลงเฟย แต่พอเชวียหลงเฟยโบกมือให้เบาๆ ทุกคนก็หยุดการกระทำแล้วกลับไปทำธุระของตัวเองต่อทันที ชีอ้าวชวางมองภาพประชาชนที่เคารพและเชื่อฟังเชวียหลงเฟยตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้อย่างใจเย็น รู้สึกว่านี่มันผิดปกติมาก สรุปว่าเชวียหลงเฟยเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ?!
แน่นอนว่าเรือลำที่มีเสน่ห์ที่สุดของท่าเรือนี้ต้องเป็นเรือของเชวียหลงเฟยอยู่แล้ว ดูจากการตกแต่งและการแกะสลักที่ประณีตหรูหราก็รู้ได้ทันที เชวียหลงเฟยเดินนำทุกคนเข้าไปในห้องโดยสารด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตอนนี้ทุกคนไม่มีกะจิตกะใจชื่นชมความงามของเรือลำนี้เลย
“เจ้า เฟิงอี้เซวียน บุตรชายของประธานหอการค้าตระกูลเฟิง” เชวียหลงเฟยนั่งล งชี้ไปที่เฟิงอี้เซวียนแล้วพูดออกมา จากนั้นก็มองไปที่เหลิ่งหลิงยวิ๋น “เจ้า เหลิ่งหลิงยวิ๋น บุตรแห่งแสงที่กล่าวกันว่าถูกแม่มดล่อลวงมา”
ทุกคนขมวดคิ้ว รอให้เชวียหลงเฟยพูดโดยที่ไม่มีใครพูดแทรก
“ส่วนเจ้า เฉียวฉู่ซิน นักธนูผู้ติดตามอยู่ข้างกายแคลร์” สายตาของเชวียหลงเฟยเคลื่อนไปที่ร่างของเฉียวฉู่ซินพร้อมพูดระบุตัวตนของนาง จากนั้นก็มองไปทางตงเฟิงโฮ่ว “นักอัญเชิญผู้ติดตามอยู่ข้างกายแคลร์”
สีหน้าของชีอ้าวชวางเรียบนิ่ง เชวียหลงเฟยรู้ข้อมูลทุกอย่างอยู่แล้ว
“ส่วนพวกเจ้า คู่แฝดนักเวทแห่งความมืด”เชวียหลงเฟยมองสีเฉ่าฉีและสีเฉ่าซื่อแล้วพูดต่อเรียบๆ
“เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?” สีเฉ่าฉีถามด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าคิดว่าไงล่ะ? การแต่งกายของพวกเจ้าปกปิดตัวตนจากคนธรรมดาได้ แต่พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าจะปกปิดตัวตนจากวิหารแห่งแสงกับกลุ่มสายฟ้าสีดำได้? พวกเจ้าคิดว่าการแทรกซึมเข้าไปอยู่ในฝูงชนจะทำให้พวกเขาหาพวกเจ้าไม่เจองั้นหรือ?” เชวียหลงเฟยยิ้มแล้วพูดเรียบๆ “พวกเจ้าคิดว่าตัวเองดูเป็นคนธรรมดามากหรือ?”
ทุกคนเงียบไปทันทีพร้อมสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ชีอ้าวชวางเงียบไปสักพักแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลงและลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“สีเฉ่าฉี สีเฉ่าซื่อ พวกเจ้าทั้งสองกลับไปช่วยหลงซ่าซือที่โยซาลี่ ไปเดี๋ยวนี้เลย” น้ำเสียงของชีอ้าวชวางเคร่งขรึมอย่างคัดค้านไม่ได้
สีเฉ่าฉีและสีเฉ่าซื่อมองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ลุกขึ้นมองไปที่ชีอ้าวชวางแล้วพูดอย่างจริงจัง “ถ้าเป็นคำสั่งของเจ้า พวกเราก็จะไปทำให้ทันที”
“นี่คือคำสั่งของข้า พวกเจ้าจงระวังตัวให้ดีด้วย” ชีอ้าวชวางพยักหน้ายืนยันเบาๆ
“โอ้ ข้าจะส่งคนพาพวกเจ้าออกทะเลเอง ถึงอย่างไรก็จะต้องไปส่งเชี่ยนเอ๋อร์อยู่แล้ว” เชวียหลงเฟยพูดอย่างภาคภูมิใจ “ท้องทะเลนี้เป็นถิ่นของข้าทั้งหมด ไม่มีใครกล้ามาท้าทายข้าทั้งนั้น”
ชีอ้าวชวางมองเชวียหลงเฟยแล้วพูดเบาๆ “ขอบคุณ”
“ขอบคุณข้างั้นหรือ?” เชวียหลงเฟยมองชีอ้าวชวางอย่างพิจารณาแล้วพูด “หากอีกสี่ห้าปีข้างหน้าเจ้าจะอุทิศตัวเพื่อขอบคุณข้า ข้าก็ไม่ปฏิเสธนะ”
จากนั้นเชวียหลงเฟยก็เห็นสายตาไม่พอใจของทุกคน จึงรีบโบกมือทันที “ล้อเล่นนะ ข้าล้อเล่น” สายตาของทุกคนบอกเขาอย่างชัดเจนแล้วว่าล้อเล่นแบบนี้ไม่ตลกเลยสักนิด!
“อี้เซวียน…” ทันใดนั้น ชีอ้าวชวางก็หันไปมองเฟิงอี้เซวียนที่สีหน้าเรียบเฉยมาตลอดแล้วเอ่ยเรียกเขาเป็นครั้งแรก
เฟิงอี้เซวียนเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาสีเข้มของชีอ้าวชวาง
ทั้งสองมองหน้ากันโดยไม่ต้องพูดอะไรก็เข้าใจความหมายในสายตาของกันและกันแล้ว
ริมฝีปากของชีอ้าวชวางขยับ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เฟิงอี้เซวียนก็ชิงพูดก่อน “อ้าวชวาง ข้าเข้าใจแล้ว”
“อืม เจ้ากลับไปก่อนเลย อย่าให้ป้าอันได้รับอันตรายเป็นอันขาด” ชีอ้าวชวางคลายความกังวลลงเล็กน้อย
“เจ้าจะต้องกลับไปถึงโยซาลี่อย่างปลอดภัยนะ” เฟิงอี้เซวียนมองชีอ้าวชวางแล้วพูดอย่างลึกซึ้ง
“ข้าจะกลับไปอย่างปลอดภัย” ชีอ้าวชวางยิ้มและพยักหน้าเบาๆ
เหลิ่งหลงยวิ๋นมองภาพตรงหน้าด้วยความอ้างว้าง แต่ไม่นานความอ้างว้างนั้นก็หายไป
“ฉู่ซิน ตงเฟิงโฮ่ว เราแยกกันตรงนี้นะ” ชีอ้าวชวางหันไปมองเฉียวฉู่ซินและตงเฟิงโฮ่วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ทำไมล่ะ? ไม่เอานะ เราเพิ่งจะได้เจอกันไม่นานเอง ข้าไม่แยกกับเจ้านะ!” เฉียวฉู่ซินยืนขึ้นแล้วพูดด้วยสีหน้าร้อนรน
“ฉู่ซิน ถ้าเราอยู่ด้วยกันต่อก็รังแต่จะยิ่งอันตราย สู้เราแยกกันหาของสิ่งนั้นไม่ดีกว่าหรือ” ตงเฟิงโฮ่วเห็นท่าทีร้อนรนของเฉียวฉู่ซินก็รีบลุกขึ้นกระตุกชายเสื้อของเฉียวฉู่ซินไว้แล้วพูดเตือนโดยใช้คำว่าของสิ่งนั้นแทน เพราะว่าเชวียหลงเฟยอยู่ตรงนี้ด้วย เชวียหลงเฟยเองก็สงสัยว่าชีอ้าวชวางกำลังหาของอะไรอยู่กันแน่?
“หือ?” เฉียวฉู่ซินนิ่งไปเล็กน้อย คิดๆ ดูแล้วก็เข้าใจได้ นางจึงหันไปมองชีอ้าวชวางแล้วกัดฟัน จากนั้นก็พูดอย่างดื้อรั้น “งั้น งั้นเราก็แยกกัน ข้ากับตงเฟิงโฮ่วจะไปช่วยเจ้าหาของชิ้นอื่นๆ”
ชีอ้าวชวางนิ่งไป นางไม่เคยคิดให้เฉียวฉู่ซินและตงเฟิงโฮ่วมาเสี่ยงเพื่อนางเลย ที่จริงนางอยากจะให้พวกเขาออกเดินทางท่องเที่ยวกันต่อ หรือไม่ก็ไปรอที่พื้นที่อำนาจของวิหารแห่งความมืดที่โยซาลี่เลยด้วยซ้ำ
ที่นอกห้องโดยสารมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เชวียหลงเฟยจึงเงยหน้าขึ้นแล้วพูด “พวกเจ้าคุยกันไปก่อน เดี๋ยวข้าออกไปดูหน่อย มงกุฎคงจะมาถึงแล้วละ” เชวียหลงเฟยพูดจบก็ทิ้งให้ทุกคนอยู่ในห้องโดยสารต่อแล้วเดินออกไปโดยไม่รอให้ใครพูดอะไร
“ข้ากับฉู่ซินจะไปหาพวกออร์คเอง ข้าเข้าใจภาษาและความชอบของพวกเขา ข้าจะต้องเอาสิ่งประดิษฐ์จากพวกเขามาได้แน่นอน” ท่าทางและน้ำเสียงของตงเฟิงโฮ่วดูหนักแน่นมากจนคัดค้านไม่ได้เลย
“ใช่ๆ อ้าวชวาง ข้ากับตงเฟิงโฮ่วจะช่วยเจ้าตามหาสิ่งประดิษฐ์เอง เราแยกกันแบบนี้คงไม่มีใครจับได้หรอก นักธนูมีอยู่เยอะแยะไป” เฉียวฉู่ซินพยักหน้าเห็นด้วยทันที
“ข้า…” ชี้อ้าวชวางมองท่าทางหนักแน่นของเฉียวฉู่ซินและตงเฟิงโฮ่วก็พูดไม่ออกเลย ข้าไม่ได้มีคุณค่าให้พวกเจ้ามาเสี่ยงเพื่อข้าเลยด้วยซ้ำ…
“ตกลงกันตามนี้นะ ถ้าเราเจอออร์คแล้วค่อยไปหาคนแคระกัน” เฉียวฉู่ซินพยักหน้าแล้วพูดกับตงเฟิงโฮ่ว
“ยังมีสิ่งประดิษฐ์ที่อยู่ในมือพวกโนมเอลฟ์แล้วก็เผ่ามังกรด้วยนะ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดเรียบๆ
พอพูดถึงเผ่ามังกร ทุกคนก็นึกถึงมังกรดำเบนโดยพร้อมเพรียงกันทันที มังกรดำเงอะงะนั่น ไม่รู้ว่าตอนนี้จะล้างมลทินตัวเองแล้วเอาทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนมาได้หรือยัง
“ข้ากับเหลิ่งหลิงยวิ๋นจะไปที่เผ่ามังกรก่อน ถ้าไปเจอเบนที่นั่นก็คงจะจัดการเรื่องต่างๆ ได้ง่ายขึ้นเยอะเลย” ชีอ้าวชวางตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เรื่องความแข็งแกร่ง ของเบนนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย และที่สำคัญที่สุดคือเขาบินได้ สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาทำอะไรได้สะดวกขึ้นมาก
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” เฉียวฉู่ซินพยักหน้าหนักๆ แล้วก้าวไปจับมือของชีอ้าวชวาง “อ้าวชวาง เจ้าต้องระมัดระวังให้ดีนะ”
สายตาของชีอ้าวชวางมีประกายความซับซ้อนและซาบซึ้ง คำพูดนี้มันควรจะออกจากปากของตนเองสิถึงจะถูก
“พวกเจ้าเองก็ต้องระวังตัวให้ดีนะ” ชีอ้าวชวางบีบมือของเฉียวฉู่ซินแล้วพูดอย่างจริงใจ
“สบายใจได้เลย คงไม่มีใครสงสัยอะไรพวกเราหรอก ข้าจะดูแลฉู่ซินอย่างดี” ตงเฟิงโฮ่วยิ้ม “ถ้าสู้ไม่ไหวข้าก็จะหนีเอง”
“เฮ้ย!” เฉียวฉู่ซินกลอกตาอย่างไม่พอใจที่ตงเฟิงโฮ่วพูดจาไร้สาระ
“สู้ไม่ไหวก็หนีนะ ฉู่ซิน ข้าไม่ได้อยากให้พวกเจ้ามีเรื่อง” ชีอ้าวชวางพูดอย่างจริงจัง
เฉียวฉู่ซินค่อยๆ นิ่งลงแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก ข้าจะรักษาชีวิตกลับมาหาเจ้า”
“เช่นนั้นก็ดี” ชีอ้าวชวางพยักหน้า
หลังจากตกลงกันเสร็จ บรรยากาศบนเรือก็เงียบไป ทุกคนไม่พูดคุยกันอยู่เป็นเวลานาน
“ทุกคน ข้ามาแล้ว” เสียงของเชวียหลงเฟยดังมาจากด้านนอกห้องโดยสาร จากนั้นเชวียหลงเฟยก็เดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับกล่องไม้สวยหรูในมือของเขา
“แค…เอ้ย ชีอ้าวชวาง นี่ไงสิ่งที่เจ้าอยากได้” เชวียหลงเฟยส่งกล่องไม้ในมือให้ “เจ้าสบายใจได้เลย ข้าจะให้เชี่ยนเอ๋อร์กลับเผ่าเงือกด้วยความเต็มใจ”
ชีอ้าวชวางรับกล่องไม้มาเปิดดู ในนั้นคือมงกุฎเล็กๆ ดูงดงามที่อยู่บนหัวของเจ้าหญิงเงือกในรูปภาพนั้นนั่นเอง นี่คือชิ้นส่วนของขนนกสังหารเทพเจ้างั้นหรือ? มองดูแล้วนอกจากความประณีตเรียบง่ายก็ไม่มีอะไรที่ดูแตกต่างเลย ไม่มีแม้แต่คลื่นเวทมนตร์ด้วยซ้ำ หรืออาจจะเป็นอย่างที่เทพเจ้าแห่งความมืดบอกว่าของพวกนี้หากอยู่แยกกันก็จะเป็นของธรรมดาที่ไม่ได้มีพลังอะไร แต่ถ้ามารวมกันแล้วจะเกิดเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่น่ากลัว
“ขอบคุณนะ” ชีอ้าวชวางขอบคุณอย่างจริงใจ ในเรื่องนี้ไม่ว่าเชวียหลงเฟยจะคิดเห็นอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ช่วยตนเองไว้มาก
“หากจะขอบคุณก็…” เชวียหลงเฟยยิ้ม แต่พอพูดไปได้แค่ครึ่งหนึ่งก็ต้องปิดปากเงียบทันทีเพราะเห็นสีหน้าดำมืดของทุกคนที่มองมา
“เจ้าเอาของสิ่งนี้ไปให้เจ้าหญิงเงือกนะ บอกนางด้วยว่าแม่ของนางคิดถึงนางมากๆ ”ชีอ้าวชวางหยิบสร้อยที่ราชินีเงือกให้นางมาแล้วส่งให้เชวียหลงเฟย ตอนนี้ชีอ้าวชวางไม่กลัวว่าเจ้าหญิงเงือกจะไม่ยอมกลับไปแล้ว จากที่เห็นคือเพียงแค่เชวียหลงเฟยพูดคำเดียวนางก็ยอมมอบมงกุฎมาให้เช่นนี้ ดูท่าทางนางจะเชื่อฟังเชวียหลงเฟยเอามากๆ
“ได้สิ ไม่มีปัญหา” เชวียหลงเฟยรับสร้อยนั้นมา
จากนั้นทุกคนก็แยกกันไปตามทางของใครของมัน เชวียหลงเฟยจัดเรือให้พาคนอื่นๆ ไปส่งตามเส้นทางที่ต่างกัน ส่วนเขาไปส่งชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋น เฟิงอี้เซวียนมองชีอ้าวชวางอย่างลึกซึ้งแล้วเดินทางเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไร เวลานี้ไม่พูดอะไรคงจะดีที่สุด