ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 56 เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง
แน่นอนว่าคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนค่อนข้างจะเกินจริงเล็กน้อย แต่เรื่องที่ว่าที่ผ่านมาฮูหยินใหญ่เวิ่นจวนห้าไม่ค่อยจะรับแขกเท่าไหร่นั้นกลับเป็นเรื่องจริง
ทุกคนได้ยินแล้วต่างก็หัวเราะกันดังลั่น
ต่อมาฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงสั่งให้นำอาหารเที่ยงขึ้นโต๊ะ “…พวกเราก็ไม่รอแล้ว ตอนเย็นค่อยมารวมตัวกันดีๆ อีกครั้งก็แล้วกัน”
เฉิงเหมี่ยนถูกจวนรองเชิญตัวไปตั้งแต่ตอนเช้า เมื่อครู่เพิ่งมาแจ้งว่าท่านผู้นำตระกูลจวนรองรั้งให้อยู่ทานข้าวด้วย ให้พวกนางไม่ต้องรอ
โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นที่กำลังช่วยพวกสาวใช้นำอาหารขึ้นโต๊ะอยู่นั้น ถูกฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจับเอาไว้และกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ “ไม่มีคนนอกที่ไหน ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้”
สองพี่น้องรู้ดีว่าท่านยายกับท่านป้าใหญ่ไม่ใช่คนที่เรื่องเยอะอะไร จึงกล่าวขอบคุณยิ้มๆ และนั่งลงทานมื้อเที่ยงพร้อมกัน
ตอนนี้อากาศร้อนแล้ว หลังจากที่ดื่มชาเสร็จทุกคนต่างก็ง่วงเหงาหาวนอนกันเล็กน้อย สนทนากันเพียงไม่กี่ประโยค ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
เมื่อโจวเสาจิ่นตื่นขึ้นมา ดวงอาทิตย์ก็ค่อนข้างจะคล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตกแล้ว
นางคิดไม่ถึงว่าตนเองจะนอนหลับลึกได้ขนาดนี้ รีบเอ่ยถามซือเซียงว่า “ฝั่งท่านยายทางโน้นเริ่มเตรียมมื้อค่ำกันแล้วหรือยัง”
“นานหลายวันมาแล้วนะเจ้าคะที่คุณหนูรองไม่ได้นอนหลับดีๆ เช่นนี้” ซือเซียงกล่าวยิ้มๆ “บ่าวกลัวว่าจะทำให้ท่านตกใจตื่น ทั้งยังกลัวว่าจะไม่ทันมื้อค่ำ ฉะนั้นจึงคอยมองที่เรือนเจียซู่อยู่ตลอด คุณชายทั้งสองต่างก็ยังไม่กลับมา เกรงว่ามื้อค่ำคงยังจะต้องรออีกสักพักเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นถามถึงพี่สาว “…ตื่นหรือยัง”
“ตื่นแล้วเจ้าค่ะ!” ซือเซียงช่วยดูแลขณะที่นางดื่มน้ำชา จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “เห็นท่านยังไม่ตื่น ก็เลยไปหาฮูหยินใหญ่ บอกว่าจะไปเล่นไพ่นกกระจอกเป็นเพื่อนฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า ครุ่นคิดอยู่ว่า หากเฉิงเก้ากับเฉิงอี้กลับมาก็น่าจะไปคารวะท่านยายก่อน เช่นนั้นตนเองก็ควรจะไปหาท่านป้าใหญ่ด้วยเช่นกัน ตามไปอยู่กับพี่สาว อย่างไรก็ไม่น่าจะมีข้อผิดพลาด และสามารถหลีกเลี่ยงข้อกังขาได้ด้วย
ซือเซียงช่วยนางเปลี่ยนเป็นชุดเพ่ยจื่อสีเขียวอ่อนลายดอกฝูหรง เส้นผมดำสลวยถูกหวีขึ้นเป็นมวยคู่หนึ่ง ติดเอาไว้ด้วยกิ๊บติดผมเงินที่ประดับด้วยดอกไม้ทำจากไข่มุก จากนั้นหยิบพัดเซียงเฟยเส้นด้ายสีขาวขอบทองทรงกลมด้ามหนึ่งแล้วตรงไปที่เรือนหานชิว
ประตูทางเข้าของเรือนหานชิวเป็นสระดอกบัวหลวง ใบสีเขียวราวหยกซ้อนกันใบต่อใบ ดอกบัวตูมเรียวแหลม เป็นทัศนียภาพที่งดงามยิ่ง
โจวเสาจิ่นยืนชื่นชมความงามของดอกบัวอยู่ตรงนั้นอยู่พักใหญ่ กว่าจะเดินตามสาวใช้ไปที่ศาลาริมน้ำ
คนที่กำลังเล่นไพ่นกกระจอกกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอยู่นั้น นอกจากโจวชูจิ่นแล้ว ยังมีคนข้างกายของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างมามาแซ่เหอผู้เป็นมามาส่วนตัวหนึ่งคน และสาวใช้ส่วนตัวนามว่าเซียงเหลียนอีกหนึ่งคน สี่คนจั่วครบหนึ่งรอบพอดี ส่วนบรรดาสาวรับใช้ต่างก็กำลังนำน้ำชาและของว่างขึ้นโต๊ะ ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงหันมากวักมือเรียกโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “มา มาช่วยข้าดูไพ่หน่อย แตงหวานของปีนี้หวานเป็นพิเศษ เจ้าทานให้มากหน่อย”
ทุกคนต่างรู้ว่านางยังเล่นไพ่ไม่เป็น อีกทั้งยังไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยๆ เหอมามาและคนอื่นๆ จึงไม่ต้องมีพิธีรีตรองกับนางมากนัก เซียงเหลียนไปสั่งการสาวรับใช้ให้นำแตงหวานมาขึ้นโต๊ะให้โจวเสาจิ่น ส่วนเหอมามาลุกขึ้นมากล่าวทักทายนาง “ชุดเพ่ยจื่อชุดนี้ของคุณหนูรองงดงามยิ่งนัก เป็นผ้าที่ท่านบุตรเขยให้คนนำมาส่งให้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นจำไม่ค่อยได้แล้ว จึงตอบอืออออย่างคลุมเครือไปครั้งหนึ่ง
มีสาวรับใช้วิ่งเข้ามา กล่าวอย่างร้อนรนว่า “ฮูหยินใหญ่ คุณชายทั้งสองมาเจ้าค่ะ”
คนในห้องทั้งหมดต่างตกอยู่ในอาการงุนงง
ถ้าเฉิงเก้ากับเฉิงอี้ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากวนมาแล้ว อากาศร้อนขนาดนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะต้องรั้งให้คนทั้งสองรออยู่ที่นั่นจนกว่าจะถึงมื้อค่ำเป็นแน่ แต่หากเป็นการตรงมาที่นี่เลย…เป็นการเสียมารยาทยิ่งนัก น้อยครั้งมากที่ทั้งสองคนจะกระทำเช่นนี้…ต้องมีเรื่องอะไรเป็นแน่
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรีบกล่าวขึ้นว่า “ยังไม่รีบเชิญคุณชายทั้งสองท่านเข้ามาอีก”
สาวรับใช้รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นหลบเข้าไปอยู่ที่ด้านหลังของฉากกั้น
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและคนอื่นๆ ไหนเลยจะสังเกตเห็นพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ มีเพียงโจวชูจิ่น ที่ขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม ราวกับจมอยู่ในความคิด ขณะที่เฉิงเก้ากับเฉิงอี้สองพี่น้องเดินเข้ามาด้วยกัน
เฉิงเก้ายังดีกว่าหน่อย เสื้อผ้ายังเรียบร้อยดี มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่แดงจนเหมือนกับกวนอู ส่วนเฉิงอี้นั้นเห็นได้ชัดว่าดื่มเหล้าเข้าไปมากเกินไป แม้แต่จะเดินก็ยังต้องให้พี่ชายช่วยพยุงเอาไว้ แววตาเลื่อนลอย และไม่รู้ว่ากำลังพึมพำอะไรอยู่ในปาก โจวเสาจิ่นที่อยู่ด้านหลังของฉากกั้นยังได้กลิ่นเหล้าแรงสายหนึ่ง
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนทั้งตกใจและร้อนรน พูดไม่หยุดว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงดื่มเหล้าเข้าไปมากขนาดนี้ อีกปะเดี๋ยวทุกคนก็จะทานมื้อค่ำด้วยกันทั้งครอบครัวแล้ว นี่หากว่านายท่านกับนายหญิงผู้เฒ่าเห็นเข้าจะทำอย่างไร” ขณะที่พูด ก็ตะโกนเรียกเซียงเหลียนเสียงดังว่า “รีบไปสั่งให้ที่ครัวต้มน้ำแกงช่วยให้สร่างเมามา”
เฉิงเก้ากล่าวขึ้นอย่างหัวเสียว่า “เจอเฉิงจวี่กับเฉิงลู่ที่จวนห้า พวกเขาก็อยู่ทานข้าวด้วย ท่านอาเวิ่นห้าคะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้าอยู่ตลอด เฉิงนั่วเองก็อยู่ที่นั่นคอยส่งเสียงสนับสนุน พวกข้าจะไม่ดื่มก็ไม่ได้ ข้ายังช่วยน้องรองบอกปัดไปหลายจอก แต่ก็ปัดเอาไว้ไม่อยู่ หากไม่ใช่ว่าข้าบอกว่าตอนเย็นจะมีทานข้าวด้วยกันกับคนที่จวน เกรงว่าคงยังไม่สามารถหลบออกมาได้ ท่านแม่ น้ำแกงช่วยให้สร่างเมาอาจจะเอาไม่อยู่ ข้าจำได้ว่าท่านมียาช่วยให้สร่างมาอยู่ รีบให้น้องรองดื่มสักหน่อยเถอะขอรับ ดีร้ายอย่างไรก็สามารถทำให้เขามีสติขึ้นมาบ้าง”
การเฉลิมฉลองเทศกาลในวันนี้ ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนทั้งกลัวว่าบุตรชายจะเมามายจนทำให้สามีโกรธและกลัวว่าแม่สามีจะตำหนินางที่ไม่ควบคุมสองพี่น้องให้ดี เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรีบให้เหอมามาไปหยินยาช่วยให้สร่างเมามาในทันที จากนั้นนางกับเฉิงเก้าช่วยกันประคองเฉิงอี้ไปพักบนเตียงของตน ป้อนยาช่วยให้สร่างเมาด้วยตัวเอง สั่งให้สาวรับใช้หยิบกระโถนเงินมาคอยรับใช้อยู่ข้างๆ
ไม่นานหลังจากนั้น เฉิงอี้ก็อาเจียนออกมา
บรรดาบ่าวรับใช้ก็นำน้ำเปล่ามาให้เขาบ้วนปาก ทั้งนำของเสียไปเททิ้ง ทั้งไปชงชา รีบจนหัวหมุน
ในที่สุดเฉิงอี้ก็อาเจียนออกมาจนเกือบจะหมด อาการเมามายของเฉิงอี้ก็ดีขึ้นมากกว่าครึ่งแล้ว ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงเริ่มกล่าวขึ้นมาว่า “สภาวการณ์ของทางนั้นเป็นอย่างไรใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่รู้ ท่านอาเวิ่นห้าของพวกเจ้านั้นขอเพียงให้มีเหล้า ไม่ว่าพบเห็นใครก็ล้วนต้องให้ดื่มสักสองสามจอก อีกทั้งยังเป็นคนที่ดื่มเหล้าแบบเอื่อยๆ ในหนึ่งมื้ออาหาร หากไม่ทานหนึ่งถึงสองชั่วยาม เขาก็จะไม่ปล่อยให้คนจากไป พวกเจ้าไหนเลยจะดื่มเป็นเพื่อนเขาได้อย่างไร พวกเจ้าเองก็ไม่รู้จักประเมินสถานการณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ควรจะลอบหนีกลับออกมาก่อนถึงจะถูก ยังจะรั้งอยู่ที่นั่นเพื่อทานมื้อเที่ยงอีก ครั้งนี้คงได้รับบทเรียนแล้วกระมัง ข้าก็ยังว่าอยู่ ทำไมอยู่ๆ ฮูหยินใหญ่เวิ่นถึงได้รั้งพวกเจ้าอยู่ทานข้าวด้วย ที่แท้ก็เป็นเพราะท่านอาเวิ่นห้าของพวกเจ้าอยู่บ้านด้วยนี่เอง…”
วันนี้เป็นเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง ทุกที่ต่างก็ประดับตกแต่งเอาไว้ด้วยโคมไฟ ด้วยนิสัยของเฉิงเวิ่น แต่กลับไม่ได้ไปร่ำสุราเคล้านารีอยู่ข้างนอกอย่างไม่น่าเชื่อ จึงไม่แปลกที่ฮูหยินใหญ่เวิ่นจะรู้สึกประหลาดใจ
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้เรื่องนี้ดี
ชาติก่อน ช่วงเวลานี้คือช่วงที่ภรรยาน้อยของเฉิงเวิ่นตั้งครรภ์ เฉิงเวิ่นอยากจะมอบสถานะหนึ่งให้กับภรรยาน้อย จึงกลับบ้านมาเพื่อเจรจากับฮูหยินใหญ่เวิ่น
แน่นอนว่าฮูหยินใหญ่เวิ่นไม่มีทางเห็นด้วย ไม่เพียงเท่านี้ วันรุ่งขึ้นยังเอะอะโวยวายไปถึงท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่จวนรองอีกด้วย
เฉิงซวี่เอือมระอาฮูหยินใหญ่เวิ่นที่แม้แต่เรื่องภรรยาน้อยของสามีก็ยังจัดการไม่ได้ ไม่อยากสนใจนาง จึงเรียกเฉิงเวิ่นไปที่ศาลาชุนเจ๋อโดยตรง ให้เขาคุกเข่าอยู่ใต้พระอาทิตย์โดยไม่มีน้ำและข้าวได้ตกถึงท้องเลยทั้งวัน จนเกือบจะเป็นลมล้มพับลงไป
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เฉิงเวิ่นกับฮูหยินใหญ่เวิ่นก็เปิดฉากทะเลาะกันอย่างเปิดเผยเรื่อยมา
ภรรยาน้อยผู้นั้นไม่เพียงคลอดบุตรคนหนึ่งออกมาเท่านั้น แต่ยังเป็นบุตรชายผู้หนึ่ง ทำให้เฉิงเวิ่นที่นอกจากวันเชงเม้ง และวันเซ่นไหว้บรรพบุรุษในวันสิ้นปีแล้ว เทศกาลอื่นๆ ก็ล้วนเฉลิมฉลองอยู่กับภรรยาน้อยผู้นั้น ภรรยาน้อยผู้นั้นก็เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานผู้หนึ่ง รอจนกระทั่งบุตรชายเติบโตขึ้น ล้วนเรียนเขียนอ่านได้เก่งกว่าบุตรของเฉิงเวิ่นอย่างเฉิงนั่ว เฉิงเวิ่นจึงอยากให้บุตรชายได้กลับมาทำความรู้จักกับบรรพบุรุษ จึงโวยวายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง สุดท้ายถึงแม้ว่าไม่สามารถเอาบุตรผู้นั้นเข้ามาเป็นสมาชิกได้ ทว่าเฉิงเวิ่นกลับโอนทรัพย์สินมากกว่าครึ่งของครอบครัวไปเป็นชื่อของบุตรผู้นั้น ตอนที่เฉิงอี้ไปเยี่ยมโจวเสาจิ่นนั้น ยังเอ่ยถึงสถานการณ์ของจวนห้าว่า เดิมทีก็เป็นแค่เปลือกหอยว่างเปล่าวอยู่แล้ว! ที่ท่านอาเวิ่นห้าต้องแอบเอาทรัพย์สินของบรรพบุรุษไปขายนั้น ก็เพื่อบุตรที่คลอดอยู่ข้างนอกผู้นั้น
แน่นอนว่าตอนนี้เฉิงเวิ่นคงยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับฮูหยินใหญ่เวิ่น ดังนั้นฮูหยินใหญ่เวิ่นจึงยังสามารถต้อนรับผู้มาเยือนอย่างเบิกบานได้ รอให้ถึงเวลากลางคืนเมื่อฮูหยินใหญ่เวิ่นทราบถึงสาเหตุที่เฉิงเวิ่นอยู่จวนแล้วล่ะก็ เกรงว่าในบ้านคงจะเดือดจนระเบิดออกมา
โจวเสาจิ่นหวาดกลัวเรื่องเช่นนี้เป็นที่สุด
แค่คิดก็รู้สึกปวดศีรษะแล้ว
รอจนกระทั่งเฉิงอี้สามารถลงมาเดินได้แล้ว พวกเขาจึงไปที่เรือนเจียซู่
ระหว่างทาง เฉิงอี้กล่าวกับโจวเสาจิ่นอย่างขัดเขินว่า “ให้เจ้าเห็นเรื่องขบขันเสียแล้ว”
หากเป็นเมื่อก่อน โจวเสาจิ่นคงจะปลอบโยนเขาสักสองประโยคเป็นแน่ แต่นางในตอนนี้เพียงแค่คิดถึงสภาพเมามายของเฉิงอี้ ก็รู้สึกเอือมระอาเป็นอย่างยิ่งแล้ว จึงอดไม่ได้กล่าวขึ้นว่า “ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วเหตุใดยังดื่มเข้าไปมากขนาดนั้นอีก ผู้อื่นก็คงไม่ได้คิดว่าท่านเป็นวีรบุรุษเพียงเพราะว่าท่านดื่มได้มากหรอกกระมัง ท่านเป็นเช่นนี้มีแต่จะทำให้คนรู้สึกว่าท่านนั้นไม่มีความอดกลั้น ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คนเช่นนี้จะรับผิดชอบเรื่องใหญ่ๆ ได้อย่างไร และจะเอาท่านมาอยู่ในความสนใจได้อย่างไร ต่อไปท่านก็ควรจะดื่มให้น้อยลงหน่อย แล้วก็อย่าให้พอมีคนคะยั้นคะยอเข้าหน่อยก็ดื่มแล้ว เช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไร”
ถึงแม้ว่าเสียงของนางจะเบา ทว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและเฉิงเก้าที่เฝ้าสังเกตเฉิงอี้อยู่ตลอดกลับได้ยินอย่างชัดเจน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพนักหน้าอยู่ตลอด รู้สึกว่าโจวเสาจิ่นยิ่งโตก็ยิ่งรู้ความ
นางครุ่นคิดถึงคำพูดที่ได้ยินในห้องของแม่สามีในวันนั้น รู้สึกว่าถ้าหากโจวเสาจิ่นสามารถดูแลเฉิงอี้ได้ ถึงแม้จะปล่อยให้นางรั้งอยู่ในบ้าน ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
เฉิงเก้าคิดถึงสภาพของตนเองยามดื่มเหล้า รู้สึกว่าคำพูดนี้ของโจวเสาจิ่นราวกับกำลังต่อว่าเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ชั่วขณะนั้นใบหน้าก็แดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
เฉิงอี้กลับไม่คิดอะไรมากขนาดนั้น เขาหัวเราะร่า ติดตามอยู่ด้านหลังของโจวเสาจิ่นอย่างกระตือรือร้น จนถึงเรือนเจียซู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับเฉิงเหมี่ยนเห็นแล้วก็อดไม่ได้ต้องต่อว่าเฉิงอี้สักสองสามประโยค เฉิงอี้มีท่าทีสำนึกผิดเป็นอย่างมาก ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับเฉิงเหมี่ยนจึงไม่ได้สอบสวนอะไรต่ออีก ทำเพียงกล่าวตักเตือนเขาว่า “หากว่าครั้งหน้ายังไม่สามารถควบคุมตัวเองเช่นนี้อีก ก็จะไม่อนุญาตให้ออกไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนอีกแล้ว”
เฉิงอี้รับปากครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุด
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นว่าเริ่มดึกแล้ว จึงให้พวกสาวใช้นำอาหารขึ้นโต๊ะ
เนื่องจากล้วนเป็นคนในครอบครัว ถึงแม้จะตั้งโต๊ะสองโต๊ะ ทว่าก็อยู่ในห้องเดียวกัน และก็ไม่ได้ตั้งฉากกั้นด้วย
หลังจากที่ทานบ๊ะจ่างกันแล้ว พวกผู้หญิงติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากวนไปชมจันทร์ในสวน ส่วนเฉิงเก้ากับเฉิงอี้ถูกเฉิงเหมี่ยนเรียกไปสอบถามเรื่องการเรียนที่ห้องหนังสือ
เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างในรัชศกจื้อเต๋อปีที่สิบแปดก็ผ่านไปอย่างสงบสุขและอบอุ่นเช่นนี้
วันรุ่งขึ้น เรื่องของเฉิงเวิ่นก็เป็นข่าวคึกโครมขึ้นมา
ชาติก่อน โจวเสาจิ่นอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม เรื่องจบไปแล้วถึงค่อยได้ยินข่าว
ชาตินี้ โจวเสาจิ่นกำลังคัดพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซานของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ตอนที่ฮูหยินใหญ่เวิ่นร้องห่มร้องไห้บุกเข้าไปที่เรือนเจ๋อหลานที่ท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่จวนรองอาศัยอยู่นั้น บ่าวรับใช้ที่คอยรับใช้อยู่ที่ห้องศึกษาจิ้งอันก็ได้แอบมากระซิบที่ข้างหูของนางแล้ว
นางรู้เรื่องนี้เร็วกว่าเฉิงเจียเสียอีก
ส่วนพานชิงกว่าจะรู้ก็ตอนที่ได้ยินเฉิงเสียนกล่าวขึ้นมาในช่วงบ่าย
นางถามมารดาว่า “ท่านผู้นำตระกูลก็ได้ลงโทษท่านลุงเวิ่นไปแล้ว หลังจากนี้ก็น่าจะให้ภรรยาน้อยผู้นั้นเข้าจวนมาได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ ไม่ว่าอย่างไร ก็ได้ตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเฉิง…”
เฉิงเสียนยิ้มหยัน พลางกล่าวขึ้นว่า “หากว่ากฎของตระกูลนั้น พูดว่าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน เช่นนั้นจะเป็นตระกูลแบบไหนกัน”
พานชิงได้ยินแล้วก็ก้มศีรษะลง
เฉิงเสียนจึงไม่เห็นแววตาระยับที่พาดผ่านอยู่ในตาของบุตรสาว
เฉิงนั่วมาหาเฉิงอี้เพื่อปรับทุกข์ “ทั้งๆ เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งเท่านั้น ทำไมท่านแม่ของข้าถึงยอมอดกลั้นให้ไม่ได้ แทนที่จะโวยวายออกมาเช่นนี้จนทำให้ทุกคนดูไม่ดี ไม่สู้แอบรับนางเข้ามาอย่างเงียบๆ ยังจะดีเสียกว่า และยังหลีกเลี่ยงการที่ท่านพ่อมักจะไปเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกได้ด้วย”
เฉิงเหมี่ยนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนนั้นปฏิบัติต่อกันอย่างเคารพซึ่งกันและกัน เฉิงอี้จึงไม่อาจเข้าใจความสัมพันธ์เช่นนี้ได้จริงๆ จำต้องกล่าวว่า “ผู้ใหญ่นั้นมีประสบการณ์ที่มากกว่าพวกเรามากนัก ไหนเลยจะถึงคราวของพวกเราให้ตัดสินว่าถนนเส้นไหนจะยาวหรือสั้น เจ้าก็อย่าสนใจเลยดีกว่า เชื่อว่าท่านผู้นำตระกูลจะต้องให้ทางออกแก่ครอบครัวของเจ้าได้” จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวถึงเรื่องในสำนักศึกษาขึ้นมา “ปีนี้มีใครจะลงสนามสอบบ้างหรือ พรุ่งนี้พี่ชายพานก็จะออกเดินทางกลับบ้านเดิมแล้ว พี่ชายลู่ก็เหมือนกับบอกว่าจะขอลาหยุดเพื่ออ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน…พวกเรามาจัดงานเลี้ยงส่งพวกเขาดีหรือไม่”
เมื่อได้ฟังเฉิงนั่วก็สนใจขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ดีๆ! เช่นนั้นก็อยู่ที่เดิมก็แล้วกัน ข้าจะเป็นเจ้ามือเอง หลายวันนี้ข้าตามท่านแม่ของข้ากลับไปที่บ้านเดิม ท่านตา ท่านยายและท่านลุงต่างก็ให้เงินรางวัลข้ามา”
……………………………………………………………..