เดินทางด้วยเรือและนั่งเกี้ยวมาทั้งวัน ทำให้คนในตระกูลโจวทั้งนายและบ่าวต่างก็อ่อนเพลียกันเป็นอย่างมาก หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างก็กลับไปพักผ่อนที่เรือนของตัวเอง
เช้าวันรุ่งขึ้น สองพี่น้องตระกูลโจวรู้สึกตัวตื่นในยามเหม่าเจิ้งเหมือนเช่นวันก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่ทันที่พวกนางจะได้ลุกขึ้นมา ฉือเซียงที่เฝ้าเวรยามอยู่ตลอดทั้งคืนเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็เดินเข้ามาก่อนแล้ว กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง เมื่อครู่นายท่านให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานมาแจ้งว่า เมื่อวานคุณหนูทั้งสองท่านเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว วันนี้ก็นอนพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ต้องไปคารวะยามเช้านายท่านกับฮูหยินเจ้าค่ะ”
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ วันนี้พวกนางสามารถนอนตื่นสายได้นั่นเอง
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ยิ้มยินดีไปทั้งหน้า กล่าวขึ้นว่า “อยู่บ้านนี่ดีจริงๆ!”
โจวชูจิ่นมองความน่ารักบริสุทธิ์ประดุจดอกไห่ถังของนางแล้ว ก็บีบจมูกของนางเอาไว้พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “อะไรที่เรียกว่าอยู่บ้านแล้วดีหรือ นานๆ ทีนอนตื่นสายบ้างก็พอได้ แต่หากเป็นเช่นนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน เกรงว่าจะถูกให้ท้ายจนกลายเป็นคนไม่มีระเบียบวินัยได้”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า ทิ้งศีรษะลงไปนอนต่อ
โจวชูจิ่นถามฉือเซียง “แล้วฮูหยินเล่า”
ฉือเซียงช่างเหมาะสมที่จะเป็นคนสนิทของโจวชูจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินก็ยังไม่ตื่นเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นถึงได้วางใจ หาวออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นกลับไปนอนต่อ
กระทั่งตอนที่พี่น้องทั้งสองลืมตาตื่นขึ้นมา ตะวันก็ขึ้นโด่งอยู่บนศีรษะแล้ว
“แย่แล้ว!” โจวชูจิ่นรีบปลุกน้องสาวให้ตื่น แล้วถามฉือเซียงที่คอยรับใช้ว่า “ทางด้านห้องหนังสือให้คนมาถามบ้างหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” ฉือเซียงเลิกผ้าม่านขึ้นอย่างคล่องแคล่วไปด้วย พลางกล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “นายท่านออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ สหายร่วมชั้นของนายท่านหลายคนทราบว่านายท่านกลับมา จึงชวนนายท่านไปดื่มสุราแล้วเจ้าค่ะ”
“อา!” โจวชูจิ่นรู้สึกทึ่มทื่อไปเล็กน้อย
เช่นนั้นพวกนางไม่ต้องเผชิญหน้ากับหลี่ซื่อตามลำพังหรอกหรือ
โจวชูจิ่นอดไม่ได้ขมวดคิ้วมุ่น มองไปที่โจวเสาจิ่นด้วยท่าทางลังเล
โจวเสาจิ่นกลับไม่ทุกข์ร้อนอะไร กระซิบข้างหูพี่สาวว่า “ไม่แน่ว่าผู้อื่นก็กำลังกังวลใจเหมือนกันก็เป็นได้เจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นหัวเราะออกมา จับไหล่ของโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ไม่แปลกใจที่ท่านพ่อจะบอกว่าเจ้าเป็นผีผู้ปราดเปรื่อง!”
โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม
พี่น้องทั้งสองล้างหน้าแต่งตัวอย่างเรียบเรื่อยอย่างไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่อืดอาด หลังจากที่ทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปคารวะหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง รั้งให้พวกนางอยู่สนทนาด้วย
โจวชูจิ่นถึงได้รู้ว่า ตระกูลหลี่เป็นครอบครัวเศรษฐีของเจียงซี หลี่ซื่อเป็นบุตรสาวคนเล็กสุดของครอบครัว นางมีพี่ชายอยู่สี่คน ทั้งหมดล้วนแต่งงานกับบุตรสาวของพ่อค้า ในบรรดาทั้งหมดนั้นพี่ชายคนโตสุขุมที่สุด ติดตามนายหลี่ผู้เป็นบิดาไปดูแลกิจการของครอบครัว ส่วนพี่ชายคนที่สามใจกล้ามากที่สุด เปิดโรงเครื่องปั้นดินเผาอยู่ข้างนอกเป็นของตัวเอง ทำพวกเครื่องเคลือบลายครามต่างๆ เป็นการเฉพาะ ยังกล่าวยิ้มๆ ว่า “…รอให้ถึงตอนที่พวกเจ้าออกเรือน ข้าจะให้พี่สามของข้าทำเครื่องลายครามสำหรับออกเรือนมาให้พวกเจ้าชุดหนึ่ง”
เครื่องลายครามสำหรับออกเรือนนั้น ย่อมแตกต่างกันไปตั้งแต่คู่ที่หนึ่งไปจนถึงคู่ที่หนึ่งร้อยแปดตามความแตกต่างของสถานะครอบครัว ความพิเศษคือของทุกแบบต่างจัดเป็นคู่ๆ โดยที่รูปแบบทั้งหมดจะหมายถึงให้มีบุตรชายมากมายและมีชีวิตที่ยืนยาวหรือไม่ก็ให้ชีวิตของสามีภรรยาสามัคคีปรองดองกัน
สีหน้าของโจวชูจิ่นแดงขึ้นเล็กน้อย แต่ในใจกลับไม่ยินดีนัก รู้สึกว่าสุดท้ายแล้วหลี่ซื่อก็มาจากครอบครัวพ่อค้า กล่าวไปกล่าวมาก็รู้จักแต่เพียงนำเอาความโปรดปรานเล็กๆ น้อยๆ มาติดสินบนผู้อื่น
สำหรับผู้อื่นสิ่งนี้อาจจะเป็นที่โปรดปราน แต่สำหรับโจวชูจิ่นที่มาจากซอยจิ่วหรูแล้วกลับรู้สึกน่ารังเกียจเล็กน้อย
นางยิ้มพลางกล่าวอย่างสงวนท่าทีเล็กน้อยว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณฮูหยินเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อเองก็ไม่ใช่คนที่มีตาแต่หามีแววไม่ ตรงกันข้าม ถึงแม้ว่านางจะเป็นบุตรคนเล็กที่สุดของบ้าน แต่เนื่องจากมารดาอายุมากแล้ว ผู้ที่ดูแลบ้านเป็นหลักจึงเป็นพี่สะใภ้คนโต นางรู้ว่าต่อให้ตนเองจะออกเรือนไปแล้วก็ยังต้องการการหนุนหลังของพี่ชายและพี่สะใภ้อยู่ ดังนั้นนางจึงเก่งในเรื่องมองสีหน้าของคนไม่น้อย
โจวชูจิ่นลอบแผ่ความดูแคลนออกมาอยู่จางๆ ทำให้นางรู้สึกใจตุ้มๆ ต่อมๆ
สามีไม่อยู่บ้าน นางคิดว่าเป็นจังหวะเหมาะสมพอดีได้ใช้โอกาสนี้เอาอกเอาใจลูกเลี้ยงทั้งสองคน หลี่ซื่อถึงได้รั้งให้สองพี่น้องอยู่สนทนาด้วย ใครจะรู้ว่านอกจากไม่สามารถทำให้คนโปรดปรานได้แล้ว ตรงกันข้ามกลับทำให้คนดูแคลนแทน
ใบหน้าของหลี่ซื่อขึ้นสีแดงเรื่อ
โจวเสาจิ่นหวังให้บิดาสามารถมีบั้นปลายชีวิตที่สงบสุข
จะช้าจะเร็วตนกับพี่สาวก็ต้องแต่งงานออกเรือนไปอยู่ดี แต่บั้นปลายชีวิตของบิดายังต้องอาศัยหลี่ซื่อให้ช่วยคอยดูแล
นางรีบกล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “ฮูหยิน ข้าชอบเครื่องกระเบื้องหลากสี ข้าสามารถให้ท่านลุงสามตระกูลหลี่ทำเครื่องกระเบื้องหลากสีหนึ่งร้อยแปดคู่มาให้ข้าชุดหนึ่งได้หรือไม่เจ้าคะ”
หลี่ซื่อตะลึงงัน ฉับพลันนั้นก็รู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมา
ไม่แปลกใจที่ฮูหยินผู้เฒ่าในตระกูลเฉิงต่างโปรดปรานโจวเสาจิ่น เด็กคนนี้ ทั้งเฉลียวฉลาด งดงามและเห็นอกเห็นใจจริงๆ
นางรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้ๆๆ พี่สามของข้าอยู่ในแวดวงพวกนี้ ต่อให้ที่โรงเผาของเขาไม่ได้เผา ก็สามารถไปเสาะหาคนที่มีฝีมือมาได้ ถึงเวลานั้นข้าจะให้พวกเขานำแบบมาให้เจ้าเลือก จะต้องทำเครื่องลายครามชั้นดีให้เจ้าสักชุดได้อย่างแน่นอน จะได้เก็บเอาไว้ให้ลูกหลานได้ใช้ด้วย”
โจวชูจิ่นเองก็เข้าใจเจตนาของน้องสาวดี นางลอบถอนหายใจครั้งหนึ่ง จากนั้นก้มหน้าลงดื่มชา
หลี่ซื่อเห็นว่าโจวเสาจิ่นนั้นจริงใจและไร้เดียงสา ส่วนโจวชูจิ่นนั้นกลับหลักแหลมและเก่งกาจ ด้วยสัญชาตญาณหลีกเลี่ยงอันตรายทำให้นางไม่กล้าคุยอะไรมากกับโจวชูจิ่นอีก จึงตั้งอกตั้งใจคุยกับโจวเสาจิ่นแทน
โดยธรรมชาติแล้วโจวเสาจิ่นไม่ใช่คนที่เข้าสังคมเก่งนัก คุยกันได้ไม่กี่ประโยค นางก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาเป็นอย่างมาก
นางหันไปส่งสายตาร้องขอความช่วยเหลือจากพี่สาว
โจวชูจิ่นเห็นนางคุยกับหลี่ซื่ออย่างสนิทสนม รู้สึกไม่ยินดีอยู่ในใจ จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
โจวเสาจิ่นไม่มีทางเลือก จำต้องพยายามคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้กับหลี่ซื่อต่อไป เมื่อเห็นว่าบทสนทนาจบลง เกิดความเงียบขึ้น สายตาของโจวเสาจิ่นกวาดไปเห็นตะกร้าหวายสานบนโต๊ะ พบว่าข้างในมีเสื้อผ้าเด็กที่ทำไปได้กว่าครึ่งแล้ววางเอาไว้ตัวหนึ่ง นัยน์ตานางสว่างวาบขึ้น ชี้ไปที่ตะกร้าหวายสานนั้นพลางกล่าว “นี่คือชุดที่ฮูหยินทำให้น้องชายหรือเจ้าคะ”
ถึงแม้จะรู้ดีว่าครรภ์ของหลี่ซื่อในครั้งนี้เป็นบุตรสาว แต่หลี่ซื่อในชาติก่อนล้วนฝันเอาไว้ว่าจะคลอดออกมาเป็นบุตรชายผู้หนึ่ง นางจึงไม่อยากให้ตัวเองไปทำลายความฝันนี้
เป็นไปตามที่คาด หลี่ซื่อได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข น้ำเสียงอ่อนโยนลงกว่าสามส่วน กล่าวขึ้นว่า “ใช่แล้ว! เป็นเสื้อเล็กๆ ตัวหนึ่ง”
โจวเสาจิ่นจึงเดินเข้าไปดู
หลี่ซื่อเองก็เดินไปสมทบด้วย
ทั้งสองคนสนทนาถึงเรื่องงานเย็บปักถักร้อยและงานตัดเย็บขึ้นมา สุดท้ายก็ถึงเวลาทานมื้อเที่ยง
หลังจากที่ทานมื้อเที่ยงกับหลี่ซื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวเสาจิ่นและพี่สาวก็กลับไปที่เรือนหลัก
พอเดินเข้าประตูมาโจวชูจิ่นก็จิ้มไปที่หน้าผากของโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นอย่างเคืองๆ ว่า “เจ้ามันเด็กเนรคุณ ท่านแม่อุตส่าห์คลอดเจ้าออกมาอย่างยากลำบาก เจ้ากลับไปสนิทสนมกับสตรีผู้นั้น เจ้ายังเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่านแม่อยู่หรือไม่!”
ที่แท้พี่สาวก็ยอมรับไม่ได้ที่จะให้สตรีอื่นมาเป็นมารดาของพวกนางนี่เอง!
โจวเสาจิ่นหน้าแดงด้วยความอับอาย
นางไม่ได้มีความรู้สึกอะไรจริงๆ…ก็เหมือนกับในบ้านมีสตรีเพิ่มเข้ามาผู้หนึ่งก็เท่านั้น อีกไม่กี่วันก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว ในฐานะเจ้าบ้าน นางจึงต้องสุภาพอ่อนน้อม พี่สาวเติบโตมากับมารดาตั้งแต่เล็กๆ เป็นธรรมดาที่ไม่อาจยอมรับหลี่ซื่อได้อย่างง่ายๆ เช่นที่นางเป็น…หากพูดจากจุดนี้แล้ว ดูเหมือนว่าพี่สาวต่างหากที่เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของมารดา…
โจวเสาจิ่นทั้งรู้สึกดีใจแทนมารดาไปด้วย และรู้สึกเศร้าไปด้วยเล็กน้อย
นางจำอะไรเกี่ยวกับมารดาไม่ได้เลย
มารดาในความคิดของนางแล้ว ก็เป็นเพียงแค่ชื่อๆ หนึ่งเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกใกล้ชิดเท่าพี่สาวด้วยซ้ำ!
นางกอดโจวชูจิ่นเอาไว้แน่น กล่าวขึ้นอย่างออดอ้อนว่า “ไม่ใช่ว่าข้าเพียงเห็นว่านางน่าสงสารหรอกหรือ ต่อไปข้าจะไม่สนใจนางอีกแล้วเจ้าค่ะ!” บังเกิดความกลัวว่าพี่สาวจะโกรธ
โจวชูจิ่นถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ตกบ่าย นางพาโจวชูจิ่นไปที่เรือนเพาะชำของจวงซื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับอวี๋มามาที่นั่น
อวี๋มามาดีใจเป็นอย่างมาก ต้มชาผลไม้ชนิดหนึ่งมาให้พวกนางดื่ม บอกว่าเป็นชาที่มารดาของพวกนางชอบดื่มที่สุดตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังเล่าให้พวกนางฟังอีกว่าดอกไม้กระถางไหนบ้างที่มารดาเหลือทิ้งเอาไว้ให้ และดอกไม้กระถางไหนบ้างที่ปลูกขึ้นมาใหม่ ดอกไม้กระถางไหนบ้างที่ขยายออกมาจากต้นเดิมของดอกไม้ที่มารดาเหลือทิ้งเอาไว้ให้ ดอกไม้กระถางไหนบ้างที่เพิ่มเติมเข้ามาใหม่…เดิมทีโจวเสาจิ่นชื่นชอบการปลูกต้นไม้ดอกไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่เพียงฟังอย่างสนใจเท่านั้น เมื่อพบจุดที่ตนไม่เข้าใจ ยังสอบถามอวี๋มามาขึ้นมาด้วย
อวี๋มามาเห็นว่าสิ่งที่โจวเสาจิ่นถามล้วนเป็นคำถามที่รู้จริงและเฉพาะด้าน จึงรู้สึกว่าไม่เสียแรงที่โจวเสาจิ่นเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของจวงซื่อ แม้แต่ลักษณะนิสัยก็เหมือนกัน จึงทำให้กล่าวอธิบายได้ยิ่งกระฉับกระเฉงมากยิ่งขึ้น แล้วจูงนางไปเลือกดอกกล้วยไม้สักสองสามกระถาง พลางกล่าวขึ้นว่า “…ทั้งหมดล้วนเป็นพันธุ์หายาก รอให้มีลมของฤดูใบไม้ร่วงพัดมาก็จะค่อยๆ พากันเบ่งบาน” กลัวว่านางจะไม่รู้ ยังสั่งให้บ่าวที่ดูแลดอกไม้อายุมากกว่าหกสิบปีผู้หนึ่งไปหาป้ายกระดาษแดงแผ่นยาวเล็กมาจำนวนหนึ่ง “ข้าเขียน หนึ่ง สอง สาม และสี่เอาไว้ คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองก็จัดวางตามนี้ ดอกไม้สามสี่กระถางนี้สามารถบานตั้งแต่เข้าเดือนที่สองของฤดูใบไม้ร่วงไปจนถึงเดือนที่หนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ รอให้ดอกของมันบานจนหมดแล้ว หากว่าทางโน้นไม่มีคนคอยดูแล คุณหนูรองก็ส่งต้นของมันกลับมา รอให้ผ่านเดือนที่หนึ่งของฤดูใบไม้ผลิไปแล้ว ข้าค่อยส่งต้นดอกไม้อีกชุดหนึ่งไปให้คุณหนูรองเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ารัว
กระทั่งบ่าวที่ดูแลดอกไม้กลับมาพร้อมกับป้ายกระดาษแดง โจวเสาจิ่นสองพี่น้องจึงช่วยกันเขียนป้ายกระดาษ
อวี๋มามาถอนหายใจพลางกล่าว “ตัวอักษรเหล่านี้เป็นฮูหยินจวงบอกกับข้าในปีนั้น นางกลัวว่าข้าจะเอาดอกไม้ของนางไปวางปนกัน ก็เลยติดป้ายกระดาษเหล่านี้ไว้ที่กระถางดอกไม้เพื่อให้ข้าจำแนกได้ นับแต่นั้นเป็นต้นมาข้าก็ไม่เคยทำพลาดอีก”
โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นฟังแล้วก็รู้สึกหดหู่ไปครู่หนึ่ง จากนั้นเริ่มต้นเขียนป้ายกระดาษ
กระทั่งเขียนป้ายกระดาษเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวเสาจิ่นเห็นว่าอวี๋มามาอายุมากแล้ว คิดจะให้ซือเซียงไปตามบ่าวชายเด็กผู้หนึ่งมาช่วยอวี๋มามายกกระถางดอกไม้พวกนี้ขึ้นไปวางบนชั้นวางดอกไม้ แต่พอหมุนตัวกลับไป กลับเห็นโจวเจิ้นผู้เป็นบิดาแทน
เขาพิงอยู่ที่ขอบประตูของเรือนเพาะชำ มองพวกนางอยู่อย่างเงียบๆ แววตาให้ความรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย เหมือนกับว่ามองเห็นภาพบางอย่างที่ทำให้เขาปวดใจผ่านตัวของพวกนาง
ท่านพ่อมาตั้งแต่เมื่อไหร่
โจวเสาจิ่นร้องขึ้นเสียงหนึ่งอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพ่อ!”
โจวชูจิ่นเองก็สังเกตเห็นโจวเจิ้นแล้วเช่นกัน
นางเองก็ร้องขึ้นเสียงหนึ่งอย่างประหลาดใจว่า “ท่านพ่อ”
โจวเจิ้นเปล่งเสียง “อ่อ” ออกมาเสียงหนึ่งราวกับเพิ่งตื่นขึ้นมาจากความฝัน ยืนตัวตรงขึ้นมา ความเจ็บปวดในดวงตามลายหายไปหมดแล้ว แทนที่ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นและท่าทางสดใสของแสงแดดในฤดูร้อน
“พวกเจ้าพากันมาถึงที่นี่ได้อย่างไร” ขณะที่เขาพูด ก็เดินเข้ามา ยื่นมือไปสัมผัสใบของกล้วยไม้ที่มารดาเหลือทิ้งเอาไว้ต้นนั้นอย่างรักใคร่ พลางกล่าวขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าดอกไม้พวกนี้จะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างงดงามขนาดนี้”
เป็นชั่วขณะหนึ่งที่โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นต่างก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
อวี๋มามารีบคุกเข่าลงค้อมตัวทำความเคารพ ถึงได้ทำลายความเงียบของสถานที่แห่งนี้ไปได้
โจวเจิ้นถามโจวเสาจิ่น “ชอบปลูกดอกไม้หรือ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “ลองปลูกเล่นๆ ช่วงที่ไม่มีอะไรทำเจ้าค่ะ แต่ก็ปลูกออกมาไม่งดงามเท่ากับดอกไม้ของท่านแม่”
“นั่นก็เป็นเพราะเจ้าอาศัยอยู่ที่ตระกูลเฉิง” โจวเจิ้นกล่าวยิ้มๆ “ตอนที่แม่ของเจ้าแต่งกับข้าใหม่ๆ ก็กล่าวเช่นนี้ ต่อมาเมื่อที่นี่กลายเป็นบ้านของนางแล้ว ยิ่งปลูกดอกไม้ของนางก็ยิ่งงดงาม”
ตอนแรกท่านแม่ไม่ได้รู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองอย่างนั้นหรือ
ไม่ได้รู้สึกว่าตระกูลจวงเป็นบ้านของตัวเองด้วยหรือเปล่านะ?
โจวเสาจิ่นมองบิดาอย่างฉงนสงสัย
โจวเจิ้นกลับโยนคำพูดประโยคดังกล่าวทิ้งไปแล้ว กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าเล่นอยู่ในนี้ไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับพี่สาวของเจ้า”
โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นต่างก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงขานตอบไปอย่างเชื่อฟัง คนหนึ่งเดินตามโจวเจิ้นไปที่ห้องหนังสือ ส่วนอีกคนหนึ่งรออยู่ในเรือนเพาะชำ
โจวเสาจิ่นนั่งท้าวคางอยู่ในเรือนเพาะจำ มองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงต่ำ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเลย
ที่นี่คือบ้านของตน
ไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกพอเสียที
พี่สาวอายุสิบแปดปีแล้ว ถ้าหากสามารถโน้มน้าวบิดาให้นางกับพี่สาวย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านได้ก็คงจะดี!
นางนั่งคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ที่นั่น โจวชูจิ่นเดินเข้ามาด้วยใบหน้าแดงเรื่อราวก้อนเมฆยามรุ่งอรุณ กล่าวกับนางอย่างขัดเขินว่า “ท่านพ่อให้เจ้าไปหาที่ห้องหนังสือ”
ท่านพ่อพูดอะไรกับพี่สาวไปบ้าง
นางดึงแขนของโจวชูจิ่นเอาไว้แน่นอย่างอยากรู้
แต่โจวชูจิ่นกลับไม่ยอมเล่าอะไรทั้งนั้น เพียงกล่าวเร่งนางว่า “เจ้ารีบไปที่ห้องหนังสือเสีย ท่านพ่อกำลังรอเจ้าอยู่ที่ห้องหนังสือ!”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า ตัดสินใจว่าค่อยถามพี่สาวอีกทีตอนเข้านอนคืนนี้ก็แล้วกัน
…………………………………………………………………..