“อย่าพูดเหลวไหล” โจวเสาจิ่นกระซิบเตือน “อยู่ภายในบริเวณเรือนของผู้อื่น เรื่องภายในเรือนของผู้อื่นเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราหรือ”
ซือเซียงเงียบเสียงลง
ความจริงแล้วโจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกเช่นกัน แต่นางคิดอยู่เสมอว่าเหตุผลที่บรรดาบ่าวชายทั้งผู้ใหญ่และเด็กเข้าออกเรือนได้บ่อยๆ ในขณะที่บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ต่างๆ กลับไม่กล้าเดินไปมาตามปรารถนา นั่นก็อาจเป็นเพราะเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยยังไม่มีนายหญิง
ไม่นานนัก ไหวซานก็กลับเข้ามา เขาแจ้งว่า “นายท่านสี่เชิญคุณหนูรองไปคุยที่เรือนลี่เสวี่ยขอรับ”
โจวเสาจิ่นขานรับ “อืม” ลุกขึ้นมาจัดสาบเสื้อให้เรียบร้อย แล้วเดินตามไหวซานออกไปที่ลานเปิดโล่ง
เรือนลี่เสวี่ยตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของลานเปิดโล่ง ปลูกต้นหวงหยาง[1]เอาไว้รอบบริเวณ ลำต้นขดงอ กิ่งก้านใบเขียวชอุ่ม รูปทรงของแต่ละต้นแตกต่างกัน ทุกต้นล้วนเป็นต้นไม้อายุเก่าแก่ทั้งสิ้น
โจวเสาจิ่นเหลือบมองไป ด้านหลังของห้องข้างขนาดกว้างสามห้องกั้นมีหลังคาหางแฉกสีเทาปรากฏขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่าเรือนลี่เสวี่ยนี้มีขนาดไม่เล็กเลย
ไหวซานหยุดอยู่ด้านหน้าผ้าม่านของห้องข้าง รายงานออกมาอย่างนอบน้อม เฉิงฉือตอบกลับมาว่า “เข้ามา” ไหวซานจึงเลิกผ้าม่านขึ้นและเชิญโจวเสาจิ่นเข้าไปในห้อง
เรือนลี่เสวี่ยเหมือนกับเรือนซิ่วฉี่ ประตูและหน้าต่างล้วนติดกระจกใส ฉะนั้นแสงภายในเรือนจึงสว่างไสวกว่าห้องข้าง
โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปก็พบว่าเฉิงฉือเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว
เปลี่ยนจากชุดจื๋อตัวผ้าไหมหูโจวสีน้ำเงินไพลินไร้ลวดลายที่สวมใส่อยู่ก่อนหน้าเป็นชุดนักพรตเต้าเผาผ้าไหมซงเจียงสีเขียวคราม ถอดปิ่นปักผมหยกออก และรวบผมสีดำขลับขึ้นเป็นมวยหลวมๆ สวมรองเท้าผ้าเนื้อหยาบสีครามคู่หนึ่ง มองดูแล้วทั้งเรียบง่ายและสบายๆ ยิ่งนัก
เขาไม่ต้องออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ
เช่นนั้นเวทีแสดงงิ้วทางด้านโน้นจะทำอย่างไร
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดพลางยอบกายทำความเคารพเฉิงฉือ
เฉิงฉือยิ้มพลางถามว่า “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอะไรหรือ”
เขานั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะเขียนหนังสือขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง สองข้างของโต๊ะเขียนหนังสือวางบัญชีหลายเล่มซ้อนทับกันเป็นกองพะเนิน เบื้องหน้าของเขามีสมุดบัญชีเล่มหนึ่งเปิดกางเอาไว้ บนแท่นวางพู่กันด้านซ้ายมือวางพู่กันที่ยังชุ่มหมึกอยู่ ทว่าชุดจื๋อตัวสีเขียวครามของเขากลับขับเน้นให้ผิวพรรณของเขาขาวเนียนละเอียดดั่งเครื่องลายคราม สว่างสุกใสเฉกเช่นหยกน้ำดี งามสง่าและดูเป็นธรรมชาติ ไหนเลยจะมีท่าทางทุกข์ร้อนใจหรือเป็นกังวลแม้แต่น้อย!
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกว่าตนทำเรื่องไม่ค่อยเหมาะสมลงไปเสียแล้ว
ท่านน้าฉือเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ดูแลรับผิดชอบซอยจิ่วหรูที่มีที่ดินและทรัพย์สินใหญ่โตขนาดนี้ มีเรื่องใดบ้างที่ไม่เคยเห็น มีเรื่องใดบ้างที่ไม่เคยประสบพบเจอ หากจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เกรงว่าสะพาน[2]ที่เขาข้ามย่อมมากกว่าที่นางเคยข้ามมาทั้งชีวิต ต่อให้จี๋อิ๋งทำลายแผนการของเขาจนเสียหาย แต่ด้วยความสามารถของเขา ย่อมต้องมีหนทางแก้ไขที่ดีได้แน่ ทว่ากลับเป็นตนเอง ที่ฟังเสียงลมเป็นเสียงฝน พอได้ยินจี๋อิ๋งบอกว่าด้วยเหตุนี้ท่านน้าฉือจึงมีเรื่องให้ต้องยุ่งยาก แล้วคิดเป็นตุเป็นตะว่าตนควรจะมากล่าวขอโทษท่านน้าฉือสักครั้งหรือไม่…เพราะไม่ว่าอย่างไร ตนก็อยู่กับจี๋อิ๋งในตอนนั้นด้วย
แต่มองดูตอนนี้แล้ว ท่านน้าฉือดูไม่เหมือนว่าจะมีท่าทางตามที่จี๋อิ๋งบอกเช่นนั้นเลย…
สีหน้าของโจวเสาจิ่นเปลี่ยนไปมาประหนึ่งรุ้งหลากสี
เฉิงฉือยิ้มพลางถามว่า “เจ้ามาขอความเมตตาให้จี๋อิ๋งกระมัง”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นรีบตอบ “ตอนนี้แม่นางจี๋อิ๋งสบายดีเป็นอย่างมาก การที่ท่านจัดการเช่นนี้ ย่อมต้องมีเหตุผลของท่าน ข้าไม่ได้มาขอความเมตตาให้แม่นางจี๋อิ๋งเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือได้ยินแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น เผยให้เห็นสีหน้าหยอกเย้าเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “ไม่ได้มาขอความเมตตาให้จี๋อิ๋งจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
โจวเสาจิ่นตะลึงงันไปชั่วขณะ
ท่านน้าฉือผู้สุขุมเยือกเย็น…แสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาได้ด้วยหรือ!
นางสะบัดศีรษะ แล้วโยนความคิดนี้ทิ้งไป กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าได้ยินจี๋อิ๋งกล่าวว่า พรุ่งนี้ท่านต้องไปรับประทานอาหารที่จวนตระกูลกัว ข้าคิดว่าเป็นเพราะพวกข้าสร้างความลำบากให้แก่ท่าน จึงอยากจะมาขอโทษท่านเจ้าค่ะ…”
เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา กล่าวว่า “พอเห็นท่าทางเช่นนี้ของข้า ก็เลยเปลี่ยนใจไม่ขอโทษข้าแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะๆ” ใบหน้าของโจวเสาจิ่นแดงเรื่อยิ่งขึ้น กล่าวว่า “ยังคงต้องขอโทษเจ้าค่ะ…” แต่จะขอโทษอย่างไรนั้น กลับไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรดี
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา พลางกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง ขอเพียงเจ้ากับจี๋อิ๋งไม่นินทาว่าร้ายลับหลังข้าก็พอ”
โจวเสาจิ่นแทบอยากจะเอาศีรษะมุดหนีลงไปในทราย
น้ำเสียงของเฉิงฉือพลันอ่อนโยนขึ้นมาประดุจสายลมในวสันตฤดูที่พัดโชยบนใบหน้าก็ไม่ปาน เอ่ยขึ้นว่า “การแสดงงิ้วใกล้จะจบลงแล้ว รีบกลับไปเถอะ! ระวังพี่สาวของเจ้าจะหาเจ้าไม่เจอ”
โจวเสาจิ่นถึงนึกขึ้นได้ว่าที่เวทีแสดงงิ้วทางด้านโน้นยังทำการแสดงกันอยู่ ร้อง “ไอ้โหยว” ออกมาแล้วลุกพรวดขึ้นมา พลางกล่าวกับเฉิงฉืออย่างลุกลี้ลุกลนว่า “ขออภัยเจ้าค่ะ” แล้วรีบเร่งวิ่งไปอย่างไม่มีทางเลือก
เฉิงฉือมองดูเงาร่างที่เดินซวนเซออกไปจนลับสายตา อดยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาพลางส่ายศีรษะเบาๆ ในห้วงความคิดพลันปรากฏภาพขณะที่นางนั่งอยู่ในห้องน้ำชา ใบหน้าแต้มไปด้วยความฉงนสงสัยพลางเอียงศีรษะ เอ่ยถามจี๋อิ๋งด้วยเสียงอ่อนหวานปนสนเท่ห์ว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจียวจื่อหยางผู้นั้นจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง
เด็กน้อยยังมีประสบการณ์ไม่มากนัก เพียงตนยื่นมือไปช่วยเหลือสองครั้ง นางไม่รู้จักเขาแม้แต่น้อยว่าเขาเป็นคนเช่นไร กลับเริ่มเชื่อใจเขาอย่างคนตาบอดเสียแล้ว!
เชื่อใจ!
แม้แต่ฉินจื่อผิงที่ติดตามเขามานานหลายปีก็ยังคิดเลยว่าเขาทำลายสัมพันธ์ของจี๋อิ๋งกับเจียวจื่อหยาง…ยังมีหนานผิงอีกคน ถึงแม้จะไม่เอ่ยถ้อยคำใด แต่ในใจกลับคิดว่าเขาทำไม่ถูกต้อง…
การที่คนคนหนึ่งจะเชื่อใจคนอีกคนหนึ่งอย่างสุดใจนั้น…นับเป็นเรื่องง่ายหรือเป็นเรื่องยากกันนะ
เฉิงฉือมองต้นหวงหยางที่ถูกตัดแต่งเป็นรูปทรงนกกระสาหัวแดงที่อยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าเคร่งครัดดุดัน
***
ตอนที่โจวเสาจิ่นเร่งกลับมาจนถึงเรือนหานปี้ซานนั้น การแสดงงิ้วก็จบลงพอดี
นางกับซือเซียงต่างผ่อนลมหายใจออกยาวๆ
เฉิงเจียดึงแขนนางพลางกระซิบเจื้อยแจ้วกับนางว่า “เกาฮุ่ยจูร้องได้ไพเราะจริงๆ ท่วงท่าก็งดงามมากเช่นเดียวกัน เดิมทีข้าคิดว่าเขาจะร้องได้แค่บทนักรบเท่านั้น ไม่คิดว่าบทตัวเอกหนุ่มก็ยังร้องได้เสนาะเพราะพริ้งยิ่งนัก ข้าว่าอย่างมากที่สุดก็อีกสองปี คณะฉางเกาจะต้องกลายเป็นคณะงิ้วอันดับหนึ่งของเมืองจินหลิงแทนคณะหม่าเจียได้อย่างแน่นอน…”
โจวเสาจิ่นฟังอย่างเลื่อนลอยพลางถามกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ว่า “ได้ยินว่าพรุ่งนี้ท่านน้าฉือต้องไปเป็นแขกที่เรือนตระกูลกัว เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“จริงสิ!” กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ยิ้มพลางตอบ “กล่าวกันว่านายท่านผู้เฒ่ากัวไม่ได้พบท่านอาสี่ฉือมานานแล้ว จึงเชิญท่านอาสี่ฉือไปนั่งคุยกันที่บ้าน”
เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ตนจะต้องไปคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานอยู่หรือไม่นะ
โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าประเดี๋ยวจะขอให้ปี้อวี้ช่วยไปสอบถามดูสักหน่อย
ทว่าพอเดินต่อไปกลับได้พบกับอวี้หรูผู้เป็นสาวใช้ในเรือนของเฉิงสวี่
“คุณหนูรอง คุณหนูเจีย” นางคำนับโจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียอย่างนอบน้อม
โจวเสาจิ่นเบิกตากว้าง
ทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ได้
อวี้หรูยิ้มพลางกล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เชิญแขกเหรื่อมาหลายปีแล้ว วันนี้อยู่ๆ ก็มีแขกมามากมายขนาดนี้ ฮูหยินจึงให้พวกเรามาช่วยจวนหลักด้วยอีกแรงเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ
หยวนซื่อปฏิบัติต่อเฉิงสวี่ดังแก้วตาดวงใจ ต่อให้ต้องโยกย้ายสาวใช้และป้ารับใช้ในเรือนของตัวเองมาช่วยก็ไม่มีทางส่งสาวใช้ในเรือนของเฉิงสวี่มาอย่างแน่นอน
นางระแวดระวังอยู่ในใจ
และพยายามเกาะติดเฉิงเจียประหนึ่งเป็นเงาร่างของนาง
อวี้หรูหันมามองหลายครั้งหลายครา แต่โจวเสาจิ่นก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
นางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางจะไม่อยู่คนเดียว ไม่ว่าเฉิงสวี่จะวางแผนอะไรก็ไร้ประโยชน์
แต่สุดท้ายนางก็ยังคงรู้สึกวุ่นวายใจเล็กน้อย รับประทานอาหารในงานเลี้ยงไปอย่างลวกๆ และเนื่องจากฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต้องช่วยฮูหยินหยวนส่งแขก โจวชูจิ่นจึงตัดสินใจรั้งอยู่ก่อนเพื่อรอกลับจวนพร้อมกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
หากเป็นยามปกติ โจวเสาจิ่นคงจะกลับไปคนเดียวแล้ว ทว่าวันนี้พอเห็นอวี้หรูที่โผล่มาอย่างกะทันหันในช่วงบ่าย นางจึงตัดสินใจกลับจวนพร้อมกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและพี่สาว
เพียงแต่เรื่องส่งแขกนั้น นางช่วยเหลืออะไรไม่ด้มากนัก
หลังจากที่โจวเสาจิ่นเดินไปส่งกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้แล้ว ก็มานั่งรออยู่ในห้องข้าง
เมื่อเห็นผู้คนในห้องข้างต่างพากันล่ำลากลับไปกันแล้ว โจวเสาจิ่นก็รู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมาเล็กน้อย
นางเอ่ยถามสาวใช้เด็กที่เก็บกวาดข้าวของว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ที่ใดหรือ”
สาวใช้เด็กผู้นั้นรู้จักนาง จึงตอบยิ้มๆ ว่า “อยู่บนห้องโถงหลักเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นถามว่า “ในห้องโถงหลักมีใครอยู่บ้าง”
สาวใช้เด็กตอบว่า “ยังมีคนของตระกูลกัวอยู่เจ้าค่ะ”
เช่นนั้นไปหลบอยู่ที่นั่นสักหน่อยน่าจะดีกว่า!
ยามที่อยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวแม้แต่เฉิงสวี่ยังไม่กล้ามาวุ่นวายด้วย แล้วนับประสาอะไรกับอวี้หรูเพียงผู้เดียวเล่า
โจวเสาจิ่นจึงมุ่งหน้าไปยังห้องโถงหลัก
เนื่องจากโคมไฟยามเย็นได้ถูกจุดขึ้นแล้ว จึงมีคนยืนสนทนากันอยู่ข้างๆ ต้นไม้ใหญ่ริมบันไดของห้องโถงหลัก
เงาร่างนั้นถูกปกคลุมอยู่ในร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ทำให้มองเห็นแค่รางๆ ว่าคนที่ยืนคุยกันอยู่นั้นเป็นฮูหยินสองคนเท่านั้น
โจวเสาจิ่นไม่ได้สนใจอะไรนัก ทว่าพอเดินเข้าไปใกล้ๆ ถึงได้ยินคนกล่าวขึ้นว่า “…แต่ก่อนยามได้ยินผู้คนกล่าวกันว่า ‘องค์ฮ่องเต้ทรงรักโอรสองค์โต แต่สามัญชนรักบุตรชายคนสุดท้อง’ นั้นข้าไม่รู้สึกอะไร ทว่าพอถึงคราวของตนถึงได้รู้ว่าคำกล่าวนี้มีเหตุผล หลายปีก่อนข้าน่าจะบังคับคุณชายสี่ให้แต่งงานไปเสีย ตอนนี้เขาโตแล้ว จึงยิ่งไม่เชื่อฟังข้าอีกแล้ว” กล่าวพลางถอนหายใจยาว
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก
นางคิดไม่ถึงว่าคนที่ยืนสนทนาอยู่ใต้ต้นไม้จะเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัว
แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด
ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น อีกฝ่ายก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า “การแต่งงานเป็นเรื่องของสวรรค์ลิขิต บางทีเนื้อคู่ของคุณชายสี่แค่ยังไม่ปรากฏตัวเท่านั้น รอให้เขาไปหาข้าในวันพรุ่งนี้เสียก่อน ข้าจะไหว้วานพี่ชายใหญ่ของเขาให้ช่วยกล่าวโน้มน้าวเขาดีๆ เขาเคารพนับถือพี่ชายใหญ่ของเขาเสมอมา อย่างไรเสียเขาก็คงพอจะฟังคำพูดของพี่ชายใหญ่ของเขาอยู่บ้าง”
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นนายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกัว
“น้องสะใภ้” โจวเสาจิ่นได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “เรื่องนี้ข้าคงต้องฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้กับพวกเจ้าเสียแล้ว ข้าเองก็จะไม่ยึดติดกับฐานะชาติกำเนิดของอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน ขอเพียงเข้าตาคุณชายสี่ ข้าจะทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งและปล่อยให้เขาแต่งนางเข้ามา เลวร้ายที่สุดข้าจะใช้มืออันเ**่ยวแห้งคู่นี้จับมือสอนนางเองก็แล้วกัน”
“ท่านวางใจเถิด! คุณชายสี่เป็นผู้รู้จักขอบเขตผู้หนึ่ง” นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกัวยิ้มพลางกล่าวอีกว่า “จะต้องแต่งบุตรสะใภ้ที่น่าพึงใจกลับมาให้ท่านได้ผู้หนึ่งอย่างแน่นอน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นจากคำพูดปลอบใจเช่นนี้สักเท่าใดนัก กล่าวเพียงว่า “ความพึงพอใจของข้าจะมีประโยชน์อันใดเล่า! หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าคุณชายสี่จะไม่มีความสุขหลังจากแต่งงานไปแล้วละก็ ข้าก็คงจะช่วยตัดสินใจเรื่องการแต่งงานให้เขาไปตั้งนานแล้ว”
โจวเสาจิ่นฉุกคิดได้ว่าตนเองได้ยินถ้อยคำที่ไม่สมควรได้ยินเสียแล้ว จึงรีบย่องกลับไปที่ห้องข้างอย่างเบามือเบาเท้า
ภายในห้องข้างมีสตรีสี่ถึงห้าคนนั่งคุยกันอยู่
โจวเสาจิ่นเลือกนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้อง พลางคิดถึงบทสนทนาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเมื่อครู่
เหตุใดท่านน้าฉือถึงยังไม่แต่งงานนะ
ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมีหญิงสาวที่เขาถูกใจบ้างหรือไม่
จากนั้นนางก็เห็นอวี้หรูเดินเข้ามา
โจวเสาจิ่นตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที
แต่ไม่นานนางก็สงบลงมาได้
ขอเพียงนางไม่ตามอวี้หรูไป นางจะฉุดกระชากตนให้ไปด้วยท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นนั่งลงบนเก้าอี้เท้าแขนอย่างสงบ
อวี้หรูยิ้มพลางเดินเข้ามา
ทว่าโจวชูจิ่นกลับปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู “เสาจิ่น พวกเราจะกลับกันแล้ว”
รอยยิ้มของอวี้หรูแข็งค้างอยู่บนใบหน้าไปชั่วขณะ
โจวเสาจิ่นแทบอยากจะโผเข้าไปกอดพี่สาวเอาไว้แล้วหอมสักฟอดสองฟอด
นางทนไม่ไหวรีบเข้าไปคล้องแขนของพี่สาวเอาไว้ แล้วยิ้มร่าพลางเดินกลับเรือนหว่านเซียงไปพร้อมกับพี่สาว
วันรุ่งขึ้น ซือเซียงบอกนางว่า “ปี้อวี้แจ้งมาว่า ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะออกไปข้างนอกในยามเฉินเจิ้ง[3] และจะกลับเข้ามาประมาณยามโหย่วเจิ้ง[4] หากว่าคุณหนูรองอยากจะคัดลอกพระธรรมอยู่ที่เรือน ประเดี๋ยวนางจะส่งพู่กัน น้ำหมึก กระดาษและที่ฝนหมึกพร้อมด้วยพระธรรมมาให้เจ้าค่ะ”
เช่นนั้นออกจะยุ่งยากมากเกินไป!
โจวเสาจิ่นให้ซือเซียงกลับไปบอกปี้อวี้ว่า “…วันนี้ข้ายังคงไปที่เรือนหานปี้ซานในยามเว่ยชู[5] ให้นางอย่าต้องเสียเวลาทำเช่นนั้นเลย”
ซือเซียงยิ้มพลางรับคำ
ตอนเช้าโจวเสาจิ่นลองออกแบบลวดลายดอกไม้ลายใหม่ พอตกบ่ายก็ไปที่เรือนหานปี้ซาน
อาจเป็นเพราะว่าผู้เป็นนายไม่อยู่ จึงเห็นได้ชัดว่าบรรยากาศของเรือนหานปี้ซานดูมีชีวิตชีวามากกว่าในยามปกติมากนัก
………………………………………………………………….
[1] ต้นหวงหยาง เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กเขียวชอุ่มตลอดปี ยังนิยมปลูกในกระถางคล้ายบอนไซอีกด้วย
[2] สะพาน ในที่นี้หมายถึงประสบการณ์ชีวิต
[3] ยามเฉินเจิ้ง คือเวลา 8.00 น.
[4] ยามโหย่วเจิ้ง คือเวลา 18.00 น.
[5] ยามเว่ยชู คือเวลา 13.00 น.