ครู่ใหญ่กว่าโจวเสาจิ่นจะได้สติกลับมา
นางตัดสินใจรีบกลับไปที่ห้องพระให้เร็วขึ้นอีกสักหน่อย จะได้ไม่ต้องได้ยินเรื่องที่ไม่สมควรได้ยินเข้าอีก
เพียงแต่เรื่องที่ทำให้นางคิดไม่ถึงก็คือ พอนางออกมาจากห้องข้าง ม่านตรงประตูของเรือนหลักถูกเลิกขึ้น และเฉิงฉือก็เดินออกมา
โจวเสาจิ่นตกใจจนหน้าถอดสี
ไม่ใช่ว่าเขากำลังคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่หรอกหรือ เหตุใดถึงออกมาเร็วขนาดนี้ ภายในลานนี้เงียบเชียบมีตนเองอยู่เพียงผู้เดียว ไม่รู้เขาจะสงสัยว่านางมาแอบฟังเขาสนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือไม่
นางก้าวออกไปทำความเคารพเฉิงฉืออย่างไม่สบายใจ เปล่งเสียงหนึ่งออกมาว่า “ท่านน้าฉือ”
เฉิงฉือดูเหม่อลอยเล็กน้อย ดูเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตเห็นนาง กระทั่งตอนที่นางทำความเคารพเขาเขาถึงได้สังเกตเห็นว่ามีโจวเสาจิ่นอยู่ที่นี่ด้วย
“เจ้ามาแล้วหรือ!” เขาไม่ได้ดูอบอุ่นเหมือนเมื่อวันก่อน กล่าวทักทายโจวเสาจิ่นอย่างเรียบเฉย หน้าตาเผยความเหนื่อยล้าออกมาอยู่หลายส่วน
เป็นเพราะเจรจากับฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ราบรื่นอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นคาดเดาไปต่างๆ นานาอยู่ในใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าคัดพระธรรมอยู่ที่ห้องพระ เพิ่งจะผ่านมาดื่มชาสักถ้วยหนึ่งเจ้าค่ะ!”
ถึงแม้จะไม่ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เฉิงฉือฟัง แต่ก็ไม่ได้ปกปิดเช่นกัน
“อย่างนั้นหรือ” เฉิงฉือตอบออกมาส่งๆ เห็นได้ชัดว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร
โจวเสาจิ่นได้ยินก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ได้ จึงรีบกล่าวอำลาเขา “เช่นนั้นข้ากลับไปคัดพระธรรมที่ห้องพระก่อนนะเจ้าคะ”
เฉิงฉือพยักหน้า แต่หลังจากที่โจวเสาจิ่นก้าวออกไปได้สองสามก้าว เขาก็เรียกนางเอาไว้ กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ในห้องชั้นใน อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ไหนๆ เจ้าก็มาแล้ว ไปอยู่เป็นเพื่อนคุยของฮูหยินผู้เฒ่าสักหน่อยเถิด!”
นางหรือ
พูดคุยกันอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
นางกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะคุยอะไรกันได้อย่างนั้นหรือ
โดยเฉพาะในเวลานี้ นางจะคุยอะไรกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้บ้างหรือ
ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังรู้สึกลำบากใจอยู่นั้น คิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะเปลี่ยนความตั้งใจ เขากล่าวขึ้นว่า “ช่างมันเถิด…เจ้าเป็นคนเงียบๆ ไม่เหมือนเซิงเจี่ยเอ๋อร์ที่ร่าเริงสดใส เกรงว่าต่อให้ไปอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าก็ยากที่จะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกสำราญใจขึ้นมาได้…เจ้ากลับไปคัดพระธรรมที่ห้องพระเถิด!”
ดวงหน้าของนางขึ้นสีแดงเรื่อ ขานรับเสียงเบา แล้วรีบก้าวเท้ามุ่งไปทางห้องพระ
แต่เมื่อถึงจังหวะที่ต้องเลี้ยวตรงมุมห้อง โจวเสาจิ่นยังคงหันศีรษะกลับมามองอย่างอดไม่ได้
เฉิงฉือยืนตัวตรงอยู่ผู้เดียวตรงใต้บันไดห้องข้างห้องหลัก มือไขว้หลัง มองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีฟ้านั้นอย่างเงียบๆ ดูสงบเยือกเย็น ทว่าเปี่ยมด้วยความโดดเดี่ยว
ระหว่างเขากับมารดามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่
เหตุใดเขาถึงไม่แต่งงาน
ตอนอยู่ที่ตระกูลกัว เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกบ้างนะ
แล้วตาแก่ที่กล่าวถึงนั้นหมายถึงผู้ใดกัน
ในหัวของโจวเสาจิ่นราวกับมีโคมไฟม้าหมุนอยู่ก็ไม่ปาน ขบคิดไปมากมายไม่ยอมหยุด จนกระทั่งถึงเวลาไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ก็ยังไม่อาจสงบอารมณ์ลงได้
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับเข้มแข็งกว่าที่นางจินตนาการไว้ มองจากภายนอกแล้ว นางไม่ต่างกับในยามปกติเลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะโจวเสาจิ่นแน่ใจว่าเมื่อตอนบ่ายตนได้ยินเสียงคำรามของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาก่อนแล้วละก็ นางก็อาจจะคิดว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้ แต่นี่ก็เป็นเพียงการแสดงออกภายนอกเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามถึงความคืบหน้าของการคัดพระธรรมของโจวเสาจิ่นขึ้นมาอย่างผิดปกติไปจากเดิม ตอนที่ได้ยินโจวเสาจิ่นบอกว่าคัดให้แล้วเสร็จก่อนปีใหม่ได้ นางพึงพอใจเป็นอย่างมาก กระทั่งเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
มองจากมุมของโจวเสาจิ่นแล้ว หากจะกล่าวว่าเป็นเพราะการคัดพระธรรมของโจวเสาจิ่นเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความคืบหน้าทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีใจนั้น ยังไม่สู้การกล่าวว่าเป็นเพราะเรื่องนี้ได้ดำเนินไปตามความต้องการของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างราบรื่นก็เลยทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้เล็กน้อยน่าจะถูกต้องกว่า
เมื่อกลับถึงเรือนหว่านเซียง นางถามพี่สาวว่า “ท่านทราบเรื่องสมัยเด็กของท่านน้าฉือหรือไม่เจ้าคะ”
โจวชูจิ่นกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าถามเรื่องนี้ไปทำไมหรือ”
“วันนี้ข้าได้พบท่านน้าฉือที่เรือนหานปี้ซานมาเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าสงสัยยิ่งนักว่า เขาสอบผ่านจิ้นซื่อแล้วแต่เหตุใดถึงไม่รับราชการเจ้าคะ”
โจวชูจิ่นไม่สงสัยอะไร กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่มีอะไรให้ต้องแปลกใจหรือ รับราชการต้องจากบ้านเกิดไปกว่าห้าร้อยหลี่ บนแผ่นดินนี้มีกี่สถานที่กันที่รุ่งเรืองเท่าเมืองจินหลิง แทนที่จะต้องไปเป็นข้าราชการตัวเล็กๆ อย่างยศผิ่นขั้นเจ็ดผู้หนึ่งเช่นนั้น สู้เป็นผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นอยู่ที่เมืองจินหลิงยังจะดีเสียกว่า!”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม ลอบรู้สึกว่าเหตุผลที่เฉิงฉือไม่รับราชการนั้นเกรงว่าจะไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น
โจวชูจิ่นให้คำแนะนำน้องสาวว่า “หากเจ้าต้องการรู้เรื่องสมัยเป็นเด็กของท่านน้าฉือจริงๆ ไม่สู้ไปถามบ่าวรับใช้เก่าแก่ของจวนหลักเหล่านั้นเล่า พวกเขาย่อมรู้อย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นให้ฝานฉีไปสืบความมาให้
วันต่อมาฝานฉีก็กลับมารายงานนางว่า “นายท่านสี่เกิดที่จิงเฉิง ในรัชศกหย่งชังปีที่สิบห้า ตอนที่นายท่านผู้เฒ่าจวนหลักเสียชีวิตนั้น นายท่านสี่เพิ่งจะมีอายุได้หกขวบ กลับบ้านเกิดมาไว้ทุกข์แสดงความกตัญญูอยู่หนึ่งปี จากนั้นก็ถูกนายท่านผู้เฒ่ารองรับไปอยู่ที่จิงเฉิง หลังจากนั้นเวลาส่วนใหญ่ล้วนเป็นเป็นการติดตามเรียนหนังสือกับนายท่านผู้เฒ่ารองอยู่ที่จิงเฉิง นานๆ ทีถึงกลับมาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าที่จินหลิงสักหนหนึ่ง จนกระทั่งในรัชศกจื้อเต๋อปีที่สิบสาม นายท่านสี่อายุยี่สิบปี ต้องลงสนามสอบขุนนางถึงได้กลับมา หากต้องการทราบเรื่องสมัยเด็กของนายท่านสี่ เช่นนั้นคงต้องไปถามบ่าวรับใช้ข้างกายของนายท่านผู้เฒ่ารองที่จิงเฉิงแล้วขอรับ”
“เอ๋!” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโตอย่างตกใจ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เฉิงฉือใช้เวลาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่จิงเฉิง การกลับมาที่จินหลิงก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาได้เพียงไม่กี่ปีนี้เท่านั้น
ไม่แปลกที่เมื่อก่อนนางไม่เคยได้ยินข่าวคราวของเขามาก่อน
แต่นี่ก็ไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไรนัก!
แล้วเขาเริ่มเปิดกิจการร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ
ในเมื่อติดตามศึกษาเล่าเรียนอยู่กับนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลัก แล้วนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลักยอมให้เขา ‘เพิกเฉยต่อบทบาทหน้าที่ที่ควรจะเป็น’ ได้อย่างไร
ฝานฉีกดเสียงลงต่ำและพึมพำกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “คุณหนูรอง ข้ายังได้ยินพวกเขาพูดกันอีกว่า นายท่านสี่มีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ที่เขาสือฮุย อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองไปสามสิบหลี่ ชื่อว่า เจ่าหยวน ขอรับ ตอนที่นายท่านสี่กลับมาใหม่ๆ นั้น ก็ไม่ได้พักอยู่ในจวนแห่งนี้ แต่พักอยู่ที่เจ่าหยวน ต่อมาเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าออกคำสั่ง นายท่านสี่ถึงได้ย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ขอรับ”
เรื่องที่ว่าเฉิงฉือมีบ้านอีกหลังหนึ่งนั้นโจวเสาจิ่นเคยได้ยินมานานแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่เขาสือฮุยเท่านั้น
นางไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ แต่เอ่ยกับฝานฉีต่อว่า “เจ้าช่วยไปสืบมาให้ข้าหน่อยว่าร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่เปิดดำเนินการมาตั้งแต่เมื่อไร”
“ข้ารู้ขอรับ” ฝานฉีบอกนางอย่างมั่นใจ “เปิดดำเนินการเมื่อวันที่เก้าเดือนเก้าในรัชศกจื้อเต๋อปีที่แปดขอรับ”
โจวเสาจิ่นถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ฝานฉีหัวเราะร่าพลางกล่าว “ตอนข้าอยู่ที่หมู่บ้าน มีบัณฑิตน้อยข้างบ้านผู้หนึ่งมีความตั้งใจหมายมั่นว่าต้องการไปเป็นเด็กฝึกงานที่ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ เขาเป็นคนบอกข้ามาขอรับ เขายังบอกอีกว่า ทุกครั้งเมื่อถึงวันที่เก้าเดือนเก้า ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่จะแจกข้าวสาร มีคนไปต่อแถวรับข้าวสารเป็นจำนวนมากเลยขอรับ”
วันที่เก้าเดือนเก้า เป็นทั้งเทศกาลเก้าคู่ และก็เป็นวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วย
เป็นไปได้หรือว่าระหว่างเรื่องเหล่านี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย
ในรัชศกจื้อเต๋อปีที่แปด หรือก็คือเมื่อสิบปีที่แล้ว ตอนที่ท่านน้าฉืออายุสิบห้าปี…เขาอายุน้อยขนาดนั้น อีกทั้งครอบครัวก็ร่ำรวย เขาจะคิดถึงเรื่องละทิ้งกิจการของตระกูลแล้วไปก่อตั้งร้านตั๋วแลกเงินร้านหนึ่งได้อย่างไร
เรื่องดูแลกิจการของครอบครัวนั้น โดยปกติจะเป็นหน้าที่ของคนที่ดูไร้ความหวังในเส้นทางของการรับราชการ ในเวลานั้น ครอบครัวยังไม่ได้กำหนดลงมาว่าจะให้เขาเป็นผู้ดูแลกิจการถึงจะถูก นอกจากนี้เรื่องในภายหลังก็เป็นข้อพิสูจน์ความสามารถของเขาได้แล้วว่า ถึงแม้ท่านน้าฉือจะลงสนามสอบขุนนางช้า แต่เขากลับสอบผ่านติดต่อกันไม่หยุดเลยสักสนามสอบที่จัดขึ้นในแต่ละครั้ง ถ้าหากเขาไม่มีทักษะพื้นฐานที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วละก็ ต่อให้มีท่านอาที่เป็นมหาบัณฑิตอยู่ในสำนักฮั่นหลิน หรือพี่ชายที่เป็นจิ้นซื่อลำดับสองคอยชี้แนะ ก็ไม่มีทางสอบผ่านได้อย่างราบรื่นขนาดนี้เป็นแน่
ฮูหยินผู้เฒ่าบอกให้ท่านน้าฉืออย่าไปตำหนินายท่านผู้เฒ่าของจวนหลักที่จากไปแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะได้กำหนดเอาไว้ตั้งนานแล้วว่าให้ท่านน้าฉือเป็นผู้ดูแลกิจการของครอบครัว ก็เลยทำให้ท่านน้าฉือต้องล่าช้า ต้องรอจนกระทั่งเขาอายุยี่สิบเอ็ดปีถึงได้ลงสนามสอบขุนนาง
แต่นี่ก็ไม่ถูกต้องนัก!
ไม่ใช่ว่าหลายปีก่อนโน้นก็เป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เป็นผู้ดูแลกิจการของครอบครัวหรอกหรือ หากว่าท่านน้าฉือเป็นผู้ที่ฝักใฝ่ในการศึกษาเล่าเรียนผู้หนึ่ง ด้วยความเด็ดเดี่ยวของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว นางย่อมยินยอมที่จะดูแลกิจการของครอบครัวต่อไปอย่างแน่นอน จะยอมให้เหตุนี้มาขัดขวางความเจริญก้าวหน้าในอนาคตของบุตรชายได้อย่างไร
ยิ่งคิดโจวเสาจิ่นก็ยิ่งคิดไม่ตก
นางโบกมือให้ฝานฉีกลับไปพักผ่อน “ต่อไปหากมีเรื่องอะไร ก็ค่อยมาบอกข้าอีก”
ฝานฉีกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากบอกคุณหนูรองจริงๆ ขอรับ แม่นางหมิงเฮ่อของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยกำลังจะออกเรือนแล้ว นอกจากนี้ยังแต่งออกไปไกลถึงหูโจว จำนวนของสาวใช้ใหญ่ของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยจึงลดลงไปอีกหนึ่งคน มีคนมากมายต่างอยากจะเข้าไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยผ่านทางพ่อบ้านใหญ่ฉิน แต่พ่อบ้านใหญ่ฉินกล่าวว่า เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยไม่รับคนเพิ่ม…เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องหนึ่งหรือไม่ขอรับ”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่ง กล่าวขึ้นว่า “ที่เจ้าพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือ”
“จริงกว่านี้ไม่มีแล้วขอรับ!” ฝานฉีรับประกัน “หากท่านไม่เชื่อ อย่างมากที่สุดก็อีกสองวัน ก็คงจะมีประกาศลงมาจากทางพ่อบ้านใหญ่ฉินขอรับ”
เจ้าเด็กฉลาด!
โจวเสาจิ่นเกือบจะยื่นมือออกไปลูบศีรษะของฝานฉีแล้ว
ยามที่สาวใช้เด็กผู้นั้นถามปี้อวี้เกี่ยวกับเรื่องนี้ตอนที่นางอยู่ที่เรือนหานปี้ซานนั้น ปี้อวี้ยังไม่มีข่าวคราวที่แน่ชัดเลย แต่นี่เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วยาม ฝานฉีกลับได้รับข่าวมาแล้ว
นางตกเงินรางวัลให้ฝานฉีด้วยความยินดีไปหนึ่งเหลี่ยงเงิน
ฝานฉีหัวเราะร่าพลางนำเงินไปเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ กล่าวว่า “คุณหนูรอง ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับ แต่ว่าไม่เกี่ยวกับเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย เป็นเรื่องของจวนรอง ท่านอยากฟังหรือไม่ขอรับ”
นี่ยังมีของแถมให้ด้วยหรือ!
โจวเสาจิ่นไม่ค่อยสนใจเรื่องของจวนรองสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม นางคิดว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉิงหากรู้ให้มากเอาไว้สักหน่อย ต่อไปเวลาจะทำอะไรก็จะได้สะดวกมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ารีบเล่ามาว่าเป็นเรื่องอะไร”
ฝานฉีเห็นโจวเสาจิ่นมีความสนใจอยากฟัง เขาเองก็กระตือรือร้นขึ้นมาด้วย กล่าวขึ้นว่า “หลายวันก่อนบุตรสาวคนรองที่แต่งงานออกไปแล้วของจวนหลักให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่ง และสะใภ้ใหญ่สือของจวนรองก็ให้กำเนิดคุณชายน้อยท่านหนึ่งด้วยใช่หรือไม่ขอรับ ผลปรากฏว่าจวนหลักและจวนรองต่างแข่งขันกันให้เงินรางวัล และด้วยเหตุที่ว่าของขวัญสำหรับใช้ในพิธีอาบน้ำครบรอบสามวันของทารกแรกเกิดที่จวนหลักส่งไปให้บุตรสาวคนรองได้รับคำชื่นชมจากบ้านของแม่สามี เป็นการทับถมกดศีรษะของจวนรอง ทำให้จวนรองรู้สึกไม่ค่อยดีนัก ได้ยินว่าครั้งนี้นายหญิงผู้เฒ่าถังของจวนรองถึงกับนำเงินส่วนตัวออกมาและให้คนนำไปส่งให้บ้านเดิมของสะใภ้ใหญ่สือ ให้ทางบ้านเดิมของสะใภ้ใหญ่สือส่งของขวัญครบรอบเดือนที่พอจะดูได้มาให้ขอรับ…”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ถามขึ้นว่า “แล้วคนจากทางบ้านเดิมของสะใภ้ใหญ่สือไม่โกรธหรือ”
นางคิดไม่ถึงว่านายหญิงผู้เฒ่าถังที่เป็นคนฉลาดหลักแหลมขนาดนั้นจะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ออกมาได้!
ฝานฉีหัวเราะร่าพลางกล่าว “ข้าได้ยินผู้อื่นพูดกันว่า บ้านเดิมของสะใภ้ใหญ่สือเป็นเปลือกหอยเปล่าชิ้นหนึ่งขอรับ”
เขาพูดเสร็จแล้วก็รอให้โจวเสาจิ่นถามต่อ
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับไม่กล่าวอะไร
เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างสงสัย กลับเห็นโจวเสาจิ่นนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าวิตกกังวลมาก
ฝานฉีไม่รู้ว่าตัวเองพูดตรงไหนผิดไปหรือไม่ รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย เขาเปล่งเสียงหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง “คุณหนูรองขอรับ” และกล่าวต่อว่า “ท่าน…ท่านเป็นอะไรไปหรือขอรับ”
“ข้าไม่เป็นไร!” โจวเสาจิ่นสูดลมหายใจยาวครั้งหนึ่ง
นางนึกออกแล้ว
ท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่จากจวนรอง ลาออกจากราชสำนักเหตุเพราะความเจ็บป่วยในรัชศกจื้อเต๋อปีที่แปด
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านน้าฉือเปิดกิจการร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่หลังจากที่เฉิงซวี่ไม่ได้รับราชการแล้ว
เพราะเหตุใดกันนะ
เพราะตระกูลเฉิงถังแตกอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ
ภายในเรื่องนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงกันอยู่เป็นแน่!
เพียงแต่นางไม่รู้เท่านั้น
หัวของโจวเสาจิ่นขบคิดวุ่นวายราวกับกลายเป็นเส้นป่านที่พันกันยุ่งเหยิง
นางไปเลียบๆ เคียงๆ ถามบ่าวรับใช้เก่าแก่ในบ้านถึงเรื่องอาหารการกินและเครื่องนุ่งห่มของตระกูลเฉิงในปีนั้น
บ่าวรับใช้เก่าแก่กล่าวยิ้มๆ ว่า “ตราบใดที่น้ำในทะเลสาบโม่โฉวไม่แห้งเหือด ซอยจิ่วหรูจะขาดแคลนค่าใช้จ่ายประจำวันได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงในยามปกติสุขเช่นนี้ ต่อให้เป็นช่วงที่ผลัดเปลี่ยนรัชสมัยใหม่ก็ตาม พ่อของข้าบอกว่า นอกเมืองจินหลิงเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงที่ผู้คนนำบุตรมาแลกอาหาร แต่ตระกูลเฉิงไม่ขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่มเลย และในวันเกิดของนายท่านผู้เฒ่าจวนสาม บรรดาบ่าวไพร่เบื้องล่างก็ยังได้รับเงินรางวัลตามปกติ”
ตระกูลเฉิงร่ำรวยขนาดนั้นเลยหรือ
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนพอจะรู้อะไรบางอย่างแล้ว แต่พอมาคิดทบทวนอย่างละเอียดอีกที กลับบอกไม่ได้แน่ชัดว่าสรุปแล้วตนรู้อะไรบ้างกันแน่
ระหว่างที่นางกำลังกังวลใจอยู่นั้น หลานทิงก็ได้รับคำสั่งจากโจวเจิ้นให้นำไข่มุกจากตะวันออกมาส่งมอบให้บุตรสาวทั้งสองคนคนละหนึ่งกล่อง
……………………………………………………………………..