แต่นางควรจะเดินไปทางไหนดีนะ
โจวเสาจิ่นจ้องกระดานหมากอย่างพินิจพิเคราะห์
ไม่ว่านางจะวางหมากลงตรงไหน ล้วนไม่มีทางให้กินหมากของเฉิงฉือได้เลย
โจวเสาจิ่นมองไปที่เฉิงฉืออย่างสับสนครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
เฉิงฉือยั้งตัวเองเอาไว้อย่างหนักถึงได้ไม่เอามือไปก่ายหน้าผาก
คนเรียนหมากล้อม ปกติมักจะเริ่มจากการจับกิน ดังนั้นคนที่เพิ่งเริ่มเรียนหมากล้อมเวลาเดินหมากจึงมักจะไม่สนใจหัวหรือท้าย ตั้งหน้าตั้งตาจะจับกินอย่างเดียว
คนฝีมือระดับเฉิงฉือเดินหมากกับคนเช่นนี้ ก็เปรียบได้กับชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งแข่งงัดข้อกับเด็กทารกผู้หนึ่ง ซึ่งไม่มีอะไรให้ต้องกล่าวถึงผลแพ้หรือชนะเลย
หรือว่าตนควรจะสอนเด็กคนนี้เล่นหมากล้อมจริงๆ ไปเสีย?
เฉิงฉือแสยะยิ้มอย่างทะนงอยู่ในใจครั้งหนึ่ง
หลายครั้งที่พี่ชายรองของเขาอยากให้รั่งเกอเอ๋อร์ผู้เป็นบุตรชายของเขามาเรียนหนังสือกับเขาเขายังรู้สึกว่ายุ่งยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าให้สอนเด็กผู้ที่ไม่มีพื้นฐานอะไรผู้หนึ่งเล่นหมากล้อมเลย!
แต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยบีบให้คนต้องจนมุม ซึ่งหากว่าเขาบีบคนให้จนมุมล่ะก็ นั่นก็คงจะเป็นสถานการณ์ที่หากไม่ตายก็จะไม่วางมือ
ด้วยเหตุนี้เฉิงฉือจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน…”
นางแพ้แล้วอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นรู้ว่าระดับฝีมือการเล่นหมากของตนไม่มีทางเทียบได้กับของเฉิงฉือ แต่นางมองไปยังพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ตรงมุมขวาของกระดานหมาก ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดตนถึงแพ้แล้ว!
อย่างไรก็ตาม การที่ท่านน้าฉือกล่าวเช่นนี้แสดงว่าย่อมต้องมีเหตุผล
นางจึงขานตอบ “เจ้าค่ะ” ไปเสียงหนึ่ง แล้วจัดการเก็บเม็ดหมากอย่างเชื่อฟัง
เฉิงฉือชำเลืองมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
หรือนางยังคิดจะเล่นกับตนอีกกระดานหนึ่งอย่างนั้นหรือ
ด้วยฝีมือที่ต่างกันของทั้งสองคน เล่นหมากอีกหนึ่งกระดานกับเล่นหมากอีกสิบกระดานก็ไม่ต่างอะไรกัน นอกเสียจากว่าตนจะต่อให้นางยี่สิบเม็ด ไม่สิ ต่อให้ตนต่อให้นางยี่สิบเม็ด ก็ไม่แน่ว่านางจะทำให้เขาแพ้ได้
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเรียนหมากล้อมกับเฉินต้าเหนียงมาสิบกว่าวันก็รู้จักกินหมากแล้ว ถือว่าพอจะมีพรสวรรค์อยู่บ้าง ข้าว่าเจ้าไปเรียนกับเฉินต้าเหนียงต่ออีกสักระยะหนึ่งแล้วพวกเราค่อยมาเล่นหมากกันสักกระดาน ข้าก็จะได้ดูด้วยว่าเจ้ามีพัฒนาการขึ้นบ้างหรือไม่…” เพียงแต่ว่าคำพูดของเขายังไม่ได้จบลง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เดินออกมาจากห้องชั้นใน
ฮูหยินผู้เฒ่าสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหังโจวสีม่วงอ่อนไร้ลวดลายสำหรับสวมใส่อยู่ในบ้านตัวหนึ่ง เส้นผมสีดอกเลาถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยตรงท้ายทอยอย่างเรียบร้อย สวมตุ้มหูทองฝังมรกต ดูมีชีวิตชีวายิ่ง กล่าวยิ้มๆ อย่างสนอกสนใจว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ใครเป็นผู้แพ้หรือ”
โจวเสาจิ่นรีบยืนขึ้นทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัว เฉิงฉือกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “เล่นเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น แบ่งแพ้แบ่งชนะอันใดกันขอรับ!”
“ดูทีแล้วคงเป็นเจ้าที่แพ้สินะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ “เจ้าเป็นน้า แต่ไม่รู้จักต่อให้เสาจิ่นสักหลายๆ เม็ดหน่อย การเอาชนะรุ่นเด็กเช่นนี้ใช้ได้หรือ”
“ต้องขออภัย” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “อย่างที่เขาว่ากันว่า ความสำเร็จไม่ขึ้นอยู่กับอายุ กานหลัวเป็นอัครเสนาบดีตั้งแต่อายุสิบสอง ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าระดับฝีมือของหลานตระกูลโจวเป็นอย่างไร พอมาถึงท่านก็อยากให้ข้าต่อหมากให้เลย ข้าว่าเป็นเพราะท่านอยากเห็นข้าแพ้ อยากหัวเราะเยาะข้าเสียมากกว่า!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่าดังลั่น
เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นได้เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีความสุขมากขนาดนี้ รอยยิ้มเหล่านั้น ล้วนเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ทำให้คนรับรู้ได้ถึงความสุขของนาง
เช่นนี้นางยังจะพูดอะไรได้อีก
ได้แต่มองไปที่เฉิงฉือ
เฉิงฉือกลับไม่มองนางเลยสักนิด เขาเก็บเม็ดหมากไปด้วย สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปด้วยว่า “…ท่านก็กระไร อย่าสร้างความลำบากให้เด็กอีกเลย นางยังต้องคัดพระธรรมให้ท่านอีกนะขอรับ!”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็รู้สึกตัว รีบลุกขึ้นกล่าวอำลา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับหันมากวักมือเรียกนาง สั่งการเจินจูว่า “ไปหยิบจี้หยกที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งของข้าชิ้นนั้นมา ถึงแม้เด็กสาวจะเล่นหมากแพ้ แต่ก็ไม่อาจให้จากไปมือเปล่าเช่นนี้ได้ เอาจี้หยกกลับไปด้วย” ประโยคสุดท้ายเป็นการพูดกับโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นหน้าแดงระเรื่อ รีบกล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ ข้า…ข้าเพียงเล่นหมากเป็นเพื่อนท่านน้าฉือไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเท่านั้น…”
นางรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้าใจนางผิดไปแล้ว แต่ที่ท่านน้าฉือทำไปก็เพื่อหลอกล่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีความสุขเท่านั้น หากนางพูดความจริงออกไป ท่านน้าฉือคงโกรธนางเป็นแน่
โจวเสาจิ่นหันไปมองเฉิงฉืออย่างขอความช่วยเหลือ
เฉิงฉือกลับไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร
เงินเป็นสิ่งที่เอาไว้สำหรับใช้จ่าย หากใช้เงินซื้อความสุขได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี
เขากล่าว “ผู้ใหญ่ให้รางวัล ไม่อาจปฏิเสธ ให้เจ้าเจ้าก็รับเอาไว้เถิด!”
“ถูกต้อง” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอารมณ์ดียิ่งนัก นอกจากจี้หยกชิ้นนั้นแล้ว ยังมอบปิ่นปักผมดอกไม้ปะการังสีแดงคู่หนึ่งเป็นรางวัลให้นางอีกด้วย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจี้หยกชิ้นนั้นล้ำค่าเพียงใด เพียงแค่นกกางเขนที่กระโดดโลดเต้นอย่างยินดีอยู่บนกิ่งดอกท้อนั้น ดูมีชีวิตชีวาราวกับต้องการจะกระโจนตัวบินออกมาจากจี้หยกชิ้นนั้นก็ไม่ปาน ในขณะที่ปิ่นปักผมดอกไม้สีแดงคู่นั้น สีแดงของปะการังทำเป็นกลีบดอกไม้ สีเหลืองของขี้ผึ้งเป็นฐานดอก ทำออกมามีรูปทรงคล้ายดอกทับทิม มีขนาดใหญ่เท่าจอกเหล้า
ปะการังที่มีคุณภาพดีนั้นมีจำนวนน้อย แม้แต่ไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัวยังมีราคาแพงแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลีบดอกไม้ขนาดเท่าเล็บมือเช่นนี้
โจวเสาจิ่นรู้สึกหนักอึ้ง
หากนางเล่นหมากเป็นเพื่อนท่านน้าฉือได้จริงๆ สักกระดานหนึ่งก็ดีไป แต่ทั้งหมดนี้นางได้แค่แสร้งทำท่าทางเท่านั้น เช่นนั้นนางจะรับของขวัญล้ำค่าเช่นนี้จากฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้อย่างไร
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ตัดสินใจว่าจะเล่าความจริงให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง ถึงแม้เหตุนี้จะทำให้เฉิงฉือไม่ชอบใจ แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าการหลอกลวงฮูหยินผู้เฒ่ากัวเช่นนี้ ใต้ผืนฟ้าแห่งนี้ไม่มีกำแพงที่ไม่มีรู แทนที่จะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินจากปากของคนอื่นไม่สู้นางเล่าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังด้วยตัวเองจะดีกว่า
แต่นางเพิ่งจะอ้าปากก็ถูกเฉิงฉือกล่าวตัดบทเสียก่อน “ท่านแม่ นางยังเป็นเพียงเด็ก ท่านให้ของรางวัลล้ำค่าขนาดนี้กับนางได้อย่างไร จะทำให้นางรู้สึกกังวลใจไปเปล่าๆ ต่อไปหากนางเล่นหมากกับข้าอีก ทีนี้ควรจะชนะหรือควรจะแพ้ดีเล่า หากท่านมีใจอยากให้รางวัลนาง ไม่สู้ให้เป็นของกินเอย ของเล่นเอย หนังสืออักษรภาพเอย หรือแม้แต่ชุดเครื่องเขียนก็ยังดีกว่าอันนี้นะขอรับ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ารัวอย่างซาบซึ้ง
“ดูข้าสิ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตบหน้าผากตัวเอง พลางกล่าว “ไปมาหาสู่กับพวกฮูหยินบ่อยๆ จึงลืมไปว่าเสาจิ่นยังเป็นเพียงเด็กสาวผู้หนึ่ง ครั้งนี้ก็ให้มันแล้วกันไป สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าของสองชิ้นนี้เหมาะสมกับเด็กคนนี้ยิ่งนัก คราวหน้าหากเจ้าเล่นหมากแพ้น้าฉือของเจ้าอีก วันที่หกเดือนหก ข้าจะพาเจ้าไปดูพระธรรมที่สลักอยู่บนหน้าผาที่วัดจีหมิงเป็นอย่างไร”
เช่นนั้นนางก็คงหนีไม่พ้นต้องไปวัดจีหมิงเสียแล้ว!
โจวเสาจิ่นน้ำตาไหลรินอยู่ในใจ ทว่าบนใบหน้ากลับต้องแสดงท่าทางยินดีออกมาพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่าพร้อมกับพยักหน้า แล้วให้ปี้อวี้พานางไปส่งที่ห้องพระเพื่อคัดพระธรรม ส่วนตัวเองกับเฉิงฉือนั่งสนทนาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ภายในบ้าน
ตลอดทั้งบ่าย โจวเสาจิ่นคัดพระธรรมไปเพียงสองหน้ากระดาษเท่านั้น
เมื่อกลับไปตอนกลางคืน นางก็ไปหาเฉินต้าเหนียงเพื่อขอเรียนเพิ่ม
เฉินต้าเหนียงกล่าว “เจ้าเพิ่งจะเริ่มต้นเรียน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ฝึกเล่นพื้นฐานให้ดีถึงจะสำคัญที่สุด”
โจวเสาจิ่นคะยั้นคะยอเฉินต้าเหนียง “ไม่ใช่ว่ามีคำพูดประโยคหนึ่งที่เรียกว่าเทน้ำจากหลังคาสูงหรอกหรือเจ้าคะ หากข้ารู้มากอีกสักหน่อย จะต้องเล่นได้ดีขึ้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่อยู่ตระกูลเฉิงมา เฉินต้าเหนียงเคยสอนนักเรียนมาแล้วสามคน เฉิงเซิงนั้นไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ล้วนเรียกว่าโดดเด่นทุกด้าน แต่นางเป็นคนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสอนมาด้วยตัวเอง สำหรับนางที่เป็นอาจารย์ผู้หนึ่งนี้ก็ถือว่าได้หน้าไปด้วยก็เท่านั้น ส่วนเฉิงเจียเป็นคนที่ฉลาดมาก แต่เสียดายที่ดื้อรั้นไปสักหน่อย ความคาดหวังของเจียงซื่อที่มีต่อบุตรสาวก็ไม่สูงนัก นางจึงไม่อาจเสนอตัวไปช่วยโดยใช่เหตุได้ ส่วนโจวเสาจิ่นไม่ว่าจะทำอะไรก็มีพรสวรรค์ ทว่ากลับไม่ค่อยระมัดระวังเท่าไร และเนื่องด้วยสถานะของนางก็อยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางอยากจะหาผู้อาวุโสสักคนเพื่อกล่าวเตือนโจวเสาจิ่นสักหน่อยก็ไม่รู้จะไปหาใครดี ไปๆ มาๆ นางก็ไม่มีความคาดหวังอะไรกับนักเรียนเหล่านี้ไปด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ก็เหมือนกัน
ทั้งๆ ที่รู้สึกว่ายังเร็วเกินไปที่โจวเสาจิ่นจะเรียนการเริ่มเล่นที่มุม ซึ่งความซับซ้อนของการเริ่มเล่นที่มุมอาจจะทำให้นางลดความสนใจอยากเรียนหมากล้อมลงไปเลยก็เป็นได้ แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว ก็ไปหยิบหนังสือคู่มือการเล่นหมากล้อมออกมา อธิบายกลยุทธ์การเล่นหมากแต่ละประเภทให้นางฟัง
แม้แต่การจับกินโจวเสาจิ่นก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จึงเหมือนกับเด็กอนุบาลที่กำลังฟัง ‘พงศาวดารชุนชิว’ อยู่ก็ไม่ปาน ที่ยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ
บ่อยครั้งที่นางต้องเอ่ยแทรกการอธิบายของเฉินต้าเหนียง ถามสิ่งที่นางไม่รู้ไปมากมาย
เป็นเช่นนี้อยู่ครึ่งเดือน นางถึงกับชื่นชมตัวเองเล็กน้อยว่าตอนแรกกล้าไปเล่นหมากกับเฉิงฉือได้อย่างไร…แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเฉิงฉือกำลังยุ่งอยู่หรือเป็นเพราะรู้สึกว่าการเล่นหมากกับตนเป็นเรื่องเสียเวลา ที่ผ่านมาก็เลยไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการเล่นหมากขึ้นมาอีกเลย นางก็เลยไม่ได้พบเขาอีกเลยเช่นกัน
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ไปสอบถามจี๋อิ๋ง
จี๋อิ๋งเองก็ได้ยินเรื่องที่โจวเสาจิ่นไปเล่นหมากเป็นเพื่อนเฉิงฉือมาแล้วเช่นกัน นางกล่าว “เจ้าถามถึงเขาไปทำไมหรือ หรืออยากจะเล่นหมากกับเขาอีกสักกระดานหนึ่ง ข้าแนะนำให้เจ้าหยุดความคิดนั้นเสียเถิด ไม่รู้ว่าตอนนั้นเขาก้าวขาข้างไหนผิดไปกันแน่ ถึงได้ให้เจ้าเอาคืนเขาได้ถึงสามครั้ง เจ้าอย่าเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าจะเล่นหมากกับเขาได้ทุกครั้งไป!”
นางเอาคืนท่านน้าฉือได้ถึงสามครั้งอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นหน้าร้อนผะผ่าว กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ข้าเพียงเดินหมากเป็นเพื่อนท่านน้าฉืออย่างมั่วซั่วไปไม่กี่ครั้งเท่านั้น…ข้าไหนเลยจะมีฝีมือไปเล่นหมากกับเขาได้!”
“เอ๋?” จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ทุกคนต่างพูดกันว่าเจ้าเล่นหมากกับน้าฉือของเจ้าจนเกือบจะเอาชนะน้าฉือของเจ้าได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เลยมอบของให้เจ้ามากมายเป็นรางวัลไม่ใช่หรือ”
โจวเสาจิ่นตกใจไปครั้งใหญ่ รีบกล่าวขึ้นว่า “นี่ผู้ใดเป็นคนพูดหรือ จริงๆ แล้วข้ากับท่านน้าฉือเดินหมากไปไม่กี่ตาข้าก็พ่ายแพ้ให้ท่านน้าฉืออย่างราบคาบ จะเป็นไปได้อย่างไรว่าข้าเกือบจะเอาชนะท่านน้าฉือได้ นี่หากว่าท่านน้าฉือได้ยินเข้าจะคิดอย่างไร”
ไม่แน่ว่าอาจจะคิดว่านางเป็นคนกล่าวโอ้อวดออกไปก็เป็นได้!
เห็นได้ชัดว่าจี๋อิ๋งเองก็รับรู้ได้ถึงความร้ายแรงของปัญหาที่จะตามมา นางจึงดึงมือของโจวเสาจิ่นมุ่งหน้าไปยังห้องหลักของเรือนหลีอิน “เจ้าต้องไปอธิบายให้นายท่านสี่ฟัง เขาผู้นี้ใจแคบยิ่งนัก หากเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าใช้ชื่อเสียงของเขาเพื่อยกระดับให้ตัวเองล่ะก็แย่แน่ๆ!”
โจวเสาจิ่นได้ยินจี๋อิ๋งกล่าวเช่นนี้แล้วก็ยิ่งร้อนรน และก็ต้านทานแรงลากของจี๋อิ๋งไม่ไหวจึงได้แต่ตามจี๋อิ๋งไปที่ห้องหลักอย่างซวนเซ
เฉิงฉือกับไหวซานกำลังสนทนากันอยู่ เมื่อได้ยินว่าโจวเสาจิ่นกับจี๋อิ๋งมาขอพบ จึงให้สาวใช้พาพวกนางเข้ามา
โจวเสาจิ่นยืนอยู่ในห้องหนังสือที่กำแพงทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยหนังสือ มองเฉิงฉือที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนหลังโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ ตอนนี้ถึงได้รู้สึกตกใจเล็กน้อยว่าตัวเองบ้าบิ่นเกินไป
แค่นางได้ยินจี๋อิ๋งกล่าวเช่นนั้นนางก็วิ่งมาหาเขาโดยที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการไตร่ตรองรายละเอียดของเรื่องราวดีๆ เสียก่อน หากท่านน้าฉือสอบถามขึ้นมานางคงได้แต่ส่ายศีรษะ เกรงว่าท่านน้าฉืออาจจะคิดว่านางเป็นพวกฟังลมให้เป็นฝน นิสัยเหลาะแหละ แล้วก็คงจะไม่ให้น้ำหนักกับคำพูดของนางอีก
โจวเสาจิ่นตระหนกยิ่งนัก ประสานมือเข้าหากันอย่างห้ามไม่อยู่
แต่มือทั้งสองข้างที่ประสานกันอยู่ก็วางลงตรงบริเวณหน้าท้องได้อย่างเป็นธรรมชาติและสง่างาม
มีรอยยิ้มเผยออกมาจากนัยน์ตาของเฉิงฉือ
เขากล่าวเสียงอบอุ่นว่า “พวกเจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ”
โจวเสาจิ่นได้แต่หันไปมองจี๋อิ๋ง
ตั้งแต่กลับมาจากชังโจว จี๋อิ๋งก็ทำตัวดีขึ้นมาก แต่อุปนิสัยเป็นสิ่งที่เปลี่ยนยาก พอเห็นท่าทางใจดีของเฉิงฉือเช่นนั้นแล้ว ความกล้าของนางก็เพิ่มมากขึ้น จึงพรั่งพรูเล่าข่าวลือที่นางได้ยินมาให้เฉิงฉือฟัง ยังกล่าวด้วยว่า “นายท่านสี่ ท่านต้องเชื่อคุณหนูรองนะเจ้าคะ นางไม่ใช่คนประเภทที่ชอบใช้ประโยชน์จากผู้อื่น…”
“ข้ารู้แล้ว!” เฉิงฉือกล่าวตัดบทคำพูดของจี๋อิ๋งเรียบๆ กล่าวอีกว่า “ข่าวลือทำอะไรผู้มีปัญญาไม่ได้ พวกเจ้าไม่ต้องไปสนใจก็พอแล้ว เดี๋ยวอีกสองสามวันเรื่องก็เงียบไปเอง”
จึงเป็นเช่นนี้!
คำพูดที่ยังกล่าวไม่จบของจี๋อิ๋งจึงหยุดอยู่แค่ในลำคอ
โจวเสาจิ่นผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ครั้งหนึ่ง
ขอเพียงท่านน้าฉือไม่เชื่อก็พอแล้ว!
ทั้งสองคนจึงทั้งผลักทั้งดันกันเดินออกไป
จี๋อิ๋งหาฉินจื่อผิงจนเจอ ถามเขาว่า “เจ้าว่า นายท่านสี่จะลงมือสังหารหรือไม่”
ฉินจื่อผิงชำเลืองมองโจวเสาจิ่นที่บอบบางดุจดอกไม้ครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “นางเช่นนี้ คุ้มค่าให้นายท่านสี่ต้องลงมือสังหารด้วยหรือ”
จี๋อิ๋งหัวเราะฮ่าๆ
โจวเสาจิ่นไม่พอใจยิ่งนัก
นางเช่นนี้หรือ!
นางเช่นนี้แล้วอย่างไร
ท่านน้าฉือไม่ใช่คนอย่างที่พวกเขาพูดกันประเภทนั้นสักหน่อย!
*******************************