บทที่ 1 ข้าเสียใจที่ไม่ได้เป็นจักรพรรดินี
Ink Stone_Romance
Prologue : บทนำ
วันนี้เป็นวันประหารอดีตจักรพรรดินีเปโตรนิยาซึ่งถูกปลดออกจากตำแหน่ง
ผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่นครหลวงคาร์วูดตั้งแต่เช้า เมืองหลวงที่เคยเงียบสงบพลันคึกคักอย่างผิดปกติ ทว่าบรรยากาศกลับดูไม่ค่อยดีนัก
กิโยตีนที่น่าพรั่นพรึงตั้งตระหง่านกลางลานประหารที่รายล้อมด้วยผู้คน ลานประหารนี้ตั้งอยู่ในจัตุรัสเจอร์เบียเน็นใกล้กับพระราชวัง
แพทริเซียนั่งคุกเข่าอยู่ไม่ไกลจากกิโยตีนในสภาพถูกมัดไว้ด้วยเชือกมัดนักโทษ รอเวลารับการลงทัณฑ์
หญิงสาวเอาแต่ก้มมองพื้นพลางเม้มปากแน่น ครั้นเงยหน้าขึ้นและหันไปมองเบื้องหลัง ก็พบบิดามารดาของตนกำลังรอรับโทษอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน สภาพอันน่าสังเวชของตนและบุคคลอันเป็นที่รักทำให้แพทริเซียเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา แต่นางรู้ดีกว่าใครว่ามาถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
“ริซซี่”
แพทริเซียหันไปตามเสียงเรียบๆ ที่เรียกชื่อของตน แม้ร่างกายจะถูกพันธนาการทำให้ไม่สามารถขยับได้ดั่งใจ แต่นางยังพอจะหันหน้าไปมองได้ ผู้เรียกคือบิดาของนางเอง
“พ่อขอโทษนะ”
“…ไยท่านพ่อต้องขอโทษ”
แพทริเซียสงสัยจากใจจริงว่าทำไมผู้เป็นบิดาถึงเอ่ยขอโทษนาง ในสถานการณ์นี้ไม่มีใครต้องขอโทษนางทั้งนั้น ทุกคนล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ และผู้กระทำก็ไม่ได้อยู่ ณ ที่นี้ เพราะฉะนั้น…หญิงสาวจึงไม่อาจกล่าวโทษใครได้ตามอำเภอใจ
แต่ความรู้สึกโศกเศร้าและความอัดอั้นตันใจที่ปะทุออกมา ทำให้แพทริเซียต้องกัดปากอย่างสุดกลั้น นางเอ่ยปากตอบบิดาพลางข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด
“ท่านพ่ออย่าขอโทษข้าเลยค่ะ”
แพทริเซียพูดจากใจจริง หาได้มีความขุ่นเคือง ณ ที่ตรงนี้ไม่มีใครต้องขอโทษใครทั้งนั้น พวกเราทุกคนเป็นเพียงผู้ถูกกระทำ แพทริเซียเลิกซ่อนเร้นดวงตาที่หมองเศร้าและพูดต่อ
“ข้าเพียงแต่เสียดาย”
ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปยังวันที่เรื่องทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้นได้ โศกนาฏกรรมในวันนี้คงไม่เกิดขึ้น แพทริเซียปล่อยให้น้ำตาที่มาคลอไหลรินเป็นสาย ในขณะเดียวกันผู้คนที่อยู่ ณ ลานประหารก็เริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่ แสดงถึงการปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง
“พระจักรพรรดิเสด็จ ทุกคนถวายความเคารพ”
อัศวินราชองครักษ์เปล่งเสียงดังกึกก้องเพื่อเปิดทางให้จักรพรรดิปรากฏตัว เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่มากับใครอีกคน ซึ่ง ‘ใครอีกคน’ ผู้ได้รับเกียรตินั้นคือ ‘มาร์เชอเนส[1]เฟ็ลปส์’ ผู้เป็นที่เลื่องลือกันว่าเป็นคนรักที่จักรพรรดิพาไปไหนมาไหนด้วยเสมอ แพทริเซียนิ่วหน้าขึ้นมาทันทีที่เห็นใบหน้าที่แสนจะน่ารังเกียจนั้น แต่เพียงครู่เดียวนางก็ปรับสีหน้ากลับไปเป็นปกติ
พระจักรพรรดินั่งอยู่กับมาร์เชอเนสเฟ็ลปส์ สีหน้าของเขาเรียบเฉยราวกับว่าเรื่องตรงหน้านี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ท่าทีนั้นทำให้แพทริเซียรู้สึกว่าอารมณ์ของตนกำลังเดือดพล่าน แต่น่าเสียดายที่นางไม่สามารถทำอะไรตามอารมณ์ตัวเองได้…แม้แต่อย่างเดียว
“เบิกตัวอดีตจักรพรรดินี”
สิ้นเสียงที่ไร้อารมณ์เสียจนน่ากลัว หญิงสาวในชุดเดรสสีขาวขาดวิ่นผมเผ้ากระเซอะกระเซิงก็ถูกอัศวินสองนายประคองเดินเข้ามาในลานประหาร
หญิงสาวผู้นั้นก็คือเปโตรนิยา พี่สาวของแพทริเซีย นางนิ่วหน้าอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสีหน้าของพี่สาวย่ำแย่กว่าตอนที่นางเห็นครั้งสุดท้ายเสียอีก
“นีย่า…”
แพทริเซียพึมพำชื่อเล่นของพี่สาวที่ตนชอบเรียกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเวทนา แต่ยังไม่ทันที่เสียงนั้นจะออกจากปากก็ถูกเสียงอื้ออึงในลานประหารกลืนไปเสียหมดสิ้น นางหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งอย่างปวดใจราวกับไม่อยากให้ชื่อนั้นหายไปแม้เพียงพยางค์เดียว ในขณะเดียวกันบิดามารดาของนางก็กำลังฟูมฟายอยู่เบื้องหลัง
“อดีตจักรพรรดินีเปโตรนิยา ลอว์รา เลอ โกรเชสเตอร์ ขาดศีลธรรมและกระทำความผิดมากมาย คิดปองร้ายสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ทายาทของจักรพรรดิ ทั้งยังปองร้ายจักรพรรดิของจักรวรรดิ ด้วยเหตุนั้น ตัวเรา ลูซิโอ แคร์ริก จอร์ช เดอ มาวินอส…”
น้ำเสียงอันน่าพรั่นพรึงนั้นที่สุดแล้วจะเป็นตัวตัดสินอนาคตของพวกเขาทุกคน
“ในนามของจักรพรรดิ ขอสั่งประหารชีวิตอดีตจักรพรรดินีรวมถึงคนในตระกูลโกรเชสเตอร์ทั้งหมดโดยการตัดศีรษะ”
สุดท้ายก็เหลือเพียงความพินาศ ความพินาศที่ได้ชื่อว่าโศกนาฏกรรม แพทริเซียหลับตาลง สีหน้าของนางไม่ยินดียินร้ายใดๆ
ทุกอย่าง…จบสิ้นแล้ว
“เริ่มการประหารอดีตจักรพรรดินีได้”
นางลืมตาขึ้นมองพี่สาวเป็นครั้งสุดท้าย เปโตรนิยาถูกลากไปที่กิโยตีน สีหน้าของนางไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แต่แพทริเซียซึ่งมีสายเลือดเดียวกันย่อมรู้สึกได้ มันคือการยอมจำนน ความสิ้นหวัง และ…
‘ทั้งรักทั้งชัง’
เปโตรนิยายังคงรักจักรพรรดิหัวปักหัวปำราวกับคนบ้า ข้าจะทำอย่างไรกับพี่สาวผู้โง่เขลาคนนี้ดี ทั้งๆ ตัวเองกำลังจะตาย แต่เจ้าก็ยังคงเฝ้ามองแต่ชายผู้นั้น แพทริเซียรู้สึกถึงความเศร้าเกินพรรณนาในความจริงอันแสนโง่เง่าจนต้องร้องไห้โฮออกมาในที่สุด ไม่นะ…พี่…ท่านพี่…ท่านพี่ของข้า แพทริเซียมองดูวาระสุดท้ายของพี่สาวด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง
“กรี๊ด!”
“เฮือก!”
คอของเปโตรนิยาถูกสะบั้นลง เสียงกรีดร้องดังไปทั่วทุกสารทิศ แพทริเซียกัดปากตัวเองจนเลือดซึม
ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ท่านพี่ตายแล้ว ตัวข้าและท่านพ่อท่านแม่ก็คงต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน
“นำตัวครอบครัวของอดีตจักรพรรดินีออกมา”
ภรรยาที่รักตนมากตายไปแล้ว จักรพรรดินีผู้ซึ่งถูกผูกมัดด้วยคำว่าสามีภรรยามาถึงสามปีถูกบั่นคอไปแล้ว แต่ถึงกระนั้น เขากลับ…สงบนิ่งได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แพทริเซียเจ็บปวดราวกับถูกบีบหัวใจจนแทบหายใจไม่ออกกับความขมขื่นที่ตีรื้นขึ้นมา
“ตัดหัวทีละคน”
แพทริเซียหัวเราะให้กับคำสั่งที่โหดร้าย ในเมื่อทุกอย่างกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่หัวเราะหรือร้องไห้ ใครที่ไม่เสียสติในสถานการณ์เช่นนี้สิถึงจะแปลก แพทริเซียยิ้มออกมาอย่างงดงามเกินจะหาใครเทียบ ก่อนจะพาดลำคอเรียวบนแท่นกิโยตีน มองผู้ที่กำลังสั่งประหารตน คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพี่เขย มองแล้วนางก็รู้สึกเสียใจ
‘หากคนที่ได้เป็นจักรพรรดินีของท่านคือข้า…’
แพทริเซียไม่ใช่คนที่ถวายหัวให้ใครด้วยใจรัก และนางไม่ได้พิศวาสจักรพรรดิถึงขั้นจะยอมปล่อยให้หญิงชู้จูงจมูก เพราะฉะนั้น หากนางได้เป็นจักรพรรดินี ทุกคนก็คงจะมีแต่ความสุข และคงไม่มีใครต้องตาย ไม่แน่ว่าลูกของนางอาจได้เป็นจักรพรรดิ และแก้แค้นมาร์เชอเนสเฟ็ลปส์ในภายภาคหน้าด้วยกระมัง
‘ข้าเสียใจที่ไม่ได้เป็นจักรพรรดินีในครานั้น’
ข้าพลาดเองที่ให้ท่านพี่ไปเข้ารับการคัดเลือกเป็นจักรพรรดินี ข้าพลาดไปที่ไม่ทันคิดว่านางจะตกหลุมรักจักรพรรดิตั้งแต่วันแรกที่พบหน้าเขา
เสียใจตอนนี้ไปก็สายไปเสียแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้ สิ่งที่เหลืออยู่คือการใช้คอของตนและครอบครัวอันเป็นที่รองรับใบมีดอันเย็นเฉียบเท่านั้น
แพทริเซียไม่ยี่หระกับใบมีดที่ดิ่งลงมา นางยังคงเสียใจจนวาระสุดท้าย
‘หากย้อนเวลากลับไปได้…ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้ท่านพี่เป็นจักรพรรดินีเด็ดขาด’
ณ จุดสิ้นสุดของความเสียใจ ลำคอของแพทริเซียขาดสะบั้น เสียงกรีดร้องของผู้คนเช่นเดียวกับเมื่อสักครู่ดังก้องในโสตประสาท
น้ำตาหยดสุดท้ายหลั่งริน พร้อมกับที่ลมหายใจสุดท้ายของแพทริเซียดับลงในวัยยี่สิบสองปี
………………………………………………
ส่วนที่ 1 Lady Patrizia (เลดี้แพทริเซีย)
“อ๊า!”
แพทริเซียกรีดร้องพร้อมกับลืมตาตื่น ตรงหน้าคือโต๊ะหนังสือสีน้ำตาลมะฮอกกานี บนนั้นมีหนังสือสีขาววางอยู่ และผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คือ…ตัวนางเอง นางนั่งเหม่ออยู่สักครู่ก่อนจะระลึกได้ถึงเรื่องสำคัญ
“ข้าว่า…ข้า…”
ตายแล้ว ตัวของนางนั้น…
“ตายไปแล้ว…”
แพทริเซียยังจำความรู้สึกตอนที่ใบมีดดิ่งลงมาตัดลำคอนี้ได้ ความทรงจำที่น่ากลัวและสยดสยองทำเอาขนลุก จู่ๆ ร่างกายของนางก็สั่นขึ้นมา สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือนางกำลังหวาดกลัว ความหวาดกลัวเป็นความรู้สึกของคนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น แพทริเซียยังทำใจยอมรับเหตุการณ์นี้ไม่ได้ ไม่สิ นางไม่สามารถยอมรับได้ต่างหาก
“เป็นไปได้อย่างไร ทำไมข้าถึง…”
ความจริงที่ว่าเสียงของนางที่พูดซ้ำๆ กำลังหลั่งไหลเข้ามาในโสตประสาทก็น่าตกใจไม่แพ้กัน คนตายจะไม่ได้ยินเสียง ถ้าอย่างนั้นตอนนี้นางยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ? แพทริเซียค่อยๆ ยื่นมือออกไปพลิกหน้าหนังสือ ตัวเลขที่เขียนไว้ที่หน้าสุดท้ายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งจำนวน
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่หญิงสาวก็ยังเชื่อไม่ลง นางจึงลองทดสอบให้แน่ใจที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย แพทริเซียยกมือขึ้นและฟาดลงไปที่แก้มของตนอย่างแรง
เสียงเนื้อกระทบเนื้อหนักๆ ดังเพี้ยะมาพร้อมกับความเจ็บแปลบ แพทริเซียกุมแก้มที่แดงเรื่อขึ้นด้วยแรงกระทบพลางพูดพึมพำ
“เจ็บ…”
เป็นที่แน่ชัดแล้ว นางยังมีชีวิตอยู่ แต่…เป็นไปได้อย่างไร…
ในระหว่างที่แพทริเซียใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนมองลงไปยังเรือนร่างของตน ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูพรวดเข้ามา
“แพทริเซีย!”
เสียงนี้ หรือว่า …
“นิล…”
“ริซซี่ อ่านหนังสืออีกแล้วเหรอ”
เปโตรนิยาทำหน้าเบื่อหน่ายพลางเข้ามายืนข้างกายน้องสาวฝาแฝด แพทริเซียตัวสั่นราวกับเห็นผี ก่อนจะถามออกไปอย่างไม่เชื่อสายตา
“นิล…จริงๆ หรือ นีย่า นี่เจ้าจริงๆ ใช่ไหม”
“ริซซี่?”
เปโตรนิยาเอียงคอเล็กน้อยเพราะนางเพิ่งสังเกตเห็นว่าน้องสาวมีอาการแปลกๆ
“เป็นอะไรไปน่ะ เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“แต่…”
เปโตรนิยาดึงแพทริเซียเข้ามากอดโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบคำถาม แพทริเซียเอาแต่พึมพำว่า เจ้ายังอยู่ตรงหน้าข้าจริงๆ นีย่า…ครอบครัวที่แสนสำคัญของข้า…ยังมีชีวิตอยู่
“พระเจ้า ไม่น่าเชื่อ …”
“ริซซี่ เจ้าเป็นอะไรกันแน่”
เปโตรนิยารู้สึกไม่ชอบมาพากลอีกทั้งยังรู้สึกฉงน ตอนนั้นเองที่แพทริเซียผละออกจากอ้อมกอดพร้อมทำสีหน้าคล้ายจะร้องไห้
ชัดเจนแล้ว ข้ายังมีชีวิตอยู่ นีย่าก็ยังมีชีวิตอยู่ ว่าแต่ที่นี่มันที่ไหน… แพทริเซียสงสัยได้ไม่นานก็ได้ยินคำพูดที่ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางใจ
“ไม่ได้ผลหรอกนะริซซี่ ข้าไม่ยอมเป็นควิเนส[2]แน่ ๆ”
ตึง! เสี้ยววินาทีนั้นแพทริเซียรู้สึกเหมือนมีอะไรมากระแทกศีรษะ นางเอ่ยถามอ้ำๆ อึ้งๆ
“คะ ควิเนสหรือ”
“ใช่สิ ควิเนส เราต้องให้คำตอบในวันพรุ่งนี้อย่างไรเล่า”
“เป็นไปไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ เมื่อวานข้ายังคุยเรื่องนี้กับเจ้าอยู่เลย”
เปโตรนิยาพูดกับแพทริเซียด้วยรอยยิ้ม
“แล้วก็นะ ริซซี่ ข้ามาลองคิดๆ ดูแล้ว…”
“…”
“เรามาจับสลากกันไหม”
แต่แพทริเซียก็ยังไม่หือไม่อือกับคำถามของเปโตรนิยา ทำเอาคนถามรู้สึกอึดอัด แต่เมื่อกำลังจะอ้าปากพูดต่อ แพทริเซียก็เรียกเอาไว้เสียก่อน
“ท่านพี่”
“ว่าอย่างไรริซซี่ เจ้าก็ว่าดีใช่ไหม”
“ตอนนี้… เอ่อ คือท่านพี่กับข้า…”
แพทริเซียถามต่อไปทั้งๆ ที่ริมฝีปากยังสั่นระริก
“อายุสิบเก้าปีหรือ? เป็นเช่นนั้นหรือ?”
“เจ้านี่มัน… คนฉลาดอย่างเจ้าลืมว่าตัวเองอายุเท่าไรเนี่ยนะ”
เปโตรนิยาตำหนิน้องสาวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“เพิ่งผ่านวันเกิดของเรามาได้ไม่เท่าไรเอง วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป”
แม้แพทริเซียจะได้ยินเปโตรนิยาพูดกระเซ้าว่า ‘อ่านหนังสือมากไปจนสมองฟั่นเฟือนหรือไร’ แต่ตอนนี้หัวสมองของนางไม่สงบมากพอที่จะยินดียินร้ายกับคำพูดนั้น พี่สาวของนางได้รับเลือกเป็นควิเนสผู้ซึ่งจะเข้ารับการคัดเลือกเป็นจักรพรรดินี เช่นนั้นหรือว่า…
“ย้อนกลับมาตอนอายุสิบเก้า…”
“อะไรนะ?”
เปโตรนิยาที่จับต้นชนปลายไม่ถูกถามขึ้น แต่แพทริเซียก็ยังคงพูดคนเดียวต่อไป
“ย้อนเวลา…ย้อนเวลาอย่างนั้นหรือ แต่…ได้อย่างไร…”
“ริซซี่ ตั้งสติสิ!”
เปโตรนิยาถลึงตาดุน้องสาว
“วันนี้เจ้าแปลกๆ นะ ยังตื่นไม่เต็มตาหรือเปล่า”
“อะ อืม…”
ในที่สุดแพทริเซียก็ดึงสติกลับมาที่ปัจจุบัน แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่ถึงอย่างไรนางก็คงต้องยอมรับว่าตอนนี้นางย้อนกลับมา ณ ช่วงเวลาก่อนเข้ารับการคัดเลือกควิเนส ตอนนางอายุได้สิบเก้าปี
[1] มาร์เชอเนส (อังกฤษ: marchioness) หรือ มาร์กีซ (ฝรั่งเศส: marquise) คือสุภาพสตรีที่มีบรรดาศักดิ์เป็นมาร์ควิสซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ชนชั้นหนึ่งของขุนนางยุโรป ซึ่งมาร์ควิส (อังกฤษ: marquess) หรือ มาร์กี (ฝรั่งเศส: marquis) เป็นบรรดาศักดิ์สืบตระกูลแบบหนึ่งใน 5 ลำดับชั้นหลักๆ ของยุโรป เรียงจากสูงไปต่ำ ได้แก่ ดยุก มาร์ควิส เคานต์ ไวเคานต์ และบารอน
[2] ควิเนส คือผู้ที่จะเข้ารับการคัดเลือกเป็นจักรพรรดินี