“…”
เปโตรนิยาสะดุ้งตกใจกับคำพูดของเจ้าของแผงลอย นางมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าตกใจ นางเป็นหญิงชราที่สวมเสื้อคลุมสีดำ เรือนผมสีดอกเลาของนางยาวถึงหน้าอก นางดูแปลกประหลาดอาจเป็นเพราะเสื้อคลุมสีดำตัวนั้น
“ทะ…ท่านพูดเรื่องอันใด…”
“…”
“ไม่ว่าใครต่างก็กลัวอนาคตที่ยังมาไม่ถึงกันทั้งนั้นมิใช่หรือคะ แต่คำพูดของท่านยายดูราวกับว่าท่านไม่กลัวอย่างไรอย่างนั้น”
“แม่หนูกล่าวได้ถูกต้อง ทว่า…” หญิงชรายิ้มจนเห็นฟันที่เหลืออยู่ไม่กี่ซี่ “ต่อให้กลัว แต่หากมีโอกาสดีๆ เข้ามาเช่นแม่หนู ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่คว้าเอาไว้”
“….”
สีหน้าของเปโตรนิยาซีดเผือดราวกับถูกมองทะลุความคิด รอธซีมองสำรวจใบหน้าของหญิงสาวราวกับจะถามว่านางเป็นอะไรหรือไม่ แต่เปโตรนิยาก็ทำเพียงพยักหน้าให้เขาครั้งหนึ่งเพื่อบอกว่าไม่เป็นไรเท่านั้น และคำพูดของหญิงชราก็ยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น
“แม่หนูกลัวล่ะสิ กลัวว่าเรื่องจะซ้ำรอย”
“ท่านรู้เรื่องได้อย่างไรคะ”
“แค่กลตื้นๆ น่ะ”
คำพูดอันไร้ที่มาที่ไปของหญิงชราทำให้เปโตรนิยาสับสน จากนั้นนางก็กล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนเจ้าจะชอบลูกแก้วนั่น รับไปสิ”
“แล้วราคา…”
“ไม่จำเป็น”
ได้ยินคำพูดของรอธซี หญิงชราก็ตอบอย่างเฉียบขาด จากนั้นนางก็หัวเราะน้อยๆ และกล่าวเสริม
“จ่ายด้วยพ่อหนุ่มก็แล้วกัน”
“…ครับ?”
ต่อให้เป็นรอธซี แต่เจอคำพูดแบบนี้ก็ตกใจอยู่เหมือนกัน
“เอาล่ะ แม่หนู คาเพ เดียม[1] จงมีความสุขกับปัจจุบัน” หญิงชราพูดต่อ
“…”
“ถึงอย่างไรเรื่องมันก็ผิดเพี้ยนมาตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ”
“ท่านรู้ได้อย่าง…”
เปโตรนิยาพูดพึมพำราวกับถูกปิศาจสูบวิญญาณไป รอธซีรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ จึงเร่งเปโตรนิยาให้รีบออกจากตรงนี้
“เลดี้ ข้าว่าเราไปกันดีกว่าครับ”
“เอ่อ…เดี๋ยวก่อนค่ะ”
เปโตรนิยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านยายเป็นใครคะ? พระเจ้าหรือคะ? หรือว่า…”
“พระเจ้าหรือ… เป็นคำที่ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยคนนี้มิอาจเอื้อมกระมัง”
หญิงชรายิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะยื่นลูกแก้วที่มีสีคล้ายกับท้องฟ้ายามค่ำคืนให้เปโตรนิยา เปโตรนิยารับสิ่งนั้นมาอย่างงุนงง
“เอาล่ะ แม่หนู หากมีเรื่องกลุ้มใจก็ลองมองเข้าไปในลูกแก้วดูนะ” หญิงชราชี้แนะอย่างอารี
“…”
“ใครจะรู้ ไม่แน่อาจจะได้คำตอบก็เป็นได้”
เปโตรนิยายืนนิ่งงันอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าสับสนวุ่นวาย ก่อนจะถูกรอธซีดึงออกจากร้านมาด้วยรู้สึกถึงอันตราย คล้อยหลังคนทั้งคู่ หญิงชราก็เดาะลิ้นและหัวเราะออกมา จากนั้นนางก็เริ่มเช็ดฝุ่นที่เกาะอยู่บนลูกแก้วใบอื่นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
***
ในอีกด้านหนึ่ง โรสมอนด์กำลังมองดูดอกกุหลาบหนึ่งร้อยดอกที่ถูกส่งมาจากตำหนักจักรพรรดินีด้วยสีหน้าตกตะลึง นางมองมีร์ยาคล้ายจะถามว่าเอาความว่าคิดจะทำอะไร แต่ดูไปดูมาสีหน้าของมีร์ยาก็ดูไม่ค่อยพอใจเช่นกัน เช่นนั้นก็หมายความว่านี่เป็นการกระทำของจักรพรรดินีแต่เพียงผู้เดียว… เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็ยิ่งรู้สึกงงงัน
พอรู้ว่าตัวเองเป็นหมันก็เลยเสียสติไปแล้วกระมัง
“จักรพรรดินีพระราชทานมาให้?”
“เป็นเช่นนั้นค่ะ มาร์เชอเนส”
“เฮอะ” นางส่ายหน้าพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ฝากขอบพระทัยฝ่าบาทด้วยแล้วกัน แล้วก็ทูลถามด้วยว่าพระองค์ประชวรตรงไหนหรือเปล่า”
“…”
มีร์ยาอยากจะสวนกลับไปว่าถามแล้ว แต่สุดท้ายนางก็เลือกที่จะเงียบไว้และออกจากตำหนักเวนไปทันทีด้วยสีหน้าไม่พอใจ สีหน้าของคลาราเองก็ดูไม่มีชีวิตชีวาเช่นกัน คล้ายว่านางไม่เข้าใจสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย
“อะไรล่ะเนี่ย แผนหลอกให้ตายใจหรืออย่างไร” โรสมอนด์เอ่ยถาม
“…คนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างพระจักรพรรดินีน่ะหรือคะ”
“ก็ไม่เห็นว่าจะวางแผนอะไรไว้นี่” โรสมอนด์เอียงคอพลางบ่นพึมพำ “นี่ คลารา จักรพรรดินีเป็นหมัน นางมีลูกไม่ได้ และนางก็ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่เหมือนอดีตจักรพรรดินีอลิซา หากข้ามีพระโอรส นางก็ยากที่จะรักษาตำแหน่งไว้ได้…”
อืม… โรสมอนด์ครุ่นคิดหาคำตอบที่พอจะเป็นไปได้
“คิดจะประจบสอพลอกระมัง?”
“เห็นเป็นอื่นไปมิได้แล้วค่ะ มาร์เชอเนส”
“เฮอะ” โรสมอนด์พ่นลม “ทำเป็นสูงส่งหนักหนา ที่แท้ก็ไม่เท่าไร”
“ถึงอย่างไรก็เป็นหมัน นางจะไปทำอะไรได้ล่ะคะ”
“แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจไป เจ้าจับตาดูสถานการณ์ของตำหนักจักรพรรดินีอยู่ใช่ไหม”
“ค่ะ มาร์เชอเนส ท่านอย่าได้กังวล”
ได้ฟังดังนั้นโรสมอนด์ก็มีสีหน้าผ่อนคลายและยิ้มออกมา
“ใช่สิ นี่แหละถูกต้องแล้ว”
“…”
“เพราะเดิมทีมันก็เป็นที่ของข้าอยู่แล้ว”
โรสมอนด์คิดว่าตอนนี้ทุกอย่างเริ่มจะเข้าที่เข้าทาง ตำแหน่งจักรพรรดินีก็เป็นของนาง ยิ่งตำแหน่งพระพันปียิ่งแล้วใหญ่ นางจะต้องเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในจักรวรรดินี้ให้จงได้ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม
***
“หญิงชราคนนั้นดูแปลกๆ นะครับ เลดี้ไม่คิดเช่นนั้นหรือ”
รอธซีพูดด้วยสีหน้าคาใจ แต่เปโตรนิยากลับตอบราวกับไม่รู้สึกอะไร
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ลอร์ด”
“อืม…”
รอธซีครุ่นคิดด้วยสีหน้ายากจะคาดเดา ทันใดนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย
“ว่าแล้วเชียว…”
“…?”
“มีอีกหลายเรื่องที่ข้ายังไม่รู้สินะครับ”
“…”
“เลดี้”
รอธซีสบตากับหญิงสาวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นี่เป็นครั้งแรกที่เปโตรนิยาไม่หลบตา
“ขอให้ข้าได้อยู่ข้างๆ เพื่อทำความรู้จักเลดี้ต่อไปจะได้ไหมครับ” เขาถาม
“…”
แปะ แปะ
ในตอนนั้นเองท้องฟ้าที่เคยปลอดโปร่งก็มีเม็ดฝนร่วงลงมา ก่อนจะได้ฟังคำตอบ รอธซีก็รีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาคลุมศีรษะให้เปโตรนิยาและกล่าวอย่างเร่งร้อน
“หาที่หลบฝนกันดีกว่าครับ”
“…”
“ไปร้านตรงนั้นกันเถอะครับ เลดี้”
“เปโตรนิยา”
เปโตรนิยาพูดชื่อของตนออกมาลอยๆ รอธซีทำสีหน้าสงสัยขณะที่มือก็ยังคงถือเสื้อคลุมศีรษะให้หญิงสาว
“เลดี้ครับ ไว้เราค่อยคุยกันทีหลัง…”
“เรียกว่าเปโตรนิยาเถอะค่ะ รอธซี”
“…เปโตรนิยา”
ทั้งคู่ยืนมองหน้ากันราวกับลืมไปแล้วว่าฝนกำลังตก ผู้คนรอบตัวกำลังวุ่นวายกับการหาที่หลบฝนที่จู่ๆ ก็เทลงมา ครั้นเห็นทั้งสองคนยืนเด่นอยู่กลางถนนก็นึกขำ แน่นอนว่าสำหรับคนทั้งคู่แล้วนี่เป็นสถานการณ์ที่จริงจังอย่างมาก
“ข้า…” เปโตรนิยาเอ่ยปากอย่างเนิบช้า “กลัวมากเหลือเกินค่ะ”
“หมายความว่าอย่างไรครับ”
“ข้ากลัวการตกหลุมรัก” เปโตรนิยาพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้าไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิต ข้าเคยเชื่อและต้องพบกับความเจ็บปวดแสนสาหัส ข้าเคยคิดว่าเขาคือคู่แท้ของข้า แต่ความจริงมันไม่ใช่เลย”
เปโตรนิยายิ้มอย่างขมขื่น ในขณะที่รอธซีก็ยังคงตั้งใจฟัง แม้สายฝนจะเทกระหน่ำลงมา
“ข้าสาบานกับตัวเองไว้ว่าจะไม่รักใครอีก ข้าคิดว่าความรักไม่เหมาะกับข้า ข้าไม่สามารถรักใครได้ตั้งแต่แรกแล้วและนั่นคือโชคชะตาที่แท้จริงของข้า เพราะเชื่อเรื่องไร้สาระอย่างเรื่องพรหมลิขิต คนรอบตัวข้าถึงต้องเดือดร้อน”
“…”
“เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่คิดที่จะรักใครจนวันตายค่ะ ข้าตั้งใจว่าจะไม่แต่งงาน ต่อให้ข้าต้องหยุดความรักเอาไว้ก็ตาม”
“…เปโตรนิยา”
“ข้าอาจจะยังไม่คุ้นชินและยังอ่อนประสบการณ์ บางทีข้าอาจมิใช่คนที่น่าสนใจและไม่มีเสน่ห์ด้วยก็ได้ค่ะ”
เปโตรนิยาเงยหน้ามองรอธซีที่เปียกปอนด้วยสายฝนอย่างเศร้าสร้อย
“แต่ถึงกระนั้นหากท่านไม่ว่าอะไร… หากท่านพึงใจที่ข้าเป็นเช่นนี้…”
“…”
“ข้าก็อยากจะคบหากับท่านค่ะ”
“…”
เปโตรนิยารอคอยคำตอบด้วยร่างกายสั่นเทา รอธซีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเรียกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่สั่นยิ่งกว่า
“เปโตรนิยา”
“…คะ”
“ในงานรำลึกฯ ข้าได้พูดไปแล้ว และเมื่อครู่ข้าก็เพิ่งจะพูดไปเช่นกัน”
“…”
เขาขยับเข้าไปใกล้เปโตรนิยา หญิงสาวขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว รอธซีเห็นดังนั้นก็ช่วยคลายหัวคิ้วให้อย่างแผ่วเบาและพูดอย่างอ่อนโยน
“เปโตรนิยา”
“…คะ”
“ข้ารักท่าน”
“…”
“มากเหลือเกิน”
“…”
“ท่านเป็นสตรีที่วิเศษมากพอที่จะมีความรัก และมากพอที่จะได้รับความรัก ต่อให้ไม่ใช่ข้า ผู้ชายที่ไหนก็ทนไม่ได้หรอกครับที่จะไม่ตกหลุมรักท่าน”
“…แต่ว่า”
“ชู่ว เพราะฉะนั้นเลิกดูถูกตัวเองเถอะนะครับ เปโตรนิยา ท่านกำลังประเมินตัวเองต่ำเกินไป”
“…ขอบคุณนะคะ”
เปโตรนิยายอมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของรอธซีที่สูงกว่านางหนึ่งคืบด้วยสีหน้าตื้นตัน ตอนแรกรอธซีดูตกใจทำอะไรไม่ถูก แต่ทันใดนั้นเขาก็กอดเปโตรนิยาอย่างแผ่วเบา เปโตรนิยาหลั่งน้ำตาเงียบๆ มือของนางขยุ้มเสื้อของอีกฝ่ายแน่น
และสายฝนก็ยังคงกระหน่ำลงมาไม่หยุด
***
“เป็นอย่างไรบ้าง”
มีร์ยามีสีหน้าลำบากใจกับคำถามของแพทริเซีย เป็นอย่างไรน่ะหรือ? ไม่รู้สิ ข้ายังต้องกราบทูลอะไรอีกหรือ แต่ถึงกระนั้นมีร์ยาก็ตอบออกไปตามจริง
“…ท่าทีดูไม่ดีเท่าไรเพคะ ดูตกตะลึง”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น”
แพทริเซียพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ
“หากนางไม่ตกใจก็คงเป็นข้าที่จะตกใจ”
“ฝ่าบาท ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันต้องกราบทูลเช่นนี้” มีร์ยากล่าวด้วยสีหน้าอัดอั้นตันใจ “หม่อมฉันเบาปัญญานักจึงมิอาจเข้าใจความคิดของพระองค์ได้เพคะ”
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก”
แพทริเซียหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยคำพูดที่ไม่รู้ว่าพูดคนเดียวหรือกำลังอธิบายให้ฟัง
“ก็แค่…ข้าคิดว่าการแสดงให้นางเห็นว่าข้ากำลังทำอย่างที่นางต้องการเป็นเรื่องสำคัญ”
“…เพคะ?”
“ที่เหลือเป็นความลับ อาจไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยตลอดกาลหรือสักวันข้าอาจจะพูดออกมาก็เป็นได้”
“ฝ่าบาทกำลังตรัสถึงเรื่อง…”
“สิ่งที่สำคัญคือข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไร แต่หากมีผู้อื่นล่วงรู้ เรื่องอาจจะรั่วไหลออกไปได้น่ะสิ”
แพทริเซียยังคงทำเป็นไขสืออย่างเสมอต้นเสมอปลาย และมีร์ยาก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีก ข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ต้องเข้าใจความคิดของผู้เป็นนายและปฏิบัติตัวตามนั้น สุดท้ายนางก็เลือกที่จะเงียบปาก
“ฝนตกนี่”
แพทริเซียมองสายฝนนอกหน้าต่างที่เริ่มหนาเม็ดขึ้นพลางพูดพึมพำ
“เดตของนีย่าคงจะไม่ล่มใช่ไหมนะ ช่างน่าเป็นห่วง”
“เดิมทีความสัมพันธ์ของคนเราจะพัฒนาก็ต่อเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายที่เหมาะสมเพคะ”
มีร์ยายิ้มกว้างพลางกล่าวกับหญิงสาว “ทรงอย่าเป็นกังวลไปเลยเพคะ เลดี้ทั้งสวยทั้งฉลาด”
“…ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้นจริง”
ข้าก็เป็นห่วงไม่เข้าเรื่อง ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว แพทริเซียพึมพำอย่างขมขื่น จากนั้นก็ออกคำสั่งกับมีร์ยาเบาๆ ให้ชงชาลาเวนเดอร์เข้มๆ มาให้
***
“ฮัดเช่ย!”
เปโตรนิยาจามเสียงดังหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกออกแล้ว เพราะตากฝนจนเปียกโชก รอธซีจึงเป็นห่วงสุขภาพของนางอย่างมาก แม้นางจะยืนยันว่าไม่เป็นไร เขาก็ยังพานางมาส่งที่คฤหาสน์มาร์ควิส แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ค่อยดีนัก
“คุณหนูก็เหลือเกิน ไปเดตก็ดีอยู่หรอกแต่ต้องคิดถึงสุขภาพด้วยสิคะ” สาวใช้เอ็ด
“ก็มัน…เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยน่ะ”
“ถ้าเป็นหวัดจะทำอย่างไร”
สาวใช่บ่นพึมพาอย่างเป็นทุกข์ ในขณะที่เปโตรนิยาได้แต่ยิ้มแหย การสารภาพรักกลางสายฝนอาจทำให้นางเป็นหวัดแต่มันก็ทำให้นางมีความรักครั้งใหม่ด้วย เมื่อลองคำนวณส่วนได้ส่วนเสียแล้วก็ไม่นับว่าขาดทุน เปโตรนิยาถามสาวใช้ที่กำลังเช็ดลูกแก้วที่นางได้รับมาจากร้านแผงลอยเมื่อครู่อย่างแผ่วเบา
“ถ้าเป็นหวัดจะทำอย่างไรดี”
“ไม่รู้สิคะ คุณหนู ทำอะไรไว้ก็ได้รับผลเช่นนั้นแหละค่ะ”
ท่าทางอีกฝ่ายจะยังรู้สึกไม่ดีที่นางไม่สบาย
“จะว่าไปแล้วลูกแก้วนี่คืออะไรคะ คุณหนูแอบไปเรียนวิธีตรวจดวงชะตามาหรือ”
“เอ่อ…เปล่า มันไม่ได้มีไว้ใช้แบบนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น?”
“ก็แค่…” เปโตรนิยาคิดหาคำตอบดีๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “อุปกรณ์ช่วยแก้ปัญหาคิดไม่ตกน่ะ เห็นว่าเวลามีเรื่องให้คิดก็ให้เอามือวางลงบนลูกแก้วแล้วจะช่วยได้”
“…ฟังดูเหมือนลัทธินอกรีตเลยนะคะ”
“ข้าไม่ได้ถูกหลอกหรอกน่า วางใจได้”
เปโตรนิยาพูดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะไหว้วานสาวใช้
“ถามไปทางคฤหาสน์เคานต์เบรดิงตันให้ทีได้ไหม ข้าเป็นหวัดเสียแล้ว ไม่รู้ลอร์ดจะเป็นหวัดด้วยหรือไม่”
“ไว้ข้าจะไปถามมาให้นะคะ คุณหนู เลิกกังวัลแล้วรีบพักผ่อนเถอะค่ะ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
พูดจบ สาวใช้ก็ห่มผ้าให้เปโตรนิยาที่เอนตัวนอนอยู่บนเตียงจนปิดถึงคอก่อนจะออกจากห้องไป เปโตรนิยาหลับตาลงพลางหวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นท่ามกลางสายฝนเมื่อครู่แล้วหลับไป
[1] Carpe Diem อ่านว่า คา-เพ-เดียม มาจากบทกวีละติน แปลว่า “Seize the day” หรือ “จงฉกฉวยเวลา” เป็นการเตือนคนให้อยู่กับปัจจุบัน