ชู่มู่อัญเชิญอสูรสายฟ้านิมิตราตรีออกมา ไม่ได้ให้อสูรสายฟ้านิมิตราตรีเก็บซ่อนกลิ่นไอความมืด
อสูรสายฟ้านิมิตราตรีซ่อนกลิ่นไอและความสามารถของตัวเองได้ ดังนั้น ชู่หลั่งและคนของตระกูลชู่จึงไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของมัน
ในตอนที่อสูรสายฟ้านิมิตราตรีปล่อยกลิ่นไอออกมา พลังมืดมหาศาลถาโถมออกมา ทำให้ดวงวิญญาณทั้งหมดในเรือนตระกูลชู่เกิดการสั่นสะเทือน
ในไม่ช้า ดวงวิญญาณทั้งหมดในตระกูลชู่ได้ส่งเสียงขึ้น เกิดความสะเทือนไม่น้อย !
ชู่มู่รีบให้อสูรสายฟ้านิมิตราตรีเก็บกลิ่นไอเอาไว้ มิฉะนั้น จะเกิดผลกระทบที่เกินความจำเป็น
อสูรสายฟ้านิมิตราตรีปล่อยออกมาแบบนี้ ชู่เทียนเหิงกับชู่เทียนหลิงจะไม่เชื่อได้อย่างไร ตื่นเต้นจนน้ำตาจะไหลออกมาแล้ว !
ภัยแร้งเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของตระกูลชู่ แค่จัดการได้ ตระกูลชู่จะเติบโตอย่างรวดเร็วในเมืองที่เต็มไปด้วยทรัพยากรสมบูรณ์แบบนี้แน่นอน ไม่แน่ อีกไม่กี่ปีอาจกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองตะวันตกได้ ถ้ามีชู่มู่เข้าช่วยเหลืออีก จะครองโลกตะวันตกนี้ได้ก็ได้
…
ตอนตกดึกที่ทุกคนเข้านอน ในห้องของหัวหน้ากลุ่มมีเสียงของผู้หญิงวัยกลางคนดังขึ้น
“เทียนเหิง ทำไมเห็นเจ้ายิ้มทั้งคืน แม้แต่ตอนนอนยังมีความสุข ไม่เห็นเจ้าเป็นแบบนี้นานแล้ว”
“คึคึ ตระกูลชู่ของพวกเราจะทะยานขึ้นฟ้าแล้ว…”
…
ส่วนชู่เทียนหลิง พลิกตัวบนเตียงทั้งคืน ทุกครั้งที่คิดว่า ชู่มู่มีความสามารถแข็งแกร่งแบบนี้ จัดการปัญหาใหญ่ของตระกูลได้ ชู่เทียนหลิงตื่นเต้นอย่างมาก
นึกถึงตอนแรก ตระกูลชู่ต้องเคารพนอบน้อมต่อผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิขั้นสูงเหล่านั้น เวลาเชิญพวกเขาต้องใช้เงินมหาศาล ยังต้องคอยดูสีหน้าพวกเขาด้วย
ชู่เทียนหลิงรู้ว่าผู้แข็งแกร่งที่มีจักรพรรดิขั้นสูงพวกนั้นต่างเย่อหยิ่ง ดูถูกตระกูลชู่
พรุ่งนี้พวกคนเหล่านี้น่าจะมาถึงแล้ว คาดว่าคนเหล่านี้ยังจะเชิดหน้าให้ตระกูลชู่เห็นอยู่
ตระกูลชู่เชิญพวกเขาตั้งนานแล้ว ผู้แข็งแกร่งพวกนี้รอให้ใกล้ถึงภัยแร้งค่อยมา ถ้าภัยแร้งมาก่อนกำหนดเล็กน้อย ตระกูลชู่จะต้องเสียหายหมดแน่นอน ดังนั้น ชู่เทียนหลิงแม้จะเชื้อเชิญผู้แข็งแกร่งทั้งหมดอย่างนอบน้อม แต่ไม่พอใจต่อพวกคนที่ดูถูกตระกูลชู่อย่างมาก ๆ
และในตอนนี้ ชู่เทียนหลิงแทบไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ชู่มู่คนเดียว ก็พอจะแทนที่พวกเขาทั้งหมดได้ !
…
เช้าตรู่ บนถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นทราย ชายสี่คนขี่ดวงวิญญาณของพวกเขาเข้าใกล้เมืองเจ็ดสีอย่างสบายใจ
ด้านข้างชายทั้งสี่คน ยังมีหญิงงามอีกคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างรีบร้อน พูดขึ้นอย่างรุนรนว่า “อาจารย์อาทั้งหลาย จะถึงเมืองเจ็ดสีแล้ว พวกเรารีบหน่อยเถอะ”
“ในเมื่อถึงแล้ว ไม่จำต้องรีบขนาดนี้ เจ้าไปตระกูลของเจ้าก่อน บอกกับพวกเขา ปีศาจเสือของข้าวิ่งหลายวันจนเหนื่อยหมดแล้ว ตระกูลของพวกเจ้ามีเศษวิญญาณหมวดอสูรชั้นดีอะไร เตรียมไว้ นอกจากนั้นเตรียมน้ำร้อน ขนของมันสกปรกไปหมดแล้ว มันรักความสะอาดที่สุด น้ำร้อนต้องแช่ด้วยหยดวิญญาณหมวดอสูรจะดีที่สุด” ชายที่มีอายุน้อยที่สุดคนนั้นพูดขึ้น
ชายคนนี้มองดูมีอายุประมาณสามสิบกว่าปี มีหนวดเล็ก ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนพ่อค้าเจ้าเล่ห์
ความจริงฉายาของเขาในตระกูลชู่ก็คือ “พ่อค้าเจ้าเล่ห์” ไม่เพียงแต่ชอบหาเรื่อง อีกทั้งชอบเอาเปรียบคนอื่นอยู่เรื่อย
ถ้าไม่ได้เห็นแก่เฒ่าถู ออกเงินแค่นี้ยังอยากให้พ่อค้าเจ้าเล่ห์อย่างข้ามาที่แบบนี้ ฝันไปเถอะ ตอนนี้พ่อค้าเจ้าเล่ห์กำลังคิดแบบนี้อยู่ในใจ !
ครั้งนี้ตระกูลชู่ออกเงินประมาณสามร้อยล้าน สำหรับพ่อค้าเจ้าเล่ห์สามร้อยล้านนี้ก็ไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ แต่เพื่อสามร้อยล้านนี้ยังต้องมาไกลขนาดนี้ อีกทั้งเรื่องต่อต้านภัยแร้งเป็นเรื่องที่กินแรงอย่างมาก พ่อค้าเจ้าเล่ห์รู้สึกขาดทุนอย่างมาก
ในเมื่อขาดทุน ก็ต้องหาของจากตระกูลชู่มาแทน มิฉะนั้น จะขาดทุนมากกว่าเดิมอีก
ก่อนหน้านี้ชู่เชียนได้แจ้งกับคนที่ตระกูลแล้ว เธอรู้ว่า กว่าจะให้ท่านอาเหล่านี้มาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ท่านอาพ่อค้าเจ้าเล่ห์นี้จะเข้มงวดอย่างมาก แต่เธอก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้แค่ตอบอย่างมีมารยาทว่า “วางใจได้ แค่อาจารย์อาช่วยตระกูลชู่ของเราเราจัดการหายนะครั้งนี้ได้ เขาจะไม่ลืมบุญคุณนี้แน่นอน”
“เจ้าเด็กน้อย ตอนนี้อย่าพูดแบบนี้ พวกเราก็ลงมือตามสถานการณ์ ถ้าภัยแล้งดุร้ายเกินไป แนะนำให้อพยพจะดีกว่า” อาจารย์อาที่อายุมากหน่อยพูดขึ้น
ชู่เชียนเผยสีหน้าลำบากใจออกมา พูดแบบนี้ละก็ เกรงว่าอาจารย์อาเหล่านี้จะกักพลังไว้ ถ้ากักพลังไว้ละก็ คงยากที่จะฝ่าภัยแล้งขั้นเก้าได้จริง ๆ
ชายวัยกลางคนอีกคนขี่หมาป่าพิฆาตตัวหนึ่ง ดวงตาของชายวัยกลางคนนี้มองไปที่ชู่เชียนตลอด บางครั้งยังมองไปยังเอวและด้านล่างของชู่เชียน เห็นได้ชัดว่าอาจารย์อาคนนี้ไม่ธรรมดา
อาจารย์อาคนนี้ชื่อจางอิง เป็นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้านชอบล่วงเกินลูกศิษย์หญิงในตระกูลชู่หลัก ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเขามีความสามารถอยู่บ้าง เกรงว่าทุกคนคงออกมาโจมตีแล้ว
ชู่เชียนสังเกตเห็นตั้งนานแล้วว่า อาจารย์อาคนนี้ไม่ได้มาดี แต่ด้วยความลำบากของตระกูล เธอจำต้องเชิญเขามา อย่างไรทั้งตระกูลชู่หลัก คนที่ยอมช่วยเหลือมีไม่กี่คน นี่ยังเป็นเพราะการออกคำสั่งของเฒ่าถูด้วย มิฉะนั้นชู่เชียนไม่มีทางเชิญผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิขั้นสูงมาได้
ระหว่างที่พูด เข้าใกล้เมืองเจ็ดสีแล้ว อาจารย์อาทั้งสี่ของตระกูลชู่หลักมองไปยังประตูเมืองเจ็ดสีทันที
แต่ว่า ตอนที่เห็นประตูเมือง ใบหน้าของอาจารย์อาเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว ตอนที่เดินเข้าไปในเมือง ยิ่งไม่ปกปิดความไม่พอใจใดๆ
“นี่เป็นเมืองขั้นเก้าที่ไหน นอกจากใหญ่หน่อย เทียบกับเมืองขั้นแปดไม่ได้จริงๆ ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้จะไม่มาแล้ว โธ่เว้ย !” พ่อค้าเจ้าเล่ห์พูดขึ้นก่อน ด้วยใบหน้าไม่พอใจ
จางอิงเองก็ยิ้มอย่างประหลาด กวาดตามองไปยังชู่เชียน
“กำแพงเมืองก็ทรุดโทรม จะกันภัยแล้งได้อย่างไร” ผู้คุมดวงวิญญาณอายุมากสุดที่ถักผมเปีย กัวหลี่พูดขึ้น
อาจารย์อาอีกคนหนึ่งยังคงความนิ่งของเขาเอาไว้
ชู่เชียนไม่รู้จะพูดอะไร และไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้แค่เปลี่ยนเรื่องคุย
ชู่เชียนเองก็รู้ปัญหาด้านนี้ของตระกูล เรื่องนี้ดีขึ้นบ้าง แต่อย่างไรนี่เป็นช่วงฉุกเฉิน
“ท่านอาสอง” หลังจากเข้าเมืองไม่นาน ชู่เชียนเห็นชู่เทียนหลิงกับลูกหลานตระกูลชู่ทั้งหมดต้อนรับบนถนน ฉีกยิ้มออกมาทันที
“กลับมาแล้ว คึคึ คาดว่าท่านทั้งหลายคงเป็นผู้แข็งแกร่งตระกูลชู่หลักแล้ว รบกวนท่านทั้งหลายเดินทางไกลมาที่นี่ ข้าชู่เทียนหลิงซาบซึ้งอย่างมาก” ชู่เทียนหลิงลงจากพาหนะของตัวเอง พูดกับทั้งสี่คนอย่างสุภาพ
“พวกข้าเหนื่อยแล้ว พาพวกข้าไปพักผ่อนเถอะ” พ่อค้าเจ้าเล่ห์ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ไม่สบตาชู่เทียนหลิงด้วย ขี่ปีศาจเสือของเขาเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
เห็นได้ชัดว่า ปีศาจเสือที่พ่อค้าเจ้าเล่ห์ขี่อยู่คือจักรพรรดิขั้นกลาง ทั้งสามคนที่เหลือก็ไม่ต่างกันมาก แม้แต่พาหนะยังเป็นจักรพรรดิขั้นกลาง นี่ทำให้เหล่าลูกหลานตระกูลชู่ส่งเสียงขึ้น
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ชู่เทียนหลิงจะต้องเต็มไปด้วยรอยยิ้มแน่นอน ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะแสดงท่าทีไม่ดีก็คุ้มค่าแล้ว อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง
แต่ว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เผชิญกับผู้แข็งแกร่งตระกูลชู่หลักที่เย่อหยิ่งแบบนี้ ชู่เทียนหลิงแม้จะยิ้ม แต่กลับคิดในใจ “ทำตัวหยิ่งแบบนี้ หึ ถึงเวลาตอนที่พวกเจ้าที่รับเงินมหาศาลจากพวกเรา แต่ไม่มีประโยชน์เท่าหลานชายข้า ดูสิว่าว่าพวกเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ไหน !”
นึกถึงสีหน้าสับสนและดูแย่ของคนเหล่านี้หลังจากเห็นดวงวิญญาณของชู่มู่แล้ว ชู่เทียนหลิงก็มีความสุข
โต๊ะกินข้าวเมื่อคืนมีแค่คนของตระกูลส่วนใน ชู่เทียนเหิงกับชู่เทียนหลิงได้สั่งคนอื่นไว้ อย่าเปิดเผยความสามารถของชู่มู่ ในนั้นนอกจากชู่เทียนหลิงกับชู่เทียนเหิงแล้ว คนอื่นไม่รู้ว่าชู่มู่มีจักรพรรดิขั้นสูงจริงหรือไม่ ทำได้แค่เก็บความสงสัยเอาไว้
ส่วนลูกหลานที่ออกมาต้อนรับกลับไม่อยู่บนโต๊ะอาหาร พวกเขาไม่รู้ว่าในตระกูลของตัวเองมีผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มอยู่คนหนึ่ง ตอนนี้ได้เห็นผู้แข็งแกร่งที่ขี่จักรพรรดิขั้นกลางมาที่นี่ ต่างตื่นเต้นอย่างมาก ทั้งอิจฉา ทั้งชื่นชม
“ข้ารอผู้แข็งแกร่งประตูเมืองหลัวที่นี่ ชู่จี๋ เจ้าพาชู่เชียนกับท่านผู้ใหญ่ไปพักผ่อนก่อน” ชู่เทียนหลิงบอก
“ขอรับ” ชู่จี๋พาผู้แข็งแกร่งทั้งหลายกลับเรือนอย่างนอบน้อม
“ท่านอาสิง อารมณ์ของอาจารย์อาเป็นแบบนี้จริงๆ …” ชู่เชียนพูดขอโทษชู่เทียนหลิงเสียงเบา
ชู่เชียนรู้สึกผิดในใจ โดยเฉพาะตอนที่เห็นผู้ใหญ่อย่างชู่เทียนหลิงยังต้องลดตัวกับอาจารย์หาเหล่านี้อีก
“ไม่เป็นไร เจ้าก็เหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้าคิดถึงเจ้ามากแล้ว” ชู่เทียนหลิงพูดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร
ชู่เทียนหลิงจะใส่ใจทำไม ตอนนี้ยิ่งสุภาพกับพวกเขามากเท่าไร รอให้ถึงวันที่ลงมือ เจ้าพวกอวดดีพวกนี้ยิ่งอับอาย ชู่เทียนหลิงเองก็เป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ เรื่องแสแสร้งเขาก็ยังรู้ดีอยู่
ชู่เชียนพยักหน้า เดินไปยังเรือนเจ้าเมืองพร้อมกับอาจารย์อาที่ชักสีหน้า
พ่อค้าหลายคนของเมืองเจ็ดสีได้ย้ายออกไปแล้ว ทั้งเมืองนี้ดูเงียบสงบอย่างมาก อาจารย์อาที่มาจากตระกูลชู่หลักซึ่งอยู่เมืองอั่วกู่เจริญแบบนั้นจนชินแล้ว มาถึงที่ทรุดโทรมแบบนี้กะทันหัน จะดีใจได้อย่างไร สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่หันหลังกลับก็นับว่าให้เกียรติตระกูลชู่เล็กๆ นี้มากแล้ว
…
“โครม”
ทันใดนั้น เสียงประหลาดดังขึ้นจากด้านทิศใต้ของเมือง เหมือนมีกองทัพนับร้อยพัน กำลังวิ่งอยู่บนเนินเขา เส้นทางเขา !
ชู่เทียนหลิงอยู่ประตูเเมืองเหนือ ตอนที่หันกลับไปมอง พบว่าทิศใต้ของเมืองเต็มไปด้วยหมอกควัน ปกปิดเนินเขาที่กว้างขวาง พลังนั้นทำให้ต้องสูดหายใจเข้าลึก ๆ !
“กองทัพระดับทาสปรากฏตัวแล้ว !”
ขุนนางตระกูลชู่ที่อยู่ด้านข้างต่างร้องขึ้นอย่างหวาดกลัว !
ชู่เทียนหลิงยังนับว่าใจเย็นอยู่ พูดขึ้นเสียงนิ่งว่า”แค่กองทัพระดับทาสส่วนหนึ่ง น่าจะเป็นทหารแนวหน้าที่เข้ามาสืบข่าว ไม่ต้องตื่นกลัว หัวหน้ากลุ่มจะจัดการ พวกเราอยู่ที่นี่ต่อก็พอแล้ว”
…
ข่าวที่กองทัพระดับทาสทยายบุกเข้ามา กระจายมาถึงตระกูลชู่อย่างรวดเร็ว
หัวหน้าชู่เทียนเหิงออกคำสั่งทันที ให้ผู้คุมดวงวิญญาณที่จ้างมาเข้าสู่ภาวะเตรียมตัวทางใต้แล้ว
แม้จำนวนของกองทัพระดับทาสจะใหญ่มาก แต่ตระกูลชู่จัดการได้ไม่ยากมาก ดังนั้น นอกจากตอนเริ่มที่เกิดความชุลมุนเล็กน้อยแล้ว ไม่ได้ส่งผลกระทบเท่าไร
…
“กองทัพระดับทาสงั้นหรือ มาได้พอดี ให้มังกรจำศีลน้อยฝึกหน่อย นี่เป็นโอกาสอันน้อยที่จะมีระดับทาสล้วนให้ฝึกได้!”
ในสวนบางแห่ง วัยหนุ่มชุดดำฉีกยิ้มออกมา จับจ้องไปยังทางใต้
บนไหล่ของวัยหนุ่มคนนี้ มังกรน้อยตัวอ้วนกำลังตบฝ่ามือ กัดฟันมังกรเล็กๆ นั้นจนเป็นเสียงแกร๊กๆ !
ชู่มู่แอบคิดในใจ มังกรจำศีลน้อยลักษณะสองจัดการระดับทาสลักษณะสิบทั้งฝูง น่าจะสนุกหน่อย