มารนิรยขาวของชู่มู่อยู่ในจักรพรรดิชั้นยอดลักษณะสิบแล้ว แค่มีวัตถุวิญญาณ ชู่มู่ก็มีหวังจะเพิ่มความแข็งแกร่งราชันอีกตัวหนึ่งได้แล้ว
แค่มีราชันสามตัว ความสามารถของชู่มู่ก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นแล้ว อย่างน้อยจะกวาดล้างชนเผ่าขั้นหนึ่งได้อย่างไม่มีปัญหา
แน่นอนว่า ถ้าตอนนี้ได้วัตถุวิญญาณมีเพียงมารนิรยขาวที่เพิ่มความแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับราชันได้
มารนิรยขาวมีหมวดรองอยู่ วัตถุวิญญาณเพิ่มความแข็งแกร่งของมันใช้เงินมากกว่าสองเท่า
ระดับพลังต่อสู้ของดวงวิญญาณหมวดเดี่ยวกับหลายหมวดจะมีความห่างอย่างชัดเจน ดวงวิญญาณหมวดเดี่ยว ชู่มู่แค่หาวัตถุวิญญาณราชันที่มีหมวดเข้ากัน ก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งได้แล้ว เงินทุนหนึ่งเท่าก็ถึงระดับราชันได้แล้ว
ถ้ามีหลายหมวด จำต้องหาวัตถุวิญญาณหลายหมวดที่คล้ายกันมา จำต้องใช้เงินทุนสองเท่าถึงจะอยู่ในระดับราชันได้ จะเพิ่มความแข็งแกร่งแยกหมวดไม่ได้
สิ่งที่ควรพูดถึงคือ ระดับพลังต่อสู้ไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งแยกหมวดได้ แบบนี้จะทำให้หมวดรองด้อยกว่าตลอดไป
เช่น มารนิรยขาวเป็นหมวดลับ ไฟ อสูร มืดทั้งสี่อัน ความจริงหมวดหลักของมันคือหมวดลับ หมวดรองถ้าแบ่งตามระดับความแข็งแกร่งสุดจะเป็นไฟ อสูร และมืด
ถ้าเพิ่มความแข็งแกร่งแยกกัน วัตถุวิญญาณหมวดลับที่ซื้อมาเพิ่มความแข็งแกร่งมารนิรยขาวอยู่ในระดับราชัน แบบนี้การเพิ่มความแข็งแกร่งของมารนิรยขาวอาจทำให้อยู่ในระดับราชันได้จริงๆ
แต่หมวดไฟ อสูรและมืดจะอ่อนกว่าตลอดไป สำหรับพลังของระดับราชัน หมวดรองที่ยังอยู่ในระดับจักรพรรดิจะไม่มีประโยชน์ใดๆ มารนิรยขาวจะกลายเป็นแค่ราชันธรรมดา
และหลังจากนี้ ถ้าซื้อวัตถุวิญญาณสามหมวดคือไฟ อสูร มืดมาทดแทน ก็ไม่มีผลที่เห็นชัดเจนอีกแล้ว
ความจริงในดวงวิญญาณของชู่มู่มีตัวอย่างที่หมวดอ่อนลงอยู่ คืออสูรสายฟ้านิมิตราตรีกับปีศาจนักรบไม้
หมวดสายฟ้าของอสูรสายฟ้านิมิตราตรีเกือบจะหายไปแล้ว หมวดอสูรของปีศาจนักรบไม้ก็อ่อนลงเช่นกัน
ดวงวิญญาณหลักของชู่มู่จะมีหลายหมวด จั้นเย้มีหมวดหลักคู่คือแมลงกับอสูร มั่วเย้ก็เหมือนกัน มารนิรยขาวมีสี่หมวด ต่างพัฒนาได้ไกลยิ่งขึ้น ดวงวิญญาณอื่นยังต้องให้ถึงระดับราชัน
แหล่งวิญญาณที่ผู้เฒ่าหลีรู้มีแค่อันเดียว จะเจอแหล่งวิญญาณอันต่อไปเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ความสามารถของชู่มู่จะเติบโตช้าลงมาก!
ชู่มู่กับเด็กสาวทรยศสัญญากันจะตัดสินชะตาหกปีหลังจากนี้ หกปีนี้ชู่มู่ต้องพยายามให้ถึงราชันขั้นสูงให้ได้ มิฉะนั้นจะให้ผู้หญิงคนนั้นตกเป็นทาสได้อย่างไร แหล่งวิญญาณในครั้งนี้ต้องเอามาให้ได้
…
คนของตระกูลชู่กำลังคิดเรื่องที่ประตูเมืองหลัวจะเข้าบงการ ชู่มู่เองก็คิดอยู่เหมือนกัน จะจัดการเจ้าพวกประตูเมืองหลัวได้อย่างไร
การประชุมนี้เงียบขรึมมาก ชู่เทียนเหิงเองก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว สุดท้ายยังคงพูดขึ้นว่า
“ชู่มู่ ครั้งนี้ตระกูลยังต้องพึ่งพาเจ้า”
“อืม พวกเราอยู่เฉยๆ ก่อน รอดูสถานการณ์ก่อนเถอะ” ชู่มู่บอก
…
ในเมื่อมีผู้แข็งแกร่งไม่น้อยปรากฏตัวในเมืองเจ็ดสี ปัญหาภัยแร้งย่อมไม่ใช่ปัญหาหลัก
และแล้ว เรื่องที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงได้เกิดขึ้นแล้ว!
…
ตอนเช้าตรู่ เหล่าลูกหลานที่เฝ้าสำรวจตอนกลางคืนไร้ข่าวสารใดๆ หมด ถ้าไม่ได้เป็นเพราะชู่เทียนเหิงให้ลูกหลานพวกนี้รายงานทุกช่วงเวลาหนึ่ง ชู่เทียนเหิงคงไม่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ได้
โดยหลักแล้วภัยแร้งมาจากด้านทิศใต้ ถ้าลูกหลานทางทิศใต้หายไปหมด ผู้คนจะเดาได้ว่ากลุ่มเสือของกองทัพชนเผ่าขั้นหนึ่งได้เข้ามาแล้ว แต่ทิศทางอีกทั้งสามกลับไม่มีข่าวสารด้วย นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว!
ในวันนี้ ไม่มีการรายงานจากทั้งสี่ด้าน กองทัพจักรพรรดิของชนเผ่าขั้นหนึ่งได้พากองทัพที่เหลือทั้งหมดปรากฏตัวออกมาแล้ว!
การปรากฏของภัยแร้ง ทำให้คนทั้งหมดจดจ่ออยู่กับการปกป้องเมืองเจ็ดสีทันที
ไม่ว่าจะเป็นประตูเมืองหลัว หรือจะเป็นพลังของซุนหยวน ถ้าพวกเขาคิดจะครอบครองแหล่งวิญญาณละก็ จำต้องมีเมืองเจ็ดสีเป็นฐาน ดังนั้น เวลาจะปกป้องเมืองเจ็ดสี พวกเขาจะไม่รอช้าแน่นอน
ความจริงอำนาจของซุนหยวนมาจากองค์กรการค้า ตอนที่กองทัพจักรพรรดิมาถึง องค์กรการค้าให้ชายที่ชื่อซุนพันออกมาควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดคนเดียว
ส่วนคนของประตูเมืองหลัว แม้จะลงมือ แต่หลังจากจัดการกองทัพจักรพรรดิทั้งหมดแล้ว ยังทำท่าทีสบายมาก ท่าทางจะซ่อนความสามารถเอาไว้จริงๆ มิน่าเวลาที่เผชิญหน้ากับกองทัพระดับผู้นำ พวกเขาไม่อยากจะลดตัวลงมือด้วยซ้ำ
หลังจากจัดการภัยแร้งขั้นเก้า เหล่าคนของเมืองเจ็ดสีต่างสบายใจมาก คืนนั้น ชาวบ้านที่ยังอยู่ในเมืองเจ็ดสีนับหมื่นคนดีใจอย่างมาก
ชาวบ้านพวกนี้อาศัยอยู่ในเมืองเจ็ดสีมาตลอด พวกเขาไม่มีที่ไปจริงๆ ได้ข่าวว่า ตระกูลชู่จะเฝ้าอยู่ที่นี่ จึงอยู่ที่นี่ต่อเพราะเชื่อใจตระกูลชู่ ตอนนี้จัดการปัญหาภัยแร้งแล้ว คนพวกนี้ยิ่งคุ้มกันตระกูลชู่มากขึ้น
ปัญหาภัยแร้งจัดการได้แล้ว และแล้ว คนของตระกูลชู่กลับผ่อนคลายไม่ได้
เพราะคนของตระกูลชู่สังเกตเห็นแล้ว ทั้งเมืองเจ็ดสีนี้เหมือนถูกปิดกั้นเอาไว้!
ตระกูลชู่ได้ส่งคนไปกระจายข่าวด้านนอก แต่คนพวกนี้เมื่อออกไปแล้ว กลับหายไปหมด และไม่มีใครกลับเข้ามาในเมืองเจ็ดสีอีก ต่อให้เป็นด้านเหนือของภัยแร้งก็ตาม…
…
หลังจากจบภัยแร้ง เมืองเจ็ดสีสงบได้สามสี่วัน แต่กลับถูกกลิ่นไอแห่งความตายบางอย่างปกคลุมเอาไว้
…
“หัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าเจิ้งหนานกลับมาแล้ว” ชู่ซือรายงานในห้องโถงตระกูลชู่
“เป็นอย่างไรบ้าง” ชู่เทียนเหิงรีบถามขึ้น
เจิ้งหนานคือ หัวหน้าที่ตระกูลชู่ใช้เงินว่าจ้างมา พวกเขาไม่เป็นประโยชน์ต่อภัยแร้งในตอนหลังเท่าไร หลังจากจบภัยแร้ง พวกเขารับเงินแล้วจึงจากไปทันที
ชู่เทียนเหิงพบว่าบรรยากาศรอบๆ เมืองเจ็ดสีไม่ปกติอย่างมาก บอกกับเจิ้งหนานว่า อย่าออกไปจะดีกว่า เจิ้งหนานรู้สึกว่ากองทัพรับจ้างของตัวเองใหญ่โตขนาดนี้ ต่อให้มีสิ่งประหลาดอยู่ใกล้เมืองเจ็ดสี ก็น่าจะหยุดพวกเขาไม่ได้ ดังนั้น จึงเลือกที่จะจากไป
และแล้ว เจิ้งหนานที่จากไปกลับมาแล้ว นี่แปลว่า มีบางเรื่องเกิดขึ้นแล้ว !
“ตอนนี้เขาสลบยังไม่ฟื้น หัวหน้าหลายคนที่กลับมาพร้อมกับเขา ล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัสหมด ส่วนทหารรับจ้างคนอื่น ไม่ได้กลับมา ไม่รู้ว่าออกไปแล้ว หรือว่า…” ชู่ซือไม่กล้าพูดต่อแล้ว
…
ด้านเหนือของเมือง อสูรนิมิตงดงามวิ่งทะลุไประหว่างเนินเขาที่อ้างว้าง
คนที่ขี่สิ่งมีชีวิตงดงามนี้คือวัยหนุ่มชุดดำคนหนึ่ง ใบหน้าของเขาเยือกเย็น สายตาแน่วแน่ ระหว่างคิ้วยังเผยให้เห็นความเยือกเย็นออกมา
คนนี้คือชู่มู่ ก่อนหน้านี้ไม่นาน ชู่มู่ได้เข้าไปในพื้นที่ของชนเผ่าขั้นหนึ่งลำพัง
พื้นที่ของชนเผ่าขั้นหนึ่งชุลมุนอย่างมาก ชู่มู่ไม่กล้าเข้าไปในนั้นทันที หลังจากสังเกตการณ์แล้วถอยกลับเมืองเจ็ดสีทันที
และแล้วพอกลับถึงเมืองเจ็ดสี กองทัพรับจ้างหายไปแล้ว ชู่มู่รีบมุ่งหน้าไปทางเหนือเพื่อตรวจดู
หลังจากผ่านเนินเขา อสูรสายฟ้านิมิตราตรีกระโดดขึ้นเนินเขาที่สูงที่สุด มองไปยังเนินเขาด้านล่าง…
ระหว่างเนินเขา เห็นสิ่งที่มีสีแดงสดกำลังไหลลง ส่วนบริเวณด้านหน้าของเนินเขา สิ่งที่เป็นสีขาวบางอย่างกระจายตัวอยู่ระหว่างภูเขา
สีแดงสดที่ไหลไปตามเนินเขาเหมือนแม่น้ำสายเล็กๆ นั้นคือเลือด ส่วนสีขาวนั้น กำลังแทะกินศพทั้งหลาย!
ไม่ต้องเดาก็รู้ เนินเขานั้นคือ หลุมศพของทหารรับจ้างนับพันคน!
“ผู้เฒ่าหลี เมืองเจ็ดสียังมีสิ่งประหลาดอะไรอีก” ชู่มู่พูดเสียงเบา
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ แต่เรื่องนี้เหมือนจะไม่ปกติแล้ว”ผู้เฒ่าหลีบอก
ด้วยความสามารถของชู่มู่ ออกจากเมืองเจ็ดสีได้ไม่ยาก แต่ว่าชู่มู่ไม่กล้าออกไปไกล เพราะเขารู้สึกว่ารอบๆ ทั้งเมืองเจ็ดสีนี้มีสิ่งมีชีวิตอันตรายเหล่านั้นรายล้อมอยู่ ถ้าชู่มู่จากไปไกล หากบางทิศเกิดระเบิดออกมา คนทั้งเมืองเจ็ดสีจะตายลงแน่นอน รวมถึงคนของตระกูลชู่ด้วย!
“หึ กล้าไม่เบา มาที่นี่ได้” ทันใดนั้น ร่ายวิญญาณอันหนึ่งดังขึ้นจากเนินเขาอีกลูกหนึ่งกะทันหัน
ชู่มู่กวาดตามองไปที่เนินเขานั้น เห็นผู้คุมดวงวิญญาณที่ขี่อสูรเขาคนหนึ่ง
ชู่มู่เคยเห็นคนนี้มาก่อน คือซุนพันที่เคยลงมือในภัยแร้งจักรพรรดิก่อนหน้านี้
ชู่มู่ไม่ได้ลงมือระหว่างภัยแร้งจักรพรรดิ ประตูเมืองหลัวกับพลังของซุนหยวนจัดการได้เหลือเฟือ ชู่มู่เองก็แค่อยากให้ปีศาจนักรบไม้ฝึกต่อ
“เจ้าไปทางตะวันออกไม่ใช่เหรอ” ชู่มู่ตอบกลับ
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” ซุนพันตอบอย่างไม่รีบร้อน
ซุนพันไปสำรวจทางตะวันออกจริงๆ แต่ว่า…
แต่ว่าผู้แข็งแกร่งซ่อนความสามารถคนนี้กลับเจอกับการล้อมของฝูง!
ซุนพันอยากพุ่งออกไปด้วยความสามารถของตัวเอง เพื่อติดต่อกับโลกภายนอก และแล้วความสามารถของสิ่งมีชีวิตฝูงนั้นเกินกว่าที่ซุนพันคิดเอาไว้ ซุนพันเองก็เกือบออกจากกองทัพพวกนั้นไม่ได้
ด้วยสภาพที่บังคับ ซุนพันหนีไปทางตะวันตกเฉียงเหนือตลอด จนถึงด้านเหนือของเมือง ถึงสลัดปีศาจพวกนั้นได้
ซันพันเองก็เป็นคนที่ถือศักดิ์ศรีตัวเอง เขาคงไม่อยากพูดกับวัยหนุ่มคนหนึ่งว่า ตัวเองหนีจากด้านตะวันออกมาที่นี่
“ด้านตะวันออกเป็นอย่างไรบ้าง” ชู่มู่ฉลาดมาก หลังจากสังเกตอสูรเขาแล้ว พอเดาได้
“ไม่ดีเท่าไร พูดได้ว่าเมืองเจ็ดสีถูกล้อมเอาไว้แล้ว” ซุนพันเคยเห็นปีศาจนักรบไม้ของชู่มู่แล้ว ตอนนี้เห็นชู่มู่ขี่จักรพรรดิขั้นสูงอีกตัว เดาว่าชู่มู่น่าจะนับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งวัยหนุ่มขั้นหนึ่งในเมืองเทียนเซี่ย
ตอนที่พูดคุยกับซุนพันและชู่มู่ เขาได้ขี่อสูรเขาวิ่งไปยังตำแหน่งเนินเขาที่ชู่มู่อยู่แล้ว
เขามองไปยังเนินเขาที่เต็มไปด้วยเลือดสด หลังจากที่สติเลื่อนลอยสักพัก ถึงพูดขึ้นว่า “ความสามารถของเจ้าก็ไม่เบา น่าจะเดาสถานการณ์ในตอนนี้ได้แล้ว”
“อืม กลุ่มขั้นสิบเป็นอย่างต่ำ อีกทั้งอาจเป็นชนเผ่าขั้นหนึ่งอันหนึ่ง ไม่ว่าพวกเจ้าหรือคนของประตูเมืองหลัว ยากที่จะออกจากที่นี่ได้” ชู่มู่บอก
“เจ้ารู้ก็ดี” ซุนพันพยักหน้า พูดต่อว่า “พวกเรามาจากองค์กรการค้า ครั้งนี้พวกข้าได้ยินว่า ซุนหยวนตระกูลเจ้าอยู่ที่นี่ เดิมมาเพื่อจัดการเรื่องของตระกูลพวกเจ้า แต่กลับเจอเรื่องแบบนี้ ถูกขังไว้ที่นี้ แม้ข้าไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร ทำไมไม่รีบโจมตีเมือง แต่ถ้าอยู่ที่นี่ต่อจะตายแน่นอน”
“ข้ารู้ เจ้าอยากพูดอะไร พูดออกมาเถอะ” ชู่มู่รู้ว่า ประโยคนี้ของซุนพันปลอมอยู่ พวกเขามาจากองค์กรการค้า โดยหลักก็เพื่อแหล่งวิญญาณนั้น
“คนของประตูเมืองหลัวจะสนใจพวกเขาเองแน่นอน จะทะลายบางทิศเพื่ออกจากที่นี่ ความสามารถของเจ้าก็ไม่เบา อีกทั้งยังอายุน้อยขนาดนี้ ไม่จำต้องตายที่นี่พร้อมกับตระกูลเล็กๆ เจ้าเข้าร่วมกับพวกข้าได้ ทะลายอีกทาง ออกจากที่นี่พร้อมกัน” ซุนพันบอก