Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 25

ตอนที่ 25

*ตู้มมมมมมมมมมม!!!!!!*

เมื่อสัมผัสกับหัวของกิ้งก่า ตัวลูกศรก็จะระเบิดกึกก้องไปทั่ว โคโบลด์ที่อยู่ใกล้เคียงถูกแรงกระแทกจนล้มระเนระนาดในขณะที่กิ้งก่าสองตัวที่เหลือก็คำรามออกมา

วาห์นใช้โอกาสนี้ลงมือต่อทันที เขายิงลูกศรหัวระเบิดไปยังกิ้งก่าตัวที่เหลือและโคโบลด์กลุ่มอื่นๆ

เนื่องจากค่าพลังเวทที่เพิ่มขึ้นของเขา คันธนูและลูกศรจึงถูกชาร์จจนเต็มอย่างรวดเร็วตั้งแต่ตอนที่เขาง้างสายออกไปแล้ว

วาห์นปล่อยลูกศรเวทมนตร์ออกไปให้มากที่สุดก่อนที่พวกมอนสเตอร์จะเข้าใกล้

เมื่อโคโบลด์ตัวที่ใกล้ที่สุดเข้ามาในเขตแดนของเขา วาห์นก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาด ดูเหมือนว่าการรับรู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อใช้คันธนู เขาสามารถติดตามมอนสเตอร์ทุกตัวในเขตแดนได้อย่างง่ายดาย และยังสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของพวกมันออกด้วย

แทนที่จะเปลี่ยนกลับไปเป็นดาบ วาห์นตัดสินใจใช้โอกาสนี้เพื่อทดสอบพลังของ [จิตแห่งราชัน] ที่มีต่อการโจมตีระยะไกล เขายังไม่ได้สู้กับอะไรเลยตั้งแต่ที่ค่าสถานะเพิ่มขึ้นและพบว่าสถานการณ์ในตอนนี้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้ทดสอบฝีมือ

รูปแบบการใช้คันธนูแบบเดิมของเขานั้นอาศัยการเพิ่มระยะห่างระหว่างเขากับคู่ต่อสู้ ตอนนี้เขากำลังใช้ประสบการณ์จากการใช้ดาบเพื่อพัฒนารูปแบบการต่อสู้นี้ใหม่ แทนที่จะถอยออกไป วาห์นใช้ฟุตเวิร์คเพื่อหลบหลีกการโจมตีของโคโบลด์แทน ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกมันพยายามปรับตำแหน่งของตัวเอง วาห์นก็ยิงธนูใส่พวกมันทันที

เมื่อโคโบลด์ตัวหนึ่งพยายามอ้อมไปด้านข้างและโจมตีส่วนหลังของเขา วาห์นก็สกัดมันด้วยคันธนูโดยใช้ประสาทสัมผัสเพิ่มเติมที่ได้จาก [จิตแห่งราชัน] เขาประหลาดใจเมื่อเห็นตอนที่คันธนูปะทะเข้ากับคอของโคโบลด์ ดูเหมือนร่างกายของมันจะบิดงอตรงจุดปะทะก่อนที่จะกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร

ตอนนี้วาห์นรู้แล้วว่าค่าพละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นจนคล้ายกับยอดมนุษย์เมื่อเทียบกับตัวเองก่อนหน้านี้

ผ่านไปประมาณสามนาที วาห์นก็จัดการกับฝูงโคโบลด์ทั้งหมดลงได้ เขามองไปยังตำแหน่งที่ดันเจี้ยนลิซาร์ดเคยยืนอยู่และพบคริสตัลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย หลังจากวิเคราะห์คริสตัลผ่านระบบ เขาสามารถระบุได้ว่าค่า OP ของพวกมันคือ 23, 24 และ 27 ตามลำดับ

แม้นี่อาจเป็นตัวบอกว่าพวกมันแข็งแกร่งกว่าโคโบลด์เพียงเล็กน้อย แต่วาห์นรู้ว่าขนาดของคริสตัลไม่ใช่ตัวกำหนดความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์เสมอไป

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว วาห์นก็มองไปที่ธนู ตอนแรกเขาคิดว่ามันคงไม่ค่อยมีประโยชน์ในการสำรวจดันเจี้ยนเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าศักยภาพในการต่อสู้ของมันนั้นค่อนข้างดีแม้จะอยู่ในระยะใกล้ก็ตาม

ดูเหมือนจะมีการทำงานร่วมกันระหว่างสกิล [ความเชี่ยวชาญด้านธนู] และ [จิตแห่งราชัน]

[ความเชี่ยวชาญด้านธนู] ตอนนี้เพิ่มขึ้นถึงระดับ D (จาก F) และช่วยเสริมการมองเห็นให้เขาเป็นอย่างมาก เมื่อรวมกับการรับรู้ที่เพิ่มขึ้นจาก [จิตแห่งราชัน] ทำให้เขาสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์ภายในเขตแดนได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

เมื่อมองไปยังเหล่าอุโมงค์ที่อยู่ตรงหน้า เขาก็เปลี่ยนเอาคันธนูไปไว้ในช่องสวมใส่ที่สองและนำดาบออกมา

ธนูนั้นใช้ได้ดีในที่โล่ง แต่เขาก็ยังชอบใช้ดาบสำหรับการต่อสู้ในตอนนี้ ความกว้างของตัวดาบทำให้เขาจัดการกับมอนสเตอร์หลายตัวได้ในครั้งเดียวหากพวกมันอยู่ใกล้กัน และเขาก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการทำให้บริเวณที่เขาสู้อยู่ถล่มลงมาหากยิงธนูพลาด นอกจากนี้เขายังอยากพัฒนาการต่อสู้ด้วยธนูจากการฝึกใช้ฟุตเวิร์คในระหว่างที่ใช้ดาบให้ดียิ่งกว่าเดิม

วาห์นเดินไปที่อุโมงค์แบบสุ่มๆ และเริ่มไปต่อโดยทิ้งห้องขนาดใหญ่ไว้ด้านหลัง

ในระหว่างทาง เขายังคงสังหารโคโบลด์กลุ่มเล็กๆ เป็นจำนวนมาก แม้ว่าพวกมันจะถูกจัดการอย่างง่ายดาย แต่เพราะประสบการณ์เฉียดตายเมื่อวันก่อนทำให้เขาระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เขาลองใช้วิธีการต่อสู้แบบต่างๆ โดยผสมเพลงหมัดและการเตะเข้าไปด้วย

เขารู้สึกประหลาดใจเมื่อกำปั้นสัมผัสกับโคโบลด์ที่หลบการโจมตีจากดาบของเขาได้

มันพยายามใช้โอกาสในขณะที่วาห์นเพิ่งแกว่งดาบออกไปเพื่อกระโดดพร้อมชูกรงเล็บหน้าไปที่ลำคอของเขา เขาปล่อยมือซ้ายที่กำลังจับดาบและบิดตัวเพื่อตอบโต้โคโบลด์ด้วยหลังกำปั้น

เมื่อสัมผัสถูกมัน เขาก็รู้สึกได้ว่ากะโหลกศีรษะของโคโบลด์นั้นยุบลงไปภายใต้แรงกระแทกและสลายกลายเป็นผุยผงก่อนที่มันจะกระเด็นไปโดนกำแพงใกล้เคียง

เพราะนั่นเป็นโคโบลด์ตัวสุดท้ายของกลุ่ม วาห์นจึงจ้องไปที่มือของตัวเอง เขาไม่คิดว่าผลลัพธ์ที่ปล่อยหมัดออกไป… จะรุนแรงแบบนี้ วาห์นอดสั่นไม่ได้เมื่อนึกถึงความรู้สึกตอนที่กระดูกปะทะเข้ากับกำปั้นของเขา เขาส่ายหัวเพื่อพยายามเอาภาพนั้นออกและเดินทางต่อไป

ใช้เวลาประมาณ 40 นาที วาห์นก็พบบันไดที่จะพาไปสู่ชั้นถัดไป แม้เขาจะไม่รู้สึกเหนื่อยแบบตอนจบชั้นที่สอง แต่เขาก็ใช้โอกาสนี้เพื่อพักผ่อนภายในทางเดินอันปลอดภัย กำแพงดันเจี้ยนที่ป้องกันไม่ให้เขาลงไปชั้นที่ยังไปไม่ถึงนั้น เป็นตัวขัดขวางไม่ให้มอนสเตอร์ขึ้นมาชั้นบนได้เช่นกัน

มอนสเตอร์ส่วนใหญ่นั้นจะติดอยู่ในชั้นที่พวกมันเกิดเว้นแต่ว่าพวกมันจะสามารถจะทะลุม่านพลังนี้ขึ้นมาได้

(“อยากมีโอกาสสู้กับดันเจี้ยนลิซาร์ดด้วยดาบจังเลย ถ้าจำไม่ผิด พวกมันมีคุณสมบัติต่อต้านการโจมตีทางกายภาพได้ ดังนั้นเราเองก็อยากจะรู้ว่าพวกมันกับดาบนี่อะไรจะทนทานกว่ากัน…”)

วาห์นมองดูตัวดาบที่สงบนิ่งอยู่ในมือ ความยาว 130 ซม. ของมันดูโดดเด่นมากเมื่อถูกถือโดยคนที่สูงแค่ 150 ซม. แบบเขา จากมุมมองของผู้อื่น อาจดูเหมือนกับเด็กที่เอาดาบของผู้ใหญ่มาแกว่งเล่นไปรอบๆ…

วาห์นรู้สึกเขินเล็กน้อยกับความคิดที่แวบเข้ามาในหัวและหันไปตรวจสอบดาบต่อ

สิ่งที่เขาคิดว่าน่าสนใจที่สุดคือมันไม่มีทั้งกระบังมือหรือการตกแต่งอื่นๆ เลย สำหรับดาบที่มีคำอธิบายว่ามันถูก ‘ตีขึ้นใหม่ในจำนวนที่นับไม่ถ้วน’ มันดูค่อนข้างธรรมดามาก แม้แต่ตัวใบดาบก็ไม่ได้มีการขัดเงาให้เป็นสีเงินแบบดาบทั่วไป ในความเป็นจริง นอกจากอักษรรูนที่กำลังส่องแสงอยู่ ทุกส่วนของตัวดาบนั้นมีสีดำและเมื่อถูกแสงแล้วจะเกิดการสะท้อนแบบแปลกๆ

ในขณะที่เขายังคงสังเกตตัวดาบโดยใช้ไฟที่ส่องสว่างจากผนังของดันเจี้ยน เขาก็พบรอยสลักบางอย่างที่อยู่ใกล้ตัวด้ามจับ มันดูเหมือนงูมีปีกสองตัวที่เลื้อยเข้าหากัน หลังจากสอบถามพี่สาวว่ารอยสลักนี้หมายความว่ายังไง เขาก็ได้คำตอบว่าอาจเป็นเครื่องหมายของผู้ที่สร้างมันขึ้นมา หากไม่ทราบชื่อและพื้นเพของช่างตีเหล็ก คงเป็นไปไม่ได้ที่จะตีความความหมายของมัน

เมื่อได้พักจนพอใจแล้ว วาห์นก็เดินต่อไปยังชั้นที่สี่ มันมีทั้งผนังสีฟ้าที่ส่องแสงและพื้นสีเขียวแปลกๆ คล้ายกับสามชั้นก่อนหน้า นอกจากนี้มอนสเตอร์ที่ออกมาคือโคโบลด์ ก็อบลิน และดันเจี้ยนลิซาร์ด สิ่งที่แตกต่างไปจากชั้นก่อนๆ ก็คือจำนวนของดันเจี้ยนลิซาร์ดที่มีอยู่มากมายในชั้นที่สี่และในที่สุดวาห์นก็มีโอกาสได้ใช้ดาบเพื่อสู้กับพวกมัน

แม้ว่าดาบจะถูกชาร์จด้วยเวทมนต์แบบเต็มที่ แต่วาห์นก็พบว่าผิวของกิ้งก่ามีการต่อต้านเล็กน้อยก่อนที่เขาจะตัดผ่านมันไปได้ เขาคิดว่าน่าจะเกิดจากการที่มีเวทมนตร์ไหลผ่านภายในร่างกายของมอนสเตอร์ เมื่อพวกมันแข็งแกร่งขึ้นก็จะสามารถต้านทานต่อการโจมตีได้มากขึ้นตามไปด้วย

เนื่องจากดันเจี้ยนลิซาร์ดสามารถต้านทานได้ทั้งการโจมตีโจมตีแบบกายภาพและเวทมนตร์ พวกมันจึงถูกฟันเข้าได้ยากกว่ามอนสเตอร์ชนิดอื่นแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะตอนนี้วาห์นยังสามารถผ่าครึ่งมันตั้งแต่หัวจรดเท้าได้อยู่เลย

ชั้นที่สี่นั้นใหญ่กว่าสามชั้นก่อนมาก เขาต้องใช้เวลาถึงห้าชั่วโมงกว่าจะพบทางลงไปต่อ เขาต้องเดินย้อนกลับหลายครั้งเนื่องจากรูปแบบที่ซับซ้อนของดันเจี้ยน โชคยังดีที่เขาไม่มีทางหลงทางเนื่องจากมีระบบแผนที่ย่อคอยช่วย เขาหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะพบกับทางตันแบบเดิมๆ ไปไม่รู้กี่ครั้ง

หลังจากมาถึงบันได วาห์นก็ตัดสินใจกลับขึ้นไปข้างบนและจบงานของวันนี้ ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงบ่ายสามแล้วและเขาอยากแลกเปลี่ยนคริสตัลกับทางกิลด์ให้เป็นวาลิสก่อนจะแวะไปที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพียบพร้อม’

เขาพอใจกับการเติบโตของตัวเองมากและตัดสินใจที่จะตรวจสอบค่าสถานะในขณะที่กำลังขึ้นบันได

==========================================================

ชื่อ: วาห์น เมสัน

อายุ: 14

เผ่าพันธุ์: มนุษย์, *ถูกผนึก*

ค่าสถานะ: ดันมาจิ

-เลเวล:1[+](0)

-พละกำลัง: A893 -> S909

-ความอดทน: B714 -> B740

-ความแม่นยำ: B799 -> A833

-ความว่องไว: A811 -> A889

-พลังเวท: SSS1124 -> SSS1493

-ค่าสถานะรวมทั้งหมด: 4864

ความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณ: ดวงวิญญาณระดับ 2 (วิญญาณวีรชน)

กรรม:721

==========================================================

ค่าสถานะของเขาใกล้จะถึงระดับ S เกือบหมดแล้ว และเขาก็แปลกใจมากที่ค่าพลังเวทเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้ภายในเวลาเพียงครึ่งวัน

ดูเหมือนว่าการใช้ [จิตแห่งราชัน] จะช่วยให้ค่าพลังเวทเติบโตขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อและวาห์นเริ่มคิดที่จะใช้ OP บางส่วนเพื่อซื้อเวทมนตร์จากระบบร้านค้า…
—————

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท