ลิลลี่เริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายภายใต้สายตาที่จ้องมองของหญิงสาวตรงหน้าเธอ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมสายนั่นทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นได้ขนาดนี้ มันเป็นอะไรที่มากกว่าความกลัวว่าเธออาจสูญเสียวาห์นให้กับหญิงสาวคนนี้ไป… แต่เธอก็ไม่อาจเข้าใจมันได้ ลิลลี่พอมองออกว่ามันคือสายตาที่ดูคุ้นเคย แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเคยเห็นสายตาแบบนี้ที่ไหนหรือเมื่อไหร่
“เนียะฮะฮะฮ่า~ เพื่อนของนายนี่น่ารักไม่เบาเลยนะวาห์น ~? แบบนี้ต้องแนะนำให้ฉันรู้จักแล้วล่ะ~” เมื่อโคลอี้พาทั้งสองไปที่โต๊ะเล็กๆ เธอก็มองวาห์นด้วยสีหน้าเชิงอยากรู้ ราวกับว่าดวงตานั่นกำลังกระตุ้นให้เขาอธิบายอย่างละเอียดว่าไปเจอเด็กสาวคนนี้ยังไง
วาห์นสังเกตว่าโคลอี้กำลังทำตัวคล้ายกับครั้งแรกที่เขาได้เจอกับเธอ เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ดูเหมือนโคลอี้จะอ่อนไหวเป็นพิเศษกับคนที่มีอดีตเลวร้าย เขายิ้มให้กับความเป็นห่วงและความเต็มใจที่เธอแสดงออกมาในการให้ตัวเลือกว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อดี
“ได้สิ… เธอชื่อลิลลี่ ไม่ขอลงรายละเอียดเยอะก็แล้วกันนะแต่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยให้เธอแข็งแกร่งขึ้น”
ในขณะที่เขาแนะนำตัวเธอ ลิลลี่ก็ก้มหัวลงเล็กน้อยแต่ยังไม่มีท่าทีผ่อนคลายเพราะโคลอี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดมาก
“แล้วนี่คือโคลอี้… เธอคือคนที่ช่วยให้ฉันตระหนักเรื่อง… หลายๆ อย่าง” เมื่อได้พูดออกมา เขาก็ได้แต่เผยรอยยิ้มขอบคุณ
ทั้งสองสาวต่างเห็นสีหน้าของเขาชัดเจน ลิลลี่ค่อนข้างไม่พอใจเนื่องจากรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบตั้งแต่แรก โคลอี้ยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะที่เข้ามาใกล้วาห์น… และหอมแก้มของเขา
หลังจากนั้นเธอก็รับออเดอร์ของทั้งสอง แม้ว่ามันจะถูกต้องกว่าถ้าบอกว่าเป็นออเดอร์ ‘ของวาห์นคนเดียว’ เพราะวาห์นเป็นคนสั่งทุกอย่างเอง พอลิลลี่เห็นโคลอี้หอมแก้มของเขา เธอก็เริ่มงอนหนักและเอาแต่ก้มหน้าโดยไม่ยอมพูดหรือมองหน้าใครเลย
โคลอี้ไม่ได้อยู่พูดอะไรต่อ เธอเดินไปที่ครัวเพื่อแจ้งให้พ่อครัวทราบก่อนจะออกมาบริการให้กับลูกค้ารายอื่นต่อ
ลิลลี่เงยหน้าขึ้นหลังจากที่โคลอี้เดินออกไป เธอมองตามโคลอี้ไปเรื่อยๆ ก่อนจะหันไปหาวาห์นเมื่อเห็นว่าโคลอี้อยู่ไกลมากพอแล้ว
“วาห์น ช่วยบอกเรื่องของนายกับเธอคนนั้นหน่อยได้ไหม ฉันพอมองว่าพวกนายสองคนเป็นมากกว่าเพื่อนแต่ก็ยังไม่ใช่คู่รัก”
วาห์นส่ายหัวของเขา เขาเองก็จะไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์นี้มันคืออะไร… เขารู้แต่ว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณโคลอี้เป็นอย่างมาก และถึงขั้นเคยจะสารภาพรักกับเธอในอดีต
“ฉันบอกได้ว่า… เธอเป็นเหมือนที่ปรึกษาหรือไม่ก็ผู้ชี้แนะล่ะมั้ง? มันเป็นอะไรที่อธิบายได้ยากมากเลยนะ… แต่เธอเคยช่วยฉันจากการปิดกั้นตัวเองและทำให้ฉันได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ฉันต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อตอบรับความคาดหวังของเธอ… แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะลงเอยด้วยการเป็นคู่รักหรือเปล่า”
“แต่นายจะไม่น่าจะยอมให้ใครมาหอมง่ายๆ นี่… ฉันเห็นชัดเลยนะว่านายดูมีความสุขมากตอนที่เธอหอม” เธอยังคงจ้องเขาต่อไปราวกับจะโทษวาห์นที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนี้
วาห์นพยักหน้าและตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องอดีตของเขาให้ลิลลี่รู้ เขาบอกเธอเรื่องการพบกันครั้งแรกของพวกเขา และเรื่องความกลัวที่เกิดจากสายตาของโคลอี้ เขาแทบเป็นบ้าตอนที่เธอพยายามทำลายกำแพงที่เขาสร้างขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็พูดคุยเรื่องที่ตกลงกันว่าจะไปเดตหลังพบกันเป็นครั้งที่สอง เขาเล่าหมดทุกอย่างตั้งแต่การที่ทั้งคู่ไปจุดนัดพบก่อนเวลา… ประสบการณ์ที่ร้านขายเสื้อผ้า… และยังพูดถึงตอนที่ดูดวงอาทิตย์ตกดินด้วยกัน สุดท้ายเขาก็พูดเรื่องที่พยายามสารภาพแต่ก็ถูกหยุดเอาไว้เสียก่อน
ตลอดทั้งเรื่อง ลิลลี่ได้แต่ฟังอย่างเงียบๆ เธอเฝ้ามองขณะที่สีหน้าของวาห์นเปลี่ยนไปในแต่ละฉาก และสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังคำพูดเหล่านั้น หัวใจของเธอเริ่มเจ็บปวดเมื่อได้นยินวาห์นพูดถึง ‘การเปลี่ยนแปลง’ ของเขา แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่เธอก็พอจะจินตนาการถึงเหตุการณ์ทั้งหมดได้… และเริ่มตระหนักว่าเธอไม่ได้สนใจชีวิตในปัจจุบันของวาห์นมากเท่าที่ควร…
ลิลลี่รู้สึกเหมือนตัวเองหดเล็กลงและไม่กล้ามองหน้าวาห์น เธอรู้ว่าได้ใช้ประโยชน์จากความเมตตาของเขาตั้งแต่ที่เขาช่วยเธอไว้ แม้เขาจะพยายามอย่างมากที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงเธอ แต่สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเธอก็คือการพยายามใกล้ชิดกับเขาให้มากขึ้น… แถมเธอยังคิดที่จะกันเขาออกจากคนอื่นที่พยายามทำแบบเดียวกันด้วย
ในขณะที่เธอหมกมุ่นอยู่ในความคิดของตัวเอง วาห์นก็ได้แต่ถอนหายใจเมื่อเห็นสภาพของเธอ เขาต้องการให้เธอรู้ความจริงเพื่อที่เธอจะเข้าใจว่าเขาไม่ใช่วีรบุรุษทรงพลังอย่างที่เธอคิดเอาไว้ ที่จริงแล้วเขาคล้ายกับเธอมาก… แต่แค่พยายามเปลี่ยนตัวเองมานานกว่าเธอเท่านั้นเอง
ทั้งสองนั่งอยู่เงียบๆ คนหนึ่งไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ส่วนอีกคนก็กำลังง่วนอยู่กับอดีต ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น โคลอี้ก็มาถึงพร้อมกับอาหาร
“เนียะฮะฮะฮ่า~ ข้าวแกงกะหรี่ไก่หนึ่งที่สำหรับวาห์น และชุดอาหารสำหรับเด็กแบบปรุงพิเศษหนึ่งที่สำหรับแมวสาวเจ้าอารมณ์นะ~เมี๊ยว!” โคลอี้วางอาหารลงบนโต๊ะและวาห์นพบว่าออเดอร์ของลิลลี่นั้นต่างไปจากที่เขาสั่งไว้
“เอ่อ โคลอี้-”
“ทานให้เต็มที่เลยนะ~เมี๊ยว! มันเต็มไปด้วยสารอาหารแถมยังมีของเล่นตัวเล็กๆ ให้เธอเก็บสะสมด้วย~ ไม่ต้องอายหรอกนะ~ เมี๊ยว!” โคลอี้ไม่สนใจวาห์นและยังคงยียวนลิลลี่ที่นั่งเงียบอยู่ต่อไป เธอขยับจานไปทางลิลลี่ช้าๆขณะที่เอนตัวเข้ามาใกล้
ในที่สุดลิลลี่ก็มองจานของตัวเองก่อนจะจ้องหญิงสาวที่ยังกวนประสาทเธอไม่เลิก
“นี่ไม่ใช่อาหารที่ฉันต้องการ… ฉันอยากได้สิ่งที่ท่านวาห์นสั่งให้ต่างหาก” เธอจ้องมองโคลอี้ตรงๆ ด้วยสีหน้าไม่พอใจ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมโคลอี้ถึงคอยกวนเธอทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดเจนว่าเธอไม่อยากจะเสวนาด้วย
“เมี๊ยว~? น่าสงสัยจริงๆ สาวน้อยที่ทำเป็นรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่กลับนั่งเฉยๆ แล้วปล่อยให้คนอื่นมาตัดสินใจแทน~ ไม่ว่าจะวาห์นหรือฉัน ใครเป็นคนเลือกให้ก็ไม่สำคัญเลยนี่ เธอไม่ได้มีความสุขเหรอที่มีคนพามาเลี้ยงข้าวน่ะ~เมี๊ยว?”
โคลอี้มองลิลลี่ด้วยสายตา ‘หยิ่งยโส’ โดยยังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้า เธอขยับจานมาตรงหน้าของลิลลี่ “เอาเลย~ ไม่ต้องเขินหรอก~”
วาห์นอยากจะร้องห้าม แต่เขารู้สึกถึงหางของโคลอี้ที่มาแตะขาทุกครั้งที่เขาพยายามเปิดปาก เขาตัดสินใจที่จะเชื่อเธอและเริ่มทานอาหารอย่างช้าๆ มันอร่อยมาก…
เมื่อเห็นวาห์นเริ่มทานโดยไม่พูดอะไรสักคำ ลิลลี่ก็รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง ตอนแรกเธอเห็นว่าเขาอยากจะพูด แต่แล้วก็ตัดสินใจเพิกเฉยแทน อารมณ์เชิงลบเริ่มคุกรุ่นในใจจนเธออยากระบายมันออกมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
“ท่านวาห์นคะ ได้โปรดบอกให้เพื่อนของท่านวาห์นเลิกตอแยฉันทีได้ไหมคะ ฉันไม่กินอะไรเลยยังจะดีกว่าให้เธอมาวุ่นวายด้วย” เธอไม่สนใจโคลอี้ที่ยกคิ้วขึ้นอย่างดูหมิ่นและพยายามขอให้วาห์นช่วยแทน
“เมี๊ยว~? อะไรกันๆ~ แค่เรื่องเล็กๆ ก็ยังต้องขอให้เขาช่วยเลยเหรอ~? วาห์นกลายเป็นผู้ดูแลของเธอไปแล้วหรือไง~” โคลอี้เริ่มหัวเราะขณะที่ประสานตากับลิลลี่ที่จ้องเธอเช่นกัน
เธอเริ่มเข้าใกล้วาห์นมากขึ้นขณะที่ยังจ้องกันอยู่แบบนั้น…
“วาห์น อ้ามมมมม~” เธออ้าปากขณะที่วาห์นกำลังตักอาหารขึ้นมา ดูเหมือนว่าเขาต้องทำใจเล็กน้อยก่อนที่จะป้อนมันให้กับเธอ ขณะที่เธอเคี้ยวอาหารรสเผ็ด เธอก็เกือบหลุดบทที่เล่นอยู่เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าๆ ของวาห์น
(TL: อันนี้ไม่ใช่ห่วงลิลลี่ละ อารมณ์ประมาณอยากกินคนเดียวล้วนๆ)
โชคยังดีที่ความโกรธของลิลลี่ทำให้เธอรักษามาดเอาไว้ได้
“ยัยแมวขโมย! ออกไปห่างๆ จากท่านวาห์นนะ!” ลิลลี่โกรธจริงจังมาก เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าโคลอี้จะกล้าแสดงความใกล้ชิดในที่สาธารณะขณะที่ยังกวนโมโหเธอไปด้วย! เธอลุกขึ้นจากโต๊ะและตะโกนเสียงดัง
มามามีอาเฝ้าสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากบาร์แต่ก็ไม่ได้เข้ามาห้ามเพราะโคลอี้บอกเธอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เธอแค่ส่งสายตาบอกโคลอี้ว่าควรคุมสถานการณ์ให้ดีกว่านี้ไม่งั้นเธอจะลงมาจัดการเอง
“แมวขโมยเหรอ~? เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าเขาป้อนให้ฉันเองเลยนะ~เมี๊ยว? แทนที่จะมาคอยดูว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมเธอถึงไม่ลงไปเศร้าต่อหรือไม่ก็ทานเมนูเด็กของเธอไปล่ะ~?” ตอนนี้โคลอี้เริ่มที่จะคลอเคลียวาห์นผู้ที่กำลังเหงื่อตก
ลิลลี่ไม่รู้จะทำยังไงต่อเมื่อเห็นว่าเสียงของเธอถูกเมินเฉย คนที่ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบคือลูกค้าคนอื่นๆ ในขณะที่ทั้งโคลอี้และวาห์นไม่รู้สึกอะไรเลย เธอเริ่มรู้สึกเสียใจอย่างหนัก… เธอรับไม่ได้ที่วาห์นเมินเธอ แล้วก็เริ่มรู้สึกเกลียดโคลอี้ที่ทำแบบนี้เมื่อเธอแค่อยากเพลิดเพลินไปกับการทานอาหารกับวาห์นเท่านั้นเอง…
เธอก้มลงนั่งและเริ่มร้องไห้ออกมา เธอไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ช่วยชีวิตเธอจะทำผิดต่อเธอได้ขนาดนี้ เขาเมินเธอในขณะที่ผู้หญิงอีกคนรังแกเธอต่อหน้าต่อตาเขา ถึงเธอจะหนีจากแฟมิเลียเพื่ออยู่กับเขา… ถึงเธอจะย้ายไปอยู่ที่โรงแรมเดียวกันและแสดงออกหลายครั้งว่าเธอชอบเขา…
ความคิดของเธอเริ่มผสมปนเปกันจนเธอนึกอะไรไม่ออกเลย เธอแค่รู้สึกเศร้ามาก มากกว่าตอนที่คู่สามีภรรยามองดูเธออย่างเหยียดหยามเสียอีก มากกว่าตอนที่เธอถูกพ่อแม่ทำร้ายเช่นกัน… การได้เห็นเด็กหนุ่มที่แสดงความเมตตามากมายให้ตอนนี้กลับเมินเฉยเธอแทน มั่งช่างเป็นอะไรที่น่าเศร้าและหดหู่ยิ่งกว่าเรื่องที่ผ่านๆ มารวมกันเสียอีก
ขณะที่ยังสะอื้นไม่หยุด เธอก็ได้ยินน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“เธอเป็นเด็กที่เห็นแก่ตัวมากเลยนะ รู้ตัวไหม?” ลิลลี่มองไปทางต้นเสียงและเห็นโคลอี้จ้องมองเธอด้วยสายตาเศร้าๆ และยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“เธอไม่รู้จักฉันมาก่อน ไม่รู้หรอกว่าฉันเคยเจออะไรมาบ้าง แม้ในที่สุดฉันก็พบบางสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว… แต่เธอก็พรากมันไปต่อหน้าต่อตาฉัน” ลิลลี่อดไม่ได้ที่จะโทษโคลอี้สำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถ้าโคลอี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ เธอกับวาห์นก็คงจะเพลิดเพลินกับมื้ออาหารอย่างมีความสุขจนเหมือนกับออกเดตอยู่เลย
โคลอี้ยังคงจ้องมองเธอขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นั่นเป็นเหตุผลที่เธอเห็นแก่ตัวไงล่ะลิลลี่… เธอคิดว่ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่เธอเคยคิดบ้างไหมว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด? เธอเคยคิดบ้างไหมว่าคนที่เธอ ‘ต้องการ’ คิดอย่างไร?”
ลิลลี่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างมากระทบจิตใจอย่างหนัก แม้คำพูดที่ได้ยินนั้นจะทำให้เจ็บปวดมาก แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธมันได้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้คิดถึงสิ่งที่วาห์นต้องการ แต่เธอแค่อยากอยู่เคียงข้างเขาเมื่อถึงเวลานั้นมาถึง แน่นอนว่ามันคงไม่มากเกินไปใช่ไหม? เธอจะมีความสุขบ้างไม่ได้เลยเหรอ?
“แล้วเธอก็คิดเองเออเองในหัวอีกแล้วนะ บอกฉันหน่อยสิลิลลี่ แน่นอนว่าวาห์นคงเล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับอดีตและความปรารถนาของเขาให้เธอฟังแล้ว… แต่เธอเคยถามเขาไหมว่าเขาต้องการอะไร? ทำไมเขาถึงอยากแข็งแกร่ง? หรือเธอแค่ฟังที่เขาพูดเสร็จแล้วก็ใส่ความต้องการของตัวเองลงในตอนท้าย?”
เมื่อได้ยินคำพูดอันหนักหน่วงนั่น ลิลลี่ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางวาห์น เธอเห็นความกังวลบนใบหน้าของเขา… เขาคงเป็นห่วงเธอแม้จะไม่ได้พูดอะไรก็ตาม แต่เบื้องหลังสีหน้าอ่อนโยนนั่น เธอยังมองเห็นเงาของความเจ็บปวดที่เธอสังเกตเห็นบนใบหน้าของเขาจากตอนที่อยู่ในดันเจี้ยน เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเสียสมาธิและปล่อยให้ความคิดล่องลอย ลิลลี่ก็มักจะเห็นความเศร้าโศกและความเหงาอันลึกซึ้งในสายตาของเด็กหนุ่ม ใช่แล้ว แม้เขาจะแก่กว่าเธอ แต่เขาก็ยังเด็กอยู่มาก…
ในระหว่างที่เธอนึกไตร่ตรอง โคลอี้ก็พูดต่อ
“เห็นไหมลิลลี่ ว่าเธอไม่ใช่คนเดียวที่ผ่านอะไรมามาก แม้เราอาจไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เธอเจอจะทำให้เธอเจ็บปวดแค่ไหน แต่ก็ยังมีคนอื่นๆ ที่เคยผ่านเรื่องที่คล้ายกันมาก่อนหรืออาจจะแย่กว่านั้นด้วย เธอเคยสงสัยไหมว่าทำไมวาห์นถึงช่วยคนแบบเธอ และฉันจะบอกเหตุผลให้เธอเอง…”
เมื่อได้ยินคำพูดของโคลอี้ ลิลลี่ก็มองมาที่เธออีกครั้ง เธอต้องการที่จะรู้คำตอบเพราะนั่นเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเธอมากพักหนึ่งแล้ว เธอจำได้ว่าวาห์นถึงกับเต็มใจเสียสละตัวเองเพื่อรับอาการบาดเจ็บของเธอแทน… เธออดคิดไม่ได้ว่าเขามีแรงจูงใจอื่น แต่หัวใจของเธออยากจะเชื่อในตัววีรบุรุษที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้…
“นั่นเป็นเพราะว่า… วาห์นเองก็ทนทุกข์ทรมานมาไม่น้อยเลยเช่นกัน ฉันแน่ใจว่าเขาคงเล่าให้เธอฟังไปเล็กน้อย แต่ฉันบอกได้ว่าสิ่งที่เขาเจอมา… อาจเป็นอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งที่เราพอจะจินตนาการได้” หญิงสาวทั้งสองมองไปที่วาห์นและเห็นแววตาเจ็บปวดในขณะที่โคลอี้พูดสิ่งที่เธอคิดออกมา
เป็นครั้งแรกที่ลิลลี่และโคลอี้คิดตรงกันว่าพวกเธอต้องการเยียวยาเด็กหนุ่มก็กำลังนั่งทานอาหารอย่างเงียบๆ
“แต่เธอเห็นใช่ไหม ว่าตอนนี้วาห์นดูสงบมาก แม้เขาจะยังไม่ละทิ้งอดีตไป แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อ ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นของเขาเกิดจากความเชื่อมั่นและความตั้งใจที่จะยึดและควบคุมชะตากรรมของตัวเอง…” เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ โคลอี้ก็พิงที่ไหล่ของวาห์นขณะหลับตาลง
“และเขาก็ทำได้แล้วด้วย เธอรู้ไหมว่าทำไม?” โคลอี้ลืมตาขึ้นเล็กน้อยขณะที่เธอถาม
ลิลลี่กลืนกินน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
“เป็นเพราะเขาต้องการให้คนอื่นเชื่อมั่นในตัวเขา เขาไม่เพียงแค่ต้องการแข็งแกร่งมากพอที่จะแค่หลบหนีชะตากรรมของตัวเอง แต่ยังต้องการเปลี่ยนชะตากรรมของคนรอบตัวด้วย เมื่อมาถึงตรงนี้ หญิงสาวทั้งสองคนก็เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจากเด็กหนุ่ม ภายใต้คิ้วที่ขมวดนั้นแฝงไปด้วยความเชื่อมั่นที่ทรงพลังมากเสียจนหัวใจของทั้งสองสาวถึงกับสั่นไหว
“เธอคิดว่าเขาจะต้องน้อมรับความเห็นแก่ตัวของเธอตลอดไปเลยงั้นเหรอ?” โคลอี้ทิ้งระเบิดลูกสุดท้ายลงบนลิลลี่ที่ตั้งตัวไม่ทัน
ลิลลี่เริ่มจดจำเหตุการณ์ทั้งหมดที่นำมาสู่ช่วงเวลานี้ ความทุกข์ทรมานทั้งหมดในอดีตของเธอที่ถูกหยุดยั้งด้วยสิ่งที่วาห์นทำลงไปในดันเจี้ยน… คำพูดและการกระทำทั้งหมดของเขาขณะที่พยายามนำทางเธอไปสู่เส้นทางแห่งความแข็งแกร่ง… แข็งแกร่งพอที่จะควบคุมได้แม้กระทั่งโชคชะตาของตัวเอง เธอยังจำเวลาที่เขาเอาอกเอาใจเธอเมื่อเธอรู้สึกไม่มั่นคงได้ดี และเวลาที่เขารักษาระยะห่างเมื่อเธอพยายามผลักดันเรื่องบางเรื่องมากเกินไป… ความสัมพันธ์ทั้งหมดของพวกเขาคือการที่เธอได้รับทุกอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก ลิลลี่รู้ดีว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ตลอดไปไม่ได้… นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงอยากเป็นคนรักของเขา อย่างน้อยเธอก็ตอบแทนเขาได้ แม้จะต้องใช้ร่างกายของตัวเองก็ตาม…
เมื่อมองไปที่วาห์น เธอมองเห็นถึงความมุ่งมั่นในแววตาของเขา ทว่ายังมีความกังวลที่แฝงอยู่ด้วย (‘อ้า ในที่สุดก็รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการ… ง่ายจริงๆ เลย’)
“ฉันต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น… แข็งแกร่งมากพอที่จะไม่เป็นตัวถ่วง แต่จะเป็นคนที่เดินบนเส้นทางเดียวกันกับท่านวาห์นได้… ด้วยพลังของตัวเอง” ลิลลี่ยังคงสบตากับวาห์นอยู่ และเธอก็เห็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้นบนใบหน้าของเขา เธอยังสังเกตเห็นโคลอี้ที่ยิ้มอยู่ตรงมุมๆ ฉากด้วย
“รู้สึกว่าเธอจะไม่เด็กแบบที่ฉันคิดไว้เลยนะ~เมี๊ยว”
—————