เช้าวันที่สองหลังจากที่วาห์นเข้าไปในดันเจี้ยน เฮเฟสตัสเริ่มตื่นขึ้นมาในสภาพมึนๆ
เธอรู้สึกไม่สบายตัวและหลังจากมองไปที่เสื้อผ้ายับยู่ยี่ของตนเองแล้ว เธอก็เริ่มนึกย้อนถึงความทรงจำจากเมื่อคืน
เฮเฟสตัสรู้สึกวุ่นวายไปหมดขณะพยายามจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แต่ก็สัมผัสได้ถึงความไม่สบายตัวจากเนื้อผ้าที่ใส่อยู่ในตอนนี้
เธอถอนหายใจก่อนจะลุกจากโซฟาและเปลี่ยนเสื้อผ้าจากตู้ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้องทำงาน
หลังจากเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าใหม่ เฮเฟสตัสก็จ้องไปที่คราบสกปรกบนชุดชั้นในและรู้สึกเขินอายเป็นอย่างมาก
เธอไม่อยากเชื่อเลยได้นำวาห์นมาใช้เป็นตัวช่วยเพื่อปลดปล่อยความสุขของตนเอง
พอนึกความซื่อและไร้เดียงสาของเขา เฮเฟสตัสก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายกับสิ่งที่ทำลงไปเมื่อคืนก่อน
เธอรู้สึกราวกับตนเป็นเสื้อผ้าชิ้นนั้น… ช่างดูสกปรกเหลือเกิน…
เฮเฟสตัสพยายามเก็บเรื่องนี้ไปก่อนและเริ่มสะสางงานของตนให้เสร็จเนื่องจากเมื่อวานยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
น่าเสียดายที่ตอนนี้วาห์นได้เริ่มออกผจญภัยอีกครั้งและทันใดนั้นเฮเฟสตัสเองก็ถูกขัดจังหวะจากอัตราการเต้นของหัวใจที่พุ่งสูงขึ้นของเขา
ไม่ว่าจะพยายามไม่สนใจมากแค่ไหน โดยเฉพาะหลังจากเรื่องเมื่อคืน เธอก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อความรู้สึกนี้ได้
สุดท้ายแล้วเธอก็ยอมแพ้ที่จะพยายามทำงานต่อและใช้แขนแทนหมอนพร้อมกับฟุบหัวลงบนโต๊ะแทน
พอเพ่งเข้าไปในจิตของตน เธอก็รู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นต่างๆ ที่วาห์นกำลังสัมผัสอยู่
เฮเฟสตัสรู้สึกว่าเขาต้องกำลังสนุกอยู่แน่ๆ และเธอก็สงสัยว่ามอนสเตอร์แบบไหนกันที่ทำให้เขาตื่นเต้นได้ขนาดนี้
หลังจากฟังเสียงและสัมผัสกับอารมณ์ต่างๆ เฮเฟสตัสก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตู
เธอลุกออกจากโต๊ะด้วยใบหน้าบูดบึ้งและเดินไปที่ประตูเพื่อดูว่ามีใครมา
เมื่อเปิดประตูออก เฮเฟสตัสก็จำได้ว่าชายคนนี้เป็นหนึ่งในพนักงานรักษาความปลอดภัยของเธอนั่นเอง
เขาเป็นชายร่างสูง แขนยาว มีผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาลและมีชื่อว่าแจ็ค
“ว่าไงแจ็ค มีอะไรเหรอ? ทำไมถึงมากวนฉันตอนทำงาน… ฉันกำลังยุ่งอยู่นะ”
เฮเฟสตัสถามออกไปแต่เธอก็สังเกตเห็นว่าแจ็คจ้องกลับมาราวกับกำลังเพ้ออยู่
หลังผ่านไปอีกครู่หนึ่งเฮเฟสตัสก็เริ่มรู้สึกรำคาญ จนกระทั่งแจ็คชี้ไปที่ใบหน้าของเธอและพูดขึ้น
“ที่ปิดตาของท่าน… หายไปแล้ว?”
เมื่อเห็นเขาชี้มา เฮเฟสตัสจึงยื่นมือขึ้นมาและสัมผัสใบหน้าตัวเอง
อย่างที่แจ็คพูดไว้ไม่ผิด ตั้งแต่ที่วาห์นช่วยรักษาตาให้เธอ เฮเฟสตัสก็ไม่ได้สวมที่ปิดตาอีกเลย
เนื่องจากยังอยู่ในสภาพงัวเงีย เธอจึงลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลยและเปิดประตูออกไปตามความเคยชิน
เฮเฟสตัสสังเกตเห็นว่าขณะที่เธอกำลังสัมผัสใบหน้า ชายที่ชื่อแจ็คก็เริ่มเปลี่ยนท่าทางพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าภายใต้ที่ปิดตาของท่านจะมีใบหน้างดงามขนาดนี้ซ่อนอยู่ น่าเสียดายจริงๆ ที่ท่านไม่เคยถอดมันออกมาก่อน”
เมื่อได้ยินคำชมของแจ็ค ทันใดนั้นเฮเฟสตัสก็รู้สึกคลื่นไว้ขึ้นมาทันที
หลายปีที่เขาทำงานให้กับเธอ นอกจากได้พบกันไม่กี่ครั้ง พนักงานรักษาความปลอดภัยส่วนใหญ่มักไม่กล้าแม้แต่จะพูดกับเธอ ยิ่งเรื่องมาจีบเธอคงไม่ต้องพูดถึงด้วยซ้ำ
คำพูดของเขาแม้จะฟังดูสุภาพแต่ก็ไม่มีผลอะไรนอกจากเป็นเสียงรบกวนเล็กๆ สำหรับเฮเฟสตัส
“ฉันถามอยู่นะว่าทำไมเธอถึงมารบกวนฉัน”
เฮเฟสตัสพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับจ้องไปทางเขาแบบโกรธๆ
แจ็คเริ่มตื่นตระหนกหลังเห็นเฮเฟสตัสโมโห
ดวงตาเขาเบิกกว้างพร้อมกับโบกไม้โบกมือราวกับจะพยายามปกป้องตัวเอง
เขาแค่ชมเธอเท่านั้นเอง และไม่คิดว่าเธอจะไม่พอใจถึงขนาดนี้
“อะ-เอ่อ มีลูกค้าที่อยากจะคุยเรื่องทำสัญญากับท่านครับ พวกเขากำลังรออยู่ที่โต๊ะเจรจา…”
เฮเฟสตัสยังคงจ้องไปที่แจ็คแม้ว่าเขาจะอธิบายเหตุผลที่มาที่นี่เสร็จแล้วก็ตาม
เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนเดิม
“บอกพวกเขาไปว่าตอนนี้ฉันกำลังยุ่งกับโครงการส่วนตัวอยู่และจะไม่รับลูกค้าใหม่ในช่วงนี้ ออกไปได้แล้ว และวันนี้ไม่ต้องมารบกวนฉันอีก”
เฮเฟสตัสไม่ชอบวิธีที่เขา ‘มอง’ เธอเป็นอย่างมาก
แจ็คยังคงจ้องมองใบหน้าและดวงตาแม้เธอจะถลึงตาใส่เขาแบบเคืองๆ แล้วก็ตาม
แจ็คพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะออกไปทำหน้าที่ของตนต่อ
อย่างไรก็ตาม หลังจากเขาเดินไปสองสามก้าวก็อดไม่ได้ที่จะหันหัวกลับมามองเฮเฟสตัสอีกครั้ง
เมื่อเห็นความอาจหาญของพนักงานคนนี้ เฮเฟสตัสก็รู้สึกเดือดขึ้นมาทันที
เธอค่อยๆ พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“นายโดนไล่ออกแล้ว ต่อไปถ้าฉันยังเห็นนายมาแถวๆ ที่โรงหลอมนี้อีกก็จะให้ทหารยามมาจับนายซะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฮเฟสตัส จิตใจของแจ็คก็ว่างสนิทและพยายามหาคำแก้ตัว
แต่เมื่อเห็นว่าเฮเฟสตัสดูโกรธมากขนาดไหน เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
แจ็คโค้งให้แบบลดตัวลงต่ำที่สุดและหันหลังกลับพร้อมรีบออกจากสถานที่แห่งนั้นโดยไม่หันกลับมามองอีก
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ‘เซฟฟ์’ หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยก็เข้ามาและสอบถามเกี่ยวกับการจากไปของแจ็ค
เฮเฟสตัสยังคงไม่ปกปิดใบหน้าเช่นเดิมแต่เซฟฟ์ก็มีไหวพริบมากพอที่จะเก็บความคิดเห็นของตนเอาไว้ในใจ
หลังจากได้ฟังเหตุผล เขาจึงขอโทษเฮเฟสตัสและสาบานว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต
ในอีกสองสามชั่วโมงถัดมานั้นเฮเฟสตัสก็อยู่ในสภาพหงุดหงิดแทบตลอด
การที่ใครบางคนคิดว่าจะมาจีบเธอได้หลังจากที่ใบหน้าของเธอถูกรักษาแล้วนั้นทำให้เธออารมณ์เสียมาก
แม้พวกเขาจะไม่ได้มีเจตนาไม่ดีก็ตาม แต่เธอก็ไม่ชอบคำเยินยอที่คนพวกนั้นใช้เลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้ใบหน้าของเธอไม่ได้เสียโฉมอีกแล้ว เฮเฟสตัสจึงรู้สึกเต็มไปด้วยความภาคภูมิและมั่นใจในตัวเอง
เธอจะไม่ยอมให้ใครก็ตามที่เห็นใบหน้าของเธอมาเล็งเป้าใส่แบบไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเด็ดขาด
ในขณะที่กำลังโกรธอยู่นั้น ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ประกายขึ้นมาในใจของเธอจนทำให้เฮเฟสตัสสงบลงได้
เธอถอนหายใจยาวๆ และตัดสินว่าวันนี้คงเป็นอีกวันที่ไม่ได้ทำงาน
เธอเลยตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่โรงอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อชำระล้างร่างกายพร้อมกับผ่อนคลายตัวเอง
แม้จะเปลี่ยนเสื้อผ้าไปแล้วแต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงอยากจะไปล้างมันออกให้หมด…
—
หลังจากได้ไปยังโรงอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์และนอนหลับอย่างสงบไปหนึ่งคืน เฮเฟสตัสก็อารมณ์ดีขึ้นมากกว่าวันก่อน
ตอนที่ออกไปข้างนอกเมื่อวานนี้ เฮเฟสตัสก็ไม่ได้สวมที่ปิดตาเช่นกัน
เธอเดินไปรอบๆ อย่างมั่นใจและเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายตามทางที่เดินผ่าน
พอมาถึงโรงอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ เหล่าสหายเทพธิดาทั้งหลายต่างต้องตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าที่ไร้การปกปิดของเธอ
เฮเฟสตัสใช้เวลาที่เหลือในช่วงเย็นในการพูดเรื่องวาห์นให้คนรอบข้างฟังจนพวกเธอหันมาหยอกล้อกันเป็นการใหญ่
หลังกลับมาบ้าน เธอรู้สึกเหนื่อยมากและล้มตัวลงนอนขณะฟังเสียงหัวใจของวาห์น
เฮเฟสตัสตัดสินใจว่าวันนี้จะต้องทำงานให้จงได้ ไม่งั้นมันก็จะพอกต่อไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต
ในฐานะช่างตีเหล็กที่มีผลงานมากที่สุดในเมือง เธอไม่มีเวลาว่างมานั่งเล่นนอนเล่นทุกวัน
ไม่ว่าเสียงหัวใจของวาห์นจะทำลายสมาธิของเธอมากแค่ไหน เธอก็ยังต้องเคลียร์งานและเริ่มบังคับตัวเองให้เข้าไปที่ห้องทำงาน
หลายชั่วโมงต่อมา งานตีดาบของเฮเฟสตัสก็คืบหน้าไปได้ด้วยดี
แต่จู่ๆ เธอก็รู้สึกได้ถึงความกลัวอย่างรุนแรงเข้ามาเกาะกุมหัวใจเอาไว้
เธอรีบโยนดาบทิ้งไปในทันทีและเริ่มเพ่งสมาธิไปที่เสียงหัวใจในดวงวิญญาณของเธอแทน
เฮเฟสตัสรู้สึกได้ว่าวาห์นไม่ได้ตื่นเต้นอยู่ แต่เขากำลังกลัว… กลัวมากเลยด้วย
ความกลัวยังคงพุ่งสูงขึ้นภายในตัวจนเฮเฟสตัสรู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ และวาห์นคงจะเจอกับอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาต้องหวาดกลัวมากแน่ๆ
ยิ่งเขากลัวมากขึ้นเท่าไหร่ ความกลัวของเฮเฟสตัสก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากเธอไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลย
ทันใดนั้นเฮเฟสตัสก็ส่งข้อความฉุกเฉินไปยังสึบากิให้เริ่มรวบรวมคนเพื่อตั้งทีมช่วยเหลือ
คนที่อยู่ในทีมส่วนใหญ่ล้วนเป็นสมาชิกที่มารวมตัวกันจากครั้งที่แล้ว และการที่พวกเขาเห็นเทพธิดาของตนไม่ได้ใส่ที่ปิดตาไว้ก็สร้างความประหลาดใจให้เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดูน่าตกใจมากที่สุดก็คือใบหน้าซีดเผือดและแสนกังวลของเฮเฟสตัสนี่เอง
พวกเขายังรู้อีกว่าเรื่องคราวนี้คงจะหนักหนามากจนทำให้เฮเฟสตัสต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้
ขณะที่สมาชิกมารวมตัวกันอยู่ตรงด้านนอกของทางเข้าดันเจี้ยนคล้ายกับเหตุการณ์ครั้งก่อน หัวใจของเฮเฟสตัสก็เริ่มสงบลง
เธอสัมผัสได้ว่าวาห์นไม่ได้หวาดกลัวอีกต่อไป และเมื่อเธอตระหนักถึงเรื่องนี้เฮเฟสตัสก็เกือบจะทรุดลงไปกับพื้นด้วยความโล่งอก
สึบากิที่อยู่ใกล้ๆ รีบมารับร่างของเฮเฟสตัสเอาไว้ก่อนที่เธอจะตกลงถึงพื้น
“ตอนนี้เขาไม่เป็นไรแล้วเหรอคะ?”
สึบากิเองก็รู้สึกเป็นห่วงวาห์นมากเช่นกัน เพราะเฮเฟสตัสเคยบอกเธอแล้วเกี่ยวกับสัมผัสเชื่อมโยงที่พวกเขามีให้กัน
เฮเฟสตัสเผยรอยยิ้มโล่งอกบนใบหน้าขณะที่เธออธิบายสิ่งที่รู้สึกให้สึบากิฟัง
หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว สึบากิก็แจ้งให้ทีมช่วยเหลือทราบและแม้ว่าบางคนจะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ก็ดีใจที่สถานการณ์กลับคืนสู่ปกติแล้ว
พวกเขาอยู่ที่บริเวณหน้าดันเจี้ยนอีกครู่หนึ่งก่อนจะตกลงกันว่าจะนัดเจอกันทีหลังเพื่อไปดื่มฉลอง
สึบากิจะเป็นคนออกค่าอาหารทุกอย่างให้เพื่อเป็นการตอบแทนและถือเป็นค่าเสียเวลา
หลังจากนั้น สึบากิก็แจ้งให้เฮเฟสตัสทราบว่าจะมีปาร์ตี้มุ่งหน้าเข้าสู่ดันเจี้ยนในวันถัดไป ดังนั้นทั้งสองจึงไปพบกับตัวแทนกลุ่มและส่งข้อมูลของวาห์นให้กับพวกเขา
เฮเฟสตัสสั่งให้พวกเขาสาบานว่าหากพบวาห์นกำลังเจอกับปัญหา พวกเขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยวาห์นให้ได้
แกรนท์กับเมอรีลตอบตกลงโดยไม่ได้พูดอะไรมากนัก เนื่องจากพวกเขามองเห็นสีหน้ากังวลและแสนเป็นห่วงบนใบหน้าของเทพธิดาที่พวกตนนับถือ
พวกเขาสงสัยเหลือเกินว่าวาห์นเป็นเด็กประเภทไหนกันถึงได้ส่งผลต่อเทพธิดาที่มักจะดู ‘เยือกเย็น’ และ ‘เฉยเมย’ ได้มากขนาดนี้
—
สองวันต่อมานั้นผ่านไปอย่างปกติ
เฮเฟสตัสยังคงกังวลเกี่ยวกับวาห์น แต่เธอก็รู้สึกว่าเสียงหัวใจของเขายังคงเต้นแบบคงที่ซึ่งทำให้เธอวางใจได้ระดับหนึ่ง
นอกเสียจากสองสามครั้งที่จู่ๆ เขาก็ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างกระทันหัน ช่วงสองสามวันต่อมานี้ถือได้ว่าสงบกว่าสองวันแรกมาก
ที่จริงเฮเฟสตัสได้ทำงานเสร็จไปบ้างแล้วและจัดการสัญญาเสร็จเรียบร้อยไปหลายฉบับ
ช่วงนี้ ‘เพลิงนิรันดร์’ ดูจะทรงพลังขึ้นกว่าเดิมมากและเฮเฟสตัสยังมองเห็นด้วยว่ามีประกายสีแดงฉานภายในเปลวเพลิงที่ปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งคราว
ด้วยการร่วมมือของมัน เธอจึงสามารถสำเร็จงานทั้งหลายได้อย่างรวดเร็ว เร็วมากจนเธอเองก็ยังประหลาดใจ
หลังได้นอนหลับอย่างสงบในคืนนั้น เฮเฟสตัสก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงเคาะประตูในเช้าวันถัดมา
เนื่องจากช่วงนี้เธอใจเย็นลงมาก เธอจึงเปิดประตูออกแบบไร้อารมณ์ขุ่นมัว
แทนที่จะเป็นแจ็คผู้ซึ่งถูกเธอไล่ออกไปแล้ว คนส่งสารในคราวนี้กลับเป็นผู้หญิงที่ดูค่อนข้างมีฝีมือ
เธอสูงกว่าเฮเฟสตัสเล็กน้อยและมีเส้นผมสีน้ำตาลแดงกับดวงตาสีม่วง
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านเฮเฟสตัส มีเทพธิดาที่ชื่ออนูบิสมามาขอพบท่านค่ะ”
เด็กสาวคนนี้พูดจาได้สุภาพมากแม้เธอจะมีท่าทางของนักรบที่แข็งกร้าวก็ตาม
เฮเฟสตัสนึกในใจว่าคงต้องไปชมเชยเซฟฟ์ในภายหลังว่าเขาสรรหาคนมาได้ดีจริงๆ
เธอเริ่มมุ่งหน้าไปทางห้องประชุมส่วนตัวซึ่งเอาไว้ใช้รับแขก VIP
เมื่อเข้าไปในห้อง เฮเฟสตัสก็เห็นเทพธิดาผู้งดงามทและมีผิวสีน้ำตาลมะกอก เส้นผมยาวสีดำ ใบหูเชียนโธรปแบบตั้งตรงขนาดใหญ่ พวงหางที่ฟูและหนานุ่ม และเครื่องแต่งกายที่ดูหรูหราเป็นอย่างมาก
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจที่สุดก็คือดวงตาของเทพธิดาผู้นี้
มันประดับไปด้วยแสงสีทองอ่อนๆ คล้ายกับพระจันทร์เต็มดวง
เมื่อสังเกตเห็นเฮเฟสตัส เธอก็วางถ้วยชาที่กำลังดื่มลงและโค้งให้กับเทพธิดาผู้มีดวงตาสีแดงฉานอย่างสุภาพ
“เทพธิดาเฮเฟสตัส ฉันมีชื่อว่าอนูบิส เป็นเทพธิดาของอนูบิสแฟมิเลียที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเมื่อไม่นานมานี้”
เฮเฟสตัสพยักหน้าให้เธอก่อนที่จะนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่เหล่าเทพหรือเทพธิดาที่เพิ่งย้ายมาใหม่จะมาเข้าหาเธอก่อน
มีทวพเทพหลายองค์ที่อยากจะผูกสัมพันธ์หรือแม้แต่สร้างความร่วมมือกับเธอ เพราะเธอเป็นถึงผู้นำของแฟมิเลียที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ 3 และเป็นแฟมิเลียสายผลิตที่ใหญ่ที่สุดของเมือง
“มีอะไรให้ฉันช่วยล่ะ อนูบิส?”
เฮเฟสตัสเดาว่าคงจะเป็นเรื่องตามมารยาทหรือไม่ก็คำขอเล็กน้อย แต่เธอก็ต้องประหลาดใจเนื่องจากอนูบิสส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้เธอแทน
ขณะที่กำลังถือซองจดหมายไว้ในมือ เฮเฟสตัสก็มองอนูบิสเป็นเชิงถาม
“ฉันได้รับจดหมายฉบับนี้จากเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าวาห์น เขาได้มอบมันให้กับเด็กๆ ของฉันหลังจากที่พวกเขา… มีเรื่องเข้าใจผิดกัน”
อนูบิสกล่าวพลางขมวดคิ้วหลังจากนึกถึงเหตุการณ์ที่เด็กๆ ของเธอเล่าให้ฟัง
เธอรู้สึกทั้งโกรธเคืองและขอบคุณเด็กหนุ่มที่ชื่อวาห์น เพราะเขาได้ไว้ชีวิตเด็กๆ ของเธอและทำให้เธอได้มาพบกับเฮเฟสตัส
หลังจากได้ยินว่าเป็นจดหมายจากวาห์น เฮเฟสตัสก็รีบเปิดมันทันทีขณะถามต่อ
“เรื่องเข้าใจผิดอะไรกัน? วาห์นไม่ใช่คนที่ชอบไปหาเรื่องคนอื่นก่อนเลยนี่นา”
เฮเฟสตัสสังเกตเห็น ‘ความอึดอัด’ ของอนูบิสและคิดว่าเธอกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง
ก่อนที่จะเริ่มอ่านจดหมาย เธออยากจะยืนยันข้อสงสัยของตนเสียก่อน
พออนูบิสได้ยินคำถามของเฮเฟสตัส เธอก็ถอนหายใจก่อนจะเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
ขณะฟังเรื่องราวที่ถูกเล่าต่อมาอีกทอด เฮเฟสตัสก็รู้สึกได้ว่าเลือดในร่างกายเริ่มเย็นลงพร้อมกับจ้องมองไปทางเทพธิดาที่อยู่ต่อหน้าเธอ
การที่วาห์นถึงขั้นไปโจมตีคนอื่นนั้น เขาจะต้องรู้สึกถูกคุกคามหรือว่ามีเหตุผลที่ดีก่อนจะทำอะไรแบบนั้นลงไป
เฮเฟสตัสเริ่มอ่านจดหมาย และเลือดที่เย็นยะเยือกอยู่แล้วของเธอก็ดูเหมือนจะเย็นลงไปอีก 20 องศาขณะที่ความโกรธแค้นเริ่มแผ่กระจายไปทั่วจิตใจ
ภายในจดหมายนั้น วาห์นอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากมุมมองของเขา
เขาพูดถึงเทพที่มีชื่อว่าโอซิริสซึ่งกำลังหมายหัวเขาอยู่ และเฮเฟสตัสก็เชื่อว่าเทพองค์นั้นน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้วาห์นรู้สึกหวาดกลัวในช่วงก่อนหน้านี้
อนูบิสที่นั่งดูอยู่เงียบๆ เริ่มรู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาตามแผ่นหลังขณะที่เธอมองไปทางเทพธิดาที่กำลังพิโรธหนัก
เนื่องจากตัวเองไม่รู้เนื้อหาของจดหมายนั่น เธอจึงหวังว่ามันคงไม่ได้ทำให้เรื่องซับซ้อนขึ้นเนื่องจากตามความเข้าใจของเธอนั้นวาห์นดูเป็นคนที่มีเหตุผลพอสมควร
ในที่สุด เฮเฟสตัสก็อ่านจดหมายจบก่อนจะมองไปทางอนูบิสด้วยสีหน้าเย็นชา
“ทำไมเธอกับไอ้เทพงี่เง่านั่นถึงไล่ตามวาห์นล่ะ? ถึงวาห์นจะเขียนไว้ว่าเธอไม่ได้เป็นภัยคุกคาม แต่ถ้าคำตอบของเธอทำให้ฉันพอใจไม่ได้ล่ะก็….”
ขณะที่พูดออกไป สีหน้าของเฮเฟสตัสก็ดูเลวร้ายยิ่งขึ้นขณะที่มองใบหน้าเคร่งเครียดของอนูบิส
อนูบิสไม่ได้กลัวเฮเฟสตัสแต่อย่างใด ทว่าเมื่อนึกถึงอันตรายที่เหล่าเด็กๆ ของเธออาจได้รับก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายขณะเผชิญกับแรงกดดันนี้
“ฉันเองก็ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัด แต่โอซิริสขอร้องให้ฉันมาที่เมืองนี้เพื่อช่วยจัดการความผิดปกติ ตามที่เขาเล่า… เด็กหนุ่มที่ชื่อวาห์นนั้นไม่มีดวงวิญญาณ เนื่องจากพวกเราทั้งคู่เป็นเทพที่เกี่ยวกับความตาย เราจึงสามารถมองเห็นวิญญาณทุกดวงที่อยู่ภายในร่างของสิ่งมีชีวิตได้หมด โอซิริสดูเหมือนจะมีเรื่องบาดหมางกับวาห์นอยู่ แต่ฉันแค่อยากยืนยันเรื่องดวงวิญญาณของเขาเท่านั้น…”
เฮเฟสตัสพยักหน้าแต่สีหน้าของเธอก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยหลังจากได้ยินคำอธิบายของอนูบิส
เฮเฟสตัสกล่าวต่อ “สำหรับตอนนี้ ฉันอยากจะไปเจอหมอนั่นหน่อย ตราบใดที่เธอไม่มาขวาง ฉันก็จะจัดการให้เธอได้พบวาห์นเมื่อเขากลับมาแล้ว ฉันกล้าพูดเลยว่านี่ต้องเป็นแผนการที่เพื่อนผู้น่าสมเพชของเธอคิดขึ้นมาแน่นอน”
เฮเฟสตัสพูดทุกถ้อยด้วยความมั่นใจถึงขนาดที่ทำให้อนูบิสเชื่อว่าเธอถูกโอซิริสหลอกเข้าแล้ว
เธอคิดไว้อยู่แล้วว่าโอซิริสจะต้องมีเหตุผลอื่นแอบแฝงอยู่ และเมื่อเห็นท่าทางมั่นใจของเฮเฟสตัสก็รู้สึกเหมือนกับตนเองถูกใช้เป็นเครื่องมือเข้าอย่างจัง
—
ในวันนั้น เฮเฟสตัสแฟมิเลียก็ได้เข้าล้อมรอบฐานที่มั่นของโอซิริสแฟมิเลียซึ่งอยู่ในสถานที่น่าสงสัยใกล้กับถนนเดดาลัส
มันเป็นตึกโทรมๆ และดูราวกับเป็นซ่องโจร
หลังจากที่ทั้งสองแฟมิเลียเข้าปะทะกันเล็กน้อย ท้ายสุดเฮเฟสตัสก็ได้เผชิญหน้ากับโอซิริสที่พยายามโจมตีเธอด้วยการใส่ร้ายและคำพูดสาปแช่งต่างๆ นาๆ
เฮเฟสตัสต่อยหน้าโอซิริสอย่างรุนแรงไปหนึ่งยกก่อนจะคุมตัวเขาเอาไว้โดยใช้ตราประทับที่ออกแบบมาเพื่อคุมขังเหล่าเทพโดยเฉพาะ
เธอจะปล่อยให้ทางกิลด์พาตัวเขาไปก่อนจะจัดการสืบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียด
ถ้าหากว่าเขาวางแผนที่จะทำร้ายวาห์นด้วยเหตุผลส่วนตัวจริงๆ เธอก็จะทำให้แน่ใจว่าเขาจะได้ตั๋วเดินทางกลับสวรรค์แบบเที่ยวเดียวและไม่มีวันได้กลับลงมาอีกแน่นอน
อนูบิสเองก็ไปที่นั่นด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นความโกรธที่ไม่มีอะไรดับลงได้ของเฮเฟสตัส เธอก็รู้สึกว่าตนกับโอซิริสได้ไปแหย่จมูกเสือเข้าให้แล้ว
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกขอบคุณวาห์นเป็นอย่างมากที่ไว้ชีวิตเด็กๆ ของเธอและยังเขียนจดหมายซึ่งเบนโทสะของเฮเฟสตัสไปทางอื่นแทนแฟมิเลียของเธอเอง…