Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 130

ตอนที่ 130

วาห์นช่วยฟื้นพลังให้กับทีโอน่าและไอส์ ก่อนจะทำความสะอาดภายในของถ้ำและเตรียมมุ่งหน้ากลับเมือง

ตอนนี้ก็เข้าช่วงบ่ายแล้ว และพวกเขายังมีเวลาเหลืออีกมากในการกลับไปให้ถึงเมืองก่อนที่ประตูจะปิด

แม้จะเดินทางค่อนเร็วเหมือนเดิม แต่รอบนี้ทั้งสามคนก็ใช้เวลาไปกับทิวทัศน์รอบๆ

วาห์นพบว่าทั้งคู่ดูงดงามกว่าตอนขามามาก โดยเฉพาะผิวพรรณที่ดูเต่งตึงขึ้นซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้ขณะกำลังวิ่งอยู่

เมื่อใดก็ตามที่พบสิ่งน่าสนใจ พวกเขาก็จะหยุดพักไปครู่หนึ่งและวาห์นก็จะได้สัมผัสกับความรู้สึกใหม่ๆ ที่ทำให้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายแบบ

เมื่อมานั่งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของโอราริโอ้จากไกลๆ

หญิงสาวทั้งสองก็ลงมานั่งข้างๆ และเอนมาพิงไหล่ของเขา

พอถูกสองสาวที่เพิ่งจะทำกิจกรรมร่วมกันมานั่งขนาบข้างไว้แบบนี้ วาห์นก็รู้สึกว่าต่อให้มีอุปสรรคมากมายแค่ไหนในวันข้างหน้า เขาก็จะไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

หลังแวะตามข้างทางอยู่หลายครั้ง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงประตูเมืองในช่วงที่ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเล็กน้อย

วาห์นพาทั้งสองไปส่งที่แฟมิเลีย และแม้ไม่ได้คาดหวังว่าพวกเธอจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่วาห์นก็ต้องประหลาดใจเมื่อทั้งทีโอน่าและไอส์ต่างเข้ามาจูบเมื่อเดินมาถึงพื้นที่ต้อนรับของคฤหาสน์สนธยา

หลายคนที่อยู่แถวนั้นเริ่มแสดงสีหน้าตื่นตะลึงในขณะที่หนุ่มๆ บางคนทำหน้าราวกับโลกทั้งใบใกล้จะถึงกาลดับสูญ

ทีโอน่าดูเย้ายวนมากขณะที่เธอเข้ามาจูบ และวาห์นรู้สึกเหมือนเธอกำลังพยายามทำให้แน่ใจว่าทุกคนตรงนั้นตระหนักถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา

เธอไม่รอฟังคำโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้นและจูบเขาอย่างต่อเนื่องไปเกือบนาทีภายใต้สายตาจ้องมองของทุกคน

ในที่สุดเธอก็ถอนจูบออกและยิ้มให้อย่างมีความสุขก่อนจะเดิน ‘ลอยละลิ่ว’ ออกไป

วาห์นรู้สึกท่วมท้นจนแทบอยากจะเดินตามเธอไปติดๆ

ก่อนที่เขาจะได้ตัดสินใจทำอะไร สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของฝูงชนก็บังเกิดขึ้นอีกเมื่อไอส์ก้าวเข้ามาสวมกอดเขาต่อ

เธอไม่ได้จูบเขาในทันที แต่กลับมองไปรอบๆ บริเวณเล็กน้อยและจ้องมองเหล่าผู้สังเกตการณ์

พอมองไปรอบๆ ห้องต่ออีกพักหนึ่ง เธอก็เอนตัวไปข้างหน้าและจูบวาห์น

มันไม่ได้เป็นการจูบ ‘อย่างดูดดื่ม’ แบบทีโอน่า แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่วาห์นไม่อาจลืมได้ง่ายๆ

ทว่าในขณะที่วาห์นกำลังรู้สึกเพลิดเพลินอยู่นั้น สมองของคนอื่นๆ ดูเหมือนจะปลิวหายไปเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ‘องค์หญิงไร้พ่าย’ ที่ไม่มีใครเคยจีบติดมาก่อนกลับมาจูบเด็กหนุ่มในที่สาธารณะแบบน่าตาเฉย

แถมก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่ก็เพิ่งจะจูบหนึ่งในสมาชิกของแฟมิเลียที่โด่งดังไม่แพ้กันไปหยกๆ

พวกเขารู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมอยู่เต็มอกโดยไม่สนใจเลยว่าใครเป็นฝ่ายจูบใครก่อน

อยู่ดีๆ วาห์นก็สร้างศัตรูขึ้นมาในโลกิแฟมิเลียแบบไม่รู้ตัว

ช่วงเวลาที่ไอส์ถอนจูบออกไปนั้น บางคนถึงกับเตรียมที่จะเข้ามา ‘พูดคุย’ กับวาห์นสักหน่อย แต่ไอส์กลับทำในสิ่งที่แฟนคลับเตรียมเอาหัวโขกกำแพงตายได้เลย

หลังจากขยับออกมาเล็กน้อยและเห็นสีหน้า ‘งงๆ’ ของ วาห์น เธอก็เอนตัวเข้าไปอีกครั้งและเลียปากของเขาก่อนที่จะแยกตัวออกไป

คราวนี้ทั้งวาห์นและทุกคนในที่นั้นแทบจะแข็งเป็นหินหลังได้ประสบกับการกระทำที่บาดตาบาดใจ

บริเวณแผนกต้อนรับที่มีผู้คนกว่ายี่สิบคนพลันตกอยู่ในความเงียบขณะที่ไอส์ค่อยๆ เดินจากไป

ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจบรรยากาศเป็นอย่างดีและก่อนที่จะหายเข้าไปในประตู ไอส์ก็หันกลับมาสบตากับวาห์น

เนื่องจากตอนนี้ทุกอย่างในห้องนั้นเงียบราวกับป่าช้า คำพูดแผ่วเบาของเธอจึงเข้าไประเบิดสมองของทุกคนอย่างพร้อมเพรียง

“รู้สึกดีมากเลย… ไว้เราไปกันอีกนะ”

พอพูดเสร็จ ไอส์ก็เริ่มหน้าแดงหน่อยๆ และหายเข้าไปในประตูสองชั้่น

ไม่กี่วินาทีหลังจากที่ร่างของเธอหายวับไป ทันใดนั้นวาห์นก็รู้สึกถึงความเกลียดชังอย่างรุนแรงจากรอบด้านและเห็นอ่อร่าของหลายๆ คนมืดลงขณะจ้องมองเขา

แม้ว่าจะรู้สึกเขินๆ อยู่บ้าง แต่วาห์นก็ไม่ยอมที่จะเป็นฝ่ายถูกกดดันอยู่ข้างเดียว

เขาเริ่มขมวดคิ้วและแสดงสีหน้าดูดุดันมากขึ้น

วาห์นขยายพลังเขตแดนของตัวเองให้ครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่ขณะกวาดตามองเจ้าของออร่า ‘มืดๆ’ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

พอเห็นเด็กหนุ่มที่จะเข้าไป ‘คุยด้วย’ เปลี่ยนสีหน้า ทุกคนที่ถูกวาห์น ‘เล็งเป้า’ ก็เริ่มรู้สึกเหงื่อตกเมื่อถูกดวงตาสีน้ำทะเล ‘ชั่วร้าย’ เพ่งเล็ง

หลังจากกวาดตาจนครบหมดแล้ว วาห์นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เบาและหนักแน่นให้ได้ยินกันทุกคน

“ถ้าคิดว่าแน่พอล่ะก็ มาหาฉันได้ทุกเมื่อ

แต่ต่อให้เอาชนะฉันได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนายจะเอาชนะใจของสองคนนั้นได้หรอกนะ

ถ้าคิดจะมาทำอะไรโง่ๆ ล่ะก็ เตรียมตัวเจ็บได้เลย”

แม้โลกิแฟมิเลียจะมีคนเก่งอยู่มากมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเก่งเหมือนกันหมด

คนส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนั้นเป็นนักผจญภัยเลเวล 2 และมีเลเวล 3 อยู่เพียงไม่กี่คน

เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากพลังเขตแดน ก็ไม่มีใครเลยที่สามารถสบตาเขาได้นานกว่าสองสามวินาทีก่อนจะต้องยอมก้มหน้าลง

พอวาห์นเห็นพวกเขาหลบหน้าไปหมดแล้ว เขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมถึงไม่เคยมีใครทำให้ใจของทีโอน่าหรือไอส์สั่นไหวได้มาก่อน

มันทำให้เขารู้สึกภูมิใจยิ่งขึ้น ขณะหันหลังให้ฝูงชนที่เอาแต่อ้าปากค้าง

แรงกดดันนั้นยังไม่สลายหายไปง่ายๆ จนกระทั่งเขาออกจากห้องไป

หนึ่งในนักผจญภัยที่อยู่ในช่วงวัยยี่สิบกลางๆ เริ่มถามด้วยเสียงสั่นๆ

“อะ-ไอ้เด็กนั่นมันเป็นใครกันเนี่ย…?”

เขาเป็นหนึ่งในนักผจญภัยที่มีเลเวลสูงไม่เบาซึ่งเกือบจะขึ้นเป็นเลเวล 4 แล้ว และเป็นหนึ่งในผู้ที่ตั้งใจจะสอนบทเรียนให้กับวาห์น

แม้จะแก่กว่าพวกเธอมาก แต่เขาก็เคยพยายามจีบทั้งทีโอน่าและไอส์มาก่อน

พอเห็นเด็กหนุ่มทำในสิ่งที่ตนไม่สามารถทำได้ เขาก็ไม่ได้พยายามซ่อนความขุ่นเคืองเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

นั่นทำให้วาห์นมุ่งความสนใจไปที่ชายผู้นี้เป็นเวลานานกว่าคนอื่น

สุดท้ายความคิดที่จะเข้าไปจัดการวาห์นก็จมหายไปอย่างสมบูรณ์

เขารู้สึกว่าหากพยายามเข้ามาขวางทางของปีศาจตาสีน้ำทะเลนี่ สงสัยจะไม่มีโอกาสได้ขึ้นเป็นเลเวล 4 แน่นอน

ไม่นานหลังจากเหตุการณ์สิ้นสุดลง ข่าวลือก็เริ่มแพร่กระจายออกไปในโลกิแฟมิเลียโดยที่ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งมันได้

การที่ทีโอน่าและไอส์ไม่ได้พยายามปกปิดเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ทำให้ทุกคนยืนยันได้ว่ามันไม่ใช่ข่าวเท็จ

จากนั้นมันก็เริ่มแพร่กระจายออกไปนอกกำแพงของคฤหาสน์สนธยาอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ข่าวลือก็แทรกซึมไปทั่วเมืองและทุกคนจึงเริ่มค้นหาที่มาที่ไปของเด็กตาสีน้ำทะเลผู้ ‘ขโมย’ ดอกไม้งามทั้งสองที่หลายคนต่างหมายปอง

พวกเขารู้อย่างรวดเร็วว่าเด็กหนุ่มคนนั้นที่จริงแล้วก็คือ ‘วัลแคน’ ซึ่งสร้างชื่อเสียงเมื่อไม่นานมานี้เอง

นั่นทำให้หลายๆ คนที่มีเจตนาร้ายอยู่แล้วเริ่มพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้นว่าจะจัดการกับ ‘ เด็กจอมละโมบที่อยากเป็นวีรบุรุษ’ นี่ยังไงดี

ยังดีที่ข่าวลือนั่นไม่เพียงส่งผลกับพวกที่มีเจตนาต่ำช้าเท่านั้น เพราะมีผู้คนจำนวนมากที่รู้สึกชื่นชมและเริ่มสรรเสริญวาห์นเช่นกัน

‘เรื่องน่าเหลือเชื่อ’ ที่เขาทำได้กลายมาเป็นตำนานบทใหม่ของ ‘วัลแคน’ หนุ่ม และมีหลายคนถึงขั้นดื่มให้กับ ‘ความสำเร็จ’ ของเขาพลางเริ่มพูดถึงวัยเด็กของตัวเองอย่างเผ็ดร้อน

ข่าวลือนั้นยังกระจายไปถึงแฟมิเลียใหม่ๆ ที่เพิ่งเข้ามาตั้งรกรากในเมืองได้ไม่นานนัก และทำให้เทพจากตะวันออกไกลรู้สึกอยากจะไปพบ ‘วีรบุรุษ’ ที่ตนเคยได้ยินชื่อมาก่อนเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

วาห์นไม่ทราบถึงความวุ่นวายที่เขาก่อเอาไว้ในเมืองเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้เขากำลังเดินกลับบ้านก่อนจะหยุดแวะไปที่บ้านของสึบากิ

ทันทีที่ก้าวผ่านประตูเข้าไป วาห์นก็ต้องประหลาดใจที่ไม่เห็นสึบากิอยู่ในบริเวณพื้นที่ต้อนรับ

สัญชาตญาณบอกให้เขาเดินเข้าไปในห้องอาหารเพื่อตามหาพวกเธอ แต่แทนที่จะเห็นสาวๆ สามคน กลับมีอีกสองคนที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจมาก

สึบากิ ลิลลี่ และนาซ่ากำลังนั่งอยู่รอบโต๊ะและจ้องมองวาห์นด้วยสีหน้าที่ต่างกันไป

หญิงสาวอีกสองคนเพิ่งสังเกตเห็นเขาและค่อยๆ หันมามองเช่นกัน

วาห์นเห็นหญิงสาวเรือนผมสีแดงจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเศร้าๆ และเชิงตำหนิ ส่วนสาวผมแดงอีกคนที่ตัวเล็กกว่านั้นมีใบหน้าซุกซนและเริ่มหัวเราะออกมาทันทีที่เห็นเขา

แขกพิเศษสองคนที่เขาไม่คาดคิดก็คือเฮเฟสตัสและโลกินั่นเอง

วาห์นรู้สึกไม่สบายใจเลยเมื่อเห็นสีหน้า ‘เศร้าๆ’ ของเฮเฟสตัส

แต่พอได้เห็นสีหน้า ‘ร่าเริง’ ของเทพอีกองค์ก็ทำให้อารมณ์เสียขึ้นมาตะหงิดๆ จึงอดถามออกไปไม่ได้

“โลกิ นี่เธอมาทำอะไรที่นี่?”

โลกิดูเหมือนจะไม่รู้สึกขุ่นเคืองกับคำพูด ‘หยาบคาย’ ของเขาและยังคงหัวเราะพลางตบโต๊ะไปด้วย

“ไม่เอาน่า วาห์น~! มาได้จังหวะจริงๆ เรากำลังพูดถึงเธออยู่พอดีเลย!”

เมื่อเห็นว่าเธอดูไม่สะทกสะท้านเหมือนเดิม วาห์นก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยขณะกวาดตามองสีหน้าของทุกคนในห้อง

สึบากิดูต่างไปจากปกติและแสดงท่าทาง ‘รำคาญ’ หน่อยๆ ในขณะที่ทั้งลิลลี่กับนาซ่ากำลังทำหน้ากังวลปนหงุดหงิด

ส่วนเฮเฟสตัสนั้นยิ่งดูอึมครึมและเหนื่อยล้ากว่าทุกคนในห้องก่อนจะถอนหายใจออกมาและพูดกับเขา

“วาห์น นั่งลงเถอะ มีบางอย่างที่เราต้องคุยกัน”

แม้วาห์นจะมีคำถามมากมายอยู่ในหัว แต่เขาก็ตระหนักว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นอาจเกี่ยวข้องกับการกระทำของเขาจากช่วงก่อนหน้านี้

เพราะสาบานแล้วว่าจะเผชิญหน้ากับผลที่ตามมา เขาจึงเข้ามานั่งอยู่ระหว่างโลกิและเฮเฟสตัสอย่างไม่ลังเล

ก่อนที่วาห์นจะนั่งจนได้ที่ โลกิก็ทำสิ่งที่ไม่คาดคิดขณะเอนตัวเข้ามาสูดดมกลิ่นกายของวาห์น

พอเผยสีหน้าราวกับจะยืนยันอะไรบางอย่างได้แล้ว เธอก็เริ่มหัวเราะอย่างกวนๆ ในแบบฉบับของตัวเอง

“หืมมม~ กลิ่นดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลย แต่มันก็กลบกลิ่นผู้หญิงสองคนเอาไว้ไม่ได้หรอกนะ

เป็นไงบ้างล่ะวาห์น? จัดไปพร้อมกันทีเดียวสองคน คงอิ่มน่าดูเลยสิ~?”

วาห์นรู้สึกประหลาดใจกับคำถามนิดหน่อย แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเก็บมันไว้เป็นความลับ

ทว่าก่อนที่เขาจะตอบอะไร โลกิก็ป้องปากหัวเราะหนักกว่าเดิม

วาห์นจ้องมองเทพธิดาที่นับวันยิ่งเหมือน ‘สุนัขจิ้งจอก’ เข้าไปทุกที ขณะที่เธอหันไปทางเฮเฟสตัสและพูดอย่างติดตลก

“ดูเหมือนเฮเฟสตัสสุดที่รักของเธอเองก็เพลิดเพลินไปกับมันมากเลยนะ~”

พอได้ยินคำพูดของโลกิ สมองของวาห์นก็ดับวูบเพราะไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่เธอจะสื่อ

เขาคิดไม่ออกเลยว่าทำไมเฮเฟสตัสถึงต้องรู้สึกเพลิดเพลินในขณะที่ตนใช้เวลาอยู่กับทีโอน่าและไอส์

ไม่ใช่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ดูสับสน เพราะทั้งลิลลี่และนาซ่าที่ตกใจเรื่องวาห์นไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นไปหยกๆ ก็เริ่มหันมามองเฮเฟสตัสด้วยสีหน้าแปลกๆ เช่นกัน

สึบากิดูเหมือนจะไม่ค่อยประหลาดใจเท่าไหร่ แต่ปากของเธอก็กระตุกขึ้นเล็กน้อยขณะมองเฮเฟสตัสที่เอาแต่ปิดหน้าหลังถูกโลกิ ‘แฉยับ’

วาห์นเข้าใจทันทีว่ามีบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน และพอได้เห็นความละอายใจและเขินหนักของเฮเฟสตัสก็ยิ่งรู้สึกผิดผสมปนเปไปกับความสงสัย

โลกิเหมือนจะอ่านใจเขาออกขณะเข้ามาลูบตรงบริเวณเหนือหัวใจของเขาและพูดต่อ

“ชิ้นส่วน ‘เพลิงนิรันดร์’ อยู่ตรงนี้สินะ? น่าสนใจๆ~”

หลังจากลองวัดการเต้นของหัวใจด้วยฝ่ามือของเธอ โลกิก็ลูบตรงแผงอก เรื่อยๆ จนเขาเริ่มรู้สึกอึดอัด

เมื่อเห็นการกระทำ ‘อย่างใกล้ชิด’ นั่น ทั้งสามเสียงก็ตะโกนออกมาแทบจะพร้อมกัน

“โลกิ!”/ “ห้ามแตะต้องวาห์นนะ!”/ “นี่ท่าน…”

เฮเฟสตัส ลิลลี่ และนาซ่าต่างจ้องมองโลกิด้วยสีหน้าเคืองๆ และไม่พอใจมาก

โลกิแสร้งทำเป็นกลัวในขณะชักแขนกลับมาอยู่ในท่าตั้งรับ

“โธ่วววว-! ฉันแค่อยากเล่นแบบคนอื่นเค้าบ้าง อย่างกไปหน่อยเลยน่า~

อะไรกันๆ พวกเธอก็จองที่กันไว้แล้วนี่? มีอีกคนจะเป็นไรไป~”

เฮเฟสตัสปัดมือของโลกิที่ค่อยๆ ยื่นออกมาหาวาห์นอีกครั้ง ก่อนจะดึงร่างของเด็กหนุ่มขึ้นมาอยู่บนตักของเธอแทน

วาห์นรู้สึกอึ้งๆ กับการกระทำของเฮเฟสตัสมาก

ตอนนี้เขาพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกยิ่งกว่าเดิมพร้อมถูกเฮเฟสตัสเอาใบหน้าไปซุกไว้ตรงหน้าอกขณะที่เธอจ้องมองโลกิอย่างดุร้าย

“วาห์น เป็นทั้งเด็กของฉันและคนที่ฉันฝากหวังความหวังเอาไว้

ถึงเขาจะไปนอนกับผู้หญิงอีกเป็นขโยง ฉันก็ไม่ยอมยกเขาให้คนอย่างเธอหรอกนะ!”

ดูเหมือนว่าทุกคนจะประหลาดใจอยู่บ้างกับประกาศิตของเฮเฟสตัส

สึบากิ นาซ่า และลิลลี่ต่างก็ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวาห์นกับเฮเฟสตัสเป็นอย่างดี

โดยเฉพาะนาซ่าและลิลลี่นั้นรู้อยู่แก่ใจว่าทั้งคู่จะต้องลงเอยด้วยกันแน่นอน

หากอยากอยู่ข้างกายวาห์นในวันข้างหน้าจริงๆ พวกเธอก็เตรียมใจที่จะแบ่งปันเขากับคนอื่นไว้แล้ว

คนเดียวที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากคำพูดของเฮเฟสตัสเลยก็คือโลกิ

เมื่อเห็นท่าทางหวงแหนของเฮเฟสตัสที่ปรารถนาจะปกป้องวาห์นจากเงื้อมมือของเธอ รอยยิ้มของโลกิก็ยิ่งกว้างขึ้นจนมันค่อยๆ กลับสู่สภาพปกติและแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังแทน

เธอได้วางแผนเอาไว้หมดแล้วและและทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีหลังพบช่องโหว่ของเฮเฟสตัสแบบสดๆ ร้อนๆ เลย

ในตอนที่เทพธิดาผู้ ‘เยือกเย็น’ และ ‘เฉยเมย’ ถูกความสุขของวาห์นเข้าครอบงำ โลกิก็เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายควบคุมการเจรจาก่อนจะได้มานั่งรอวาห์นอยู่ที่นี่แทน

ดูเหมือนทุกคนในห้องนี้กำลังจะเข้ามาอยู่ในกำมืออย่างช้าๆ และนั่นทำให้เธอรู้สึกพออกพอใจสถานการณ์ในตอนนี้เหลือเกิน

เธอแทบจะรู้สึกถึงความเสียวซ่านตรงท้องน้อยจนเกงขาสั้นเริ่มเปียกขึ้นมานิดๆ

ขณะที่ความสุขสมของตัวเองพุ่งขึ้นถึงขีดสุด โลกิก็เริ่มพูดออกมาแบบสบายๆ ด้วยสีหน้า ‘จริงจัง’ ของเธอ

“ฉันหวังว่าการ ‘เจรจา’ ของเราจะเป็นไปด้วยดีนะ

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท