วาห์นตื่นขึ้นมาหลังจากพักไปสี่ชั่วโมงและหันไปมองเอวานเจลีนที่ยังคงอยู่ตรงโต๊ะและกำลังแปลหนังสือต่อไป
หลังจากยืดเส้นยืดสายแล้ว วาห์นก็ถามขึ้นขณะหาวไปพลาง
“เธอไม่นอนพักเลยเหรอ?”
เอวานเจลีนหยุดมือลงขณะมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา
“ว่าไงนะ นี่นายจะให้ฉันนอนบนเตียงเดียวกับนายงั้นเหรอ?
ฉันไม่ได้เป็นเหมือนพวกผู้หญิงของนายจากโลกด้านนอกสักหน่อย”
วาห์นนวดศีรษะเพื่อบรรเทาความกระอักกระอ่วนและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วนิดๆ
“ฉันไม่ได้บอกให้เธอมานอนด้วยกันนี่
ก็แค่สงสัยเพราะนี่มันเกือบจะ 24 ชั่วโมงแล้วแต่เธอยังไม่หยุดพักเลย”
คิ้วของเอวานเจลีนขมวดขึ้นบ้างขณะหันกลับไปง่วนกับการเขียนบันทึกโดยไม่ตอบคำถามของวาห์น
วาห์นส่ายหัวก่อนจะลุกจากเตียงและเริ่มแปรรูปวัตถุดิบอีกครั้ง
มันไม่เหมือนกับช่วงก่อนหน้าที่เอวานเจลีนมักจะขัดเขาอยู่เสมอ ตอนนี้เธอเหมือนจะทำงานต่อได้ด้วยตัวเองซึ่งทำให้การฝึกของวาห์นราบรื่นมากขึ้น
นี่คือวันที่ห้านับตั้งแต่ที่วาห์นเริ่มแปรรูปวัตถุดิบ และเขาก็ตั้งใจว่าจะเริ่มตีอุปกรณ์ในอีกไม่ช้า
ทุกครั้งหลังจากตั้งชื่อให้ไอเท็มที่ทำเสร็จ เขาก็จะได้รับ OP มากกว่าตอนซื้อวัตถุดิบมาเล็กน้อย
วาห์นตื่นเต้นไปกับวิธีนี้มาก เพราะมันทำให้เขาได้ทั้งประสบการณ์, OP และวาลิสหากขายไอเท็มในภายหลัง
ของพวกนี้ต่างไปจากอุปกรณ์ที่ซื้อจากระบบและเขาสามารถมอบมันให้ใครก็ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบ ‘ของขวัญ’
เนื่องจากได้ตั้งชื่อให้กับไอเท็มไปแล้วมากมาย วาห์นจึงตรวจสอบ [ผู้ดูแลบันทึกแห่งนภา] ผ่านระบบและได้รู้ข้อมูลที่น่าพอใจอีกอย่าง
แม้นาฬิกาของระบบจะแสดงตามโลกแห่งความเป็นจริง แต่เวลาคูลดาวน์ต่างๆ นั้นดูเหมือนจะอิงกับเวลาภายในลูกแก้ว
คูลดาวน์ของ [ผู้ดูแลบันทึกแห่งนภา] 60 วัน ตอนนี้เหลือเพียง 39 วันเท่านั้นแม้ว่าจะเวลาข้างนอกจะผ่านไปแค่สองสัปดาห์เอง
หากเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เวลาคูลดาวน์จะสั้นลงกว่าเดิมมากและอีกไม่นานก็คงกลับมาใช้ได้อีกครั้ง
ด้วยข้อมูลใหม่นี้ วาห์นจึงตีเหล็กต่อไปด้วยความฮึกเหิมและอยากพัฒนาสกิลให้มากที่สุดก่อนที่เวลาคูลดาวน์จะหมดลง
เขาวางแผนที่จะใช้เวลาบางส่วนเพื่อสร้างไอเท็มออกมาชิ้นหนึ่งและจะใช้ [ผู้ดูแลบันทึกแห่งนภา] ในการตั้งชื่อแทนการตั้งแบบปกติ
เขาคิดเอาไว้บ้างแล้วและกำลังตัดสินใจเลือกอันที่เหมาะที่สุดเพื่อความก้าวหน้าในอนาคต
แม้ว่ามันคงจะไม่มีพลังมากเท่าไอเท็มต้นแบบ แต่วาห์นก็ตัดสินใจที่จะตีดาบและจะตั้งชื่อให้มันว่า ‘เอกซ์คาลิเบอร์’
เขารู้ว่าอย่างน้อยมันก็น่าจะแสดงพลังบางส่วนที่คล้ายต้นแบบออกมาได้อย่างแน่นอน
หากพยายามมากพอ ต่อไปดาบเล่มนี้อาจจะก้าวข้าม ‘เอกซ์คาลิเบอร์’ ของจริงก็ได้
สำหรับตอนนี้ วาห์นไม่จำเป็นต้องทำอุปกรณ์ให้กับตัวเอง เพราะสกิล [ร่างจตุรเทพ] ได้มอบความสามารถในการต่อสู้ให้มากพอตัวอยู่แล้ว
แถมเขายังมี [เอ็นคิดู] และ [จิตแห่งราชัน] ที่ออกจะติดโกงๆ อีก
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สนเรื่องอุปกรณ์เลย เพราะความคิดที่จะได้สวมใส่ชุดเกราะและแกว่งดาบเท่ๆ นั้นยังทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นได้อยู่
ถึงจะไม่ได้ใช้พวกมันเท่าไหร่ แต่มีเก็บไว้บ้างก็คงจะดีเหมือนกัน
วาห์นรู้ว่านี่เป็นเรื่องของอนาคตดังนั้นจึงยังไม่ได้คิดถึงมันมากนัก
เมื่อออกไปจากที่นี่ วาห์นถึงจะมีเวลาพักผ่อนเพื่อพิจารณาสิ่งต่างๆ
ดังนั้นสำหรับตอนนี้ เขาจึงเริ่มตีอาวุธขนาดใหญ่ตามที่ได้คิดไว้แล้ว
หลังจากได้เห็น ‘เออร์ก้า’ ของทีโอน่า วาห์นก็อยากจะลองสร้างอาวุธที่คล้ายกันขึ้นมา
แม้ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่วาห์นก็ยังประสบปัญหาในการจัดการกับชิ้นโลหะที่ใหญ่และมีความยาวมากเป็นพิเศษอยู่ดี
เขาใช้เวลาเกือบ 12 ชั่วโมงเพื่อขึ้นรูปชิ้นโลหะหนัก 140 กิโลกรัมให้อยู่ในรูปทรงที่ถูกต้องขณะดูให้แน่ใจว่ามันต้องไม่เสียสมดุลไปจากเดิม
หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากพลังเขตแดนและการควบคุมไฟ วาห์นคงจะไม่สามารถทำอาวุธชิ้นนี้ขึ้นมาได้เนื่องจากมันยากกว่าที่เขาคิดเอาไว้เยอะเลย
หลังจากพิจารณาดูแล้ว เขาก็หัวเราะเยาะให้กับการทำอาวุธแบบชิ้นเดียวของตัวเอง แทนที่จะสร้างทีละส่วนและนำมาเชื่อมต่อกันในภายหลัง
แต่เพราะว่ามันเป็นชิ้นเดียวกัน วงจรมานาจึงเชื่อมต่อกันได้ดีกว่าและทำให้ตัวดาบก็มีความทนทานที่สูงมาก
เขาทำแกนกลางให้เป็นแบบโลหะสามชั้นโดยให้อะดาแมนไทน์อยู่ชั้นในสุด ต่อมาก็เป็นมิธริลที่มีคุณสมบัติรับแรงกระแทกได้ดี และปิดท้ายด้วยโลหะเวทมนตร์ด้านนอกสุดเพื่อเสริมพลังให้กับวงจรมานาและเพิ่มความคมให้กับตัวดาบ
วาห์นถืออาวุธขนาดยักษ์ขึ้นมาซึ่งมีความยาวมากกว่าตัวเขาเองเสียอีก และรู้สึกประหลาดใจกับความสำเร็จในครั้งนี้มาก
ตลอดเวลาที่ใช้ฝึก นี่เป็นผลงานชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเขาคิดว่าจะเก็บมันเอาไว้จนกว่าคูลดาวน์ของบันทึกแห่งนภาจะหมดลงก่อนจะใช้มันตั้งชื่อ
แต่สุดท้ายแล้ววาห์นก็เลือกที่จะไม่รอต่อและรู้สึกสงสัยมากว่าตนจะได้รับ OP มากแค่ไหนจากการสร้างอาวุธชิ้นที่อยู่เหนือความคาดหมายของตัวเอง
หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว เขาก็ตัดสินใจตั้งชื่อให้มันว่า [อเมซอนเริงระบำ] หลังได้จินตนาการถึงทีโอน่าที่กำลังกระโดดไปมาและตัดผ่านมอนสเตอร์อย่างร่าเริง
พอตั้งชื่อให้มันเรียบร้อยแล้ว วาห์นก็ได้รับ 3,705 OP จากระบบและอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับผลลัพธ์ที่ออกมา
[อเมซอนเริงระบำ]
ระดับ: A (เวทมนตร์)
ช่อง: 0
พลังโจมตี: 911+90
พลังโจมตีเวท: 83
ความสามารถ: ต้านรับแรงกระแทก(B), ความคงทน(C), พลังในการบดขยี้(A)
อาวุธขนาดยักษ์ที่มีปลายสองด้านและถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้มีความสมดุลและสะดวกต่อการใช้งาน
การใช้ส่วนประกอบแบบสามชั้นยิ่งเพิ่มค่าความทนทานและความสามารถในการโจมตีของอาวุธขึ้นไปอีก
อาวุธชิ้นนี้แบกรับความปรารถนาของผู้สร้างโดยหวังว่าผู้ใช้จะกวัดแกว่งมันและเริงระบำอย่างอิสระอยู่ท่ามกลางฝูงของศัตรู
สร้างม่านพลังลมบางๆ รอบตัวผู้ใช้เพื่อช่วยเพิ่มความว่องไว
เมื่อเห็นคำอธิบายแล้ว วาห์นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพอใจกับผลงานครั้งนี้
แม้จะไม่รู้ว่า [อเมซอนเริงระบำ] จะเทียบกับ [เออร์ก้า] ของทีโอน่าได้หรือเปล่า แต่เขาก็เชื่อว่ามันคงไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเท่าไหร่
เพราะจำได้ว่าอาวุธของเธอถูกสร้างโดย [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] วาห์นจึงเริ่มรู้สึกตื่นเต้นเพราะมองว่าตัวเองคงเข้าใกล้ระดับปรมาจารย์มากขึ้นทุกทีแล้ว
สกิล [ช่างตีเหล็ก] ของเขาเองก็อยู่ในระดับ S ดังนั้นสิ่งเดียวที่ยังขาดอยู่ในตอนนี้ก็คือประสบการณ์ ความขยันหมั่นเพียร และเวลาเท่านั้น
เอวานเจลีนเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าเหม่อลอยของวาห์นขณะที่กำลังตรวจสอบอาวุธขนาดใหญ่พิเศษด้วยสีหน้าทะแม่งๆ
ไม่นาน เขาก็เริ่มเหวี่ยงอาวุธไปรอบๆ เพื่อทดสอบและทำให้คิ้วของเธอเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามีพลังงานธาตุลมมาไหลเวียนอยู่รอบตัวของเด็กหนุ่ม
แม้เธอจะมองออกว่าวาห์นมีทักษะการตีเหล็กที่ดีพอใช้ได้ แต่ก็ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะสามารถสร้างอาวุธเวทมนตร์ออกมาได้ง่ายดายแบบนี้
ถ้าพูดตามปกติ การสร้างอาวุธเวทมนตร์นั้นจะต้องใช้แกนคริสตัลคุณภาพสูงหรือไม่ก็วัตถุล้ำค่ามาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา แต่วาห์นกลับสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยทักษะการตีเหล็กแบบเพียวๆ
เอวานเจลีนวางปากกาลงก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวใหญ่ที่วาห์นซื้อให้และใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาเพื่อเข้าไปใกล้วาห์น
เนื่องจากกำลังทดสอบอาวุธอยู่ วาห์นจึงเพ่งสมาธิไปกับพลังเขตแดนและมีสัมผัสเฉียบคมมากพอที่จะจับการเคลื่อนไหวของเอวานเจลีนได้บ้าง
ถึงจะยังจับความเร็วที่แท้จริงของเธอไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็พอจะรู้ตัวเมื่อเธอเข้ามาใกล้
วาห์นนึกว่าเธอจะเข้ามาโจมตีทีเผลอ เขาจึงเข้าเตรียมตั้งท่ารับ แต่เอวานเจลีนกลับมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าและสีหน้าแปลกๆ ราวกับกำลังขำอยู่นิดๆ
เมื่อเห็นเด็กสาวตัวเล็กมองแบบนั้น วาห์นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอายขึ้นมาบ้าง
หากไม่ได้ [จิตแห่งราชัน] มาช่วยประคองอารมณ์เอาไว้ล่ะก็ เขาคงจะเขินจนหน้าแดงไปแล้ว
ก่อนที่จะได้ถามอะไร เอวานเจลีนก็ชิงตอบเสียก่อน
“ฉันอยากจะตรวจสอบอาวุธที่นายสร้างขึ้นหน่อย
ฉันสัมผัสได้ว่ามันอัดแน่นไปด้วยพลังเวทมนตร์และน่าจะเอามาใช้เป็นสื่อนำเวทมนตร์ได้ด้วย
ที่จริงแล้วมันน่าประทับใจมากเลยนะที่นายสามารถตีอาวุธอันนี้ขึ้นมาได้แม้จะอายุยังน้อย
สงสัยเรื่องการเป็น [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] คงจะไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันแบบที่ฉันคิดไว้ซะล่ะมั้ง~”
เธอเอื้อมมือออกมาเป็นเชิงขอและวาห์นก็จ้องไปพักหนึ่งก่อนจะยอมส่งอาวุธให้แต่โดยดี
มันน่าหงุดหงิดมากที่ ‘คำชม’ ของเธอนั้นมักจะมีการเสียดสีแอบแฝงอยู่ แต่เขาก็พอรู้บ้างแล้วว่านั่นคือวิธีที่เอวานเจลีนใช้เพื่อปกปิดอารมณ์ของตัวเอง
เนื่องจากเขามองเห็นออร่าของเธอได้อย่างชัดเจน คงเป็นเรื่องยากหน่อยที่เธอจะมาหลอกเขาด้วยคำพูดและการกระทำ
แม้วาห์นจะระวังเรื่องนี้มากขึ้นหลังได้คุยกับโลกิ แต่เขาก็ปรับวิธีใหม่โดยการอ่านออร่าและจับคู่มันกับค่าความสัมพันธ์ในระบบ
น่าเสียดายที่เขาไม่อาจใช้วิธีนี้กับเธอได้เพราะจนถึงตอนนี้ ค่าความชื่นชอบของเอวานเจลีนนั้นก็ยังไม่ขึ้นมาให้เห็นเลย
หลังจากเอวานเจลีนรับ [อเมซอนเริงระบำ] ไป เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อมือที่ถือมันอยู่ได้ตกลงมา 2 – 3 มิลลิเมตร
แม้จะรู้อยู่แล้วว่าต้องหนักแน่ๆ แต่มันก็เกินความคาดหมายของเธอไปเล็กน้อยเนื่องจากแกนกลางที่เป็นอะดาแมนไทน์
พอกวัดแกว่งมันครั้งสองครั้ง เธอก็สัมผัสได้ถึงสายลมที่ก่อตัวขึ้นรอบๆ ตัวซึ่งทำให้ร่างกายรู้สึกเบากว่าเดิมมาก
แวมไพร์สาวยิ้มนิดๆ ก่อนจะหายตัวไปจากด้านหน้าของวาห์นและจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในระยะที่ห่างไปเกือบ 200 เมตรแทบจะในทันที
วาห์นทึ่งกับความเร็วนั่นมากและสงสัยว่าควรจะไปขอให้เธอมาสอนเขาบ้างดีไหมนะ?
เขาพอดูออกว่ามันเป็นวิชาบางอย่างแต่ก็ยังไม่เข้าใจถึงหลักการทำงานของมัน
ขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด เขาก็มองเห็นเอวานเจลีนกระโดดสูงขึ้นไปในอากาศก่อนจะหยุดลง
สมองของวาห์นเริ่มอื้ออึงเพราะทันทีที่เธอหยุด เขาก็สัมผัสได้ว่ามีพลังเวทจำนวนมหาศาลไหลอยู่ในอากาศราวกับคลื่นอันไร้ที่สิ้นสุดซึ่งสร้างแรงกดดันให้ตนเองเล็กน้อย
เอวานเจลีนอยากเห็นว่าอาวุธยักษ์ชิ้นนี้จะมีประโยชน์ขนาดไหนในฐานะสื่อนำเวทมนตร์ และเธอก็ต้องประหลาดใจเพราะพลังเวทของเธอนั้นเข้ามาหลอมรวมกันในตัวดาบได้อย่างราบรื่น
เธอรู้สึกว่าอาวุธที่อยู่ในมือพอจะเทียบเท่ากับอุปกรณ์ชิ้นเอกที่ถูกสร้างขึ้นโดยช่างตีอาวุธจากอาณาจักรเวทมนตร์เลย
หากไม่ได้เห็นกระบวนการสร้างตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตาตัวเอง เธอก็คงไม่เชื่อว่าวาห์นจะเป็นคนที่ตีมันขึ้นมา
หลังจากพลังเวทของเธอเข้าถึงจุดวิกฤตแล้ว เธอก็หมุนตัวกลางอากาศหนึ่งรอบและโจมตีออกไป
จากมุมมองของวาห์น ในตอนที่เอวานเจลีนหมุนตัวนั้น ทั่วทั้งโลกดูเหมือนจะช้าลงขณะที่ภาพในดวงตาของเขาถูกขยายขึ้นจนถึงระดับที่ชัดอย่างไม่น่าเชื่อ
เขารู้สึกเหมือนตัวเองสามารถมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อภายใต้ผิวหนังและเสื้อผ้าของเธอได้ และยังมองเห็นการไหลของเวทมนตร์ซึ่งให้กำเนิดวงแหวนเวทมนตร์ขนาดเล็กนับพันที่อยู่รอบๆ ตัวของเธอด้วย
การโจมตีนั้นถูกยิงออกมาจาก [อเมซอนเริงระบำ] ซึ่งดูจะเป็นพลังทำลายล้างที่ไม่มีอะไรมันหยุดได้ ก่อนจะชนเข้ากับพื้นดินและส่งคลื่นกระแทกออกมาจนถึงตำแหน่งของที่เขายืนอยู่
วาห์นจ้องมองเสาเวทมนตร์ขนาดยักษ์ที่ดูเหมือนจะพุ่งขึ้นไปถึงสรวงสวรรค์จากตรงตำแหน่งที่เอวานเจลีนเล็งใส่
เมื่อเสานั่นหายไป สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือหลุมขนาดเท่าหุบเขาลึกบนพื้นสีขาวซึ่งก็ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นเอวานเจลีนพยักหน้าอย่างพอใจ วาห์นก็รู้สึกเจ็บปวดที่ดวงตาทั้งสองข้างจนต้องปิดมันลงด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว
จากตำแหน่งของเอวานเจลีน เธอมองเห็นสภาพของวาห์นจนเกิดความสงสัยขณะเคลื่อนย้ายมาใกล้ๆ โดยไม่พูดอะไร
เธอสัมผัสได้ว่ามานาในร่างกายของเขามารวมตัวกันอยู่ที่ดวงตาและบริเวณสมองจนพอจะวินิจฉัยได้ว่าน่าจะมีพลังอะไรบางอย่างตื่นขึ้นมาจากการได้เห็นพลังโจมตีของเธอ
หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที เลือดก็เริ่มไหลออกมาจากดวงตาที่ปิดอยู่ของวาห์น และทำให้เอวานเจลีนเป็นกังวลขณะมองเด็กหนุ่มดิ้นอย่างทุรนทุราย
เนื่องจากไม่เข้าใจเรื่องระบบเวทมนตร์และประวัติข้อมูลของเขาเลย เธอจึงไม่รู้ว่าจะช่วยเด็กหนุ่มยังไงดี
เมื่อวาห์นลงไปคุกเข่าและยกมือขึ้นมาจับดวงตาทั้งสองข้าง เธอก็รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจนิดๆ พร้อมกับกัดฟันและได้แต่เฝ้ามองต่อไปเรื่อยๆ
เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีเต็มกว่าที่พลังงานในร่างกายของเด็กหนุ่มจะเริ่มคงที่
วาห์นล้มคว่ำลงไปกับพื้นขณะที่มีเลือดไหลออกมาเต็มหน้า
ไม่นานหลังจากนั้นสีหน้าเจ็บปวดก็เริ่มสงบลง
หลังจากถอนหายใจโล่งอก เอวานเจลีนก็ใช้พลังเพื่อยกร่างกายของเขาขึ้นและนำมาวางลงบนเตียง ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเลือดออกจากใบหน้าอ่อนเยาว์
หลังจากทำความสะอาดเสร็จแล้ว เอวานเจลีนก็จ้องหน้าวาห์นที่กำลังหมดสติไปอีกสองสามนาทีก่อนที่ความสงสัยจะเอาชนะความคิดอื่นลงได้
เธอใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งเปิดเปลือกตาของวาห์นเพื่อตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น
แม้ว่าดวงตาสีน้ำทะเลจะดูปกติดี แต่เธอก็มองเห็นประกายแสงสีฟ้าบางอย่างที่อยู่รอบๆ รูม่านตา
เอวานเจลีนถอนหายใจยาวๆ ขณะปิดตาของวาห์นลงอีกครั้ง
ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขานั้นเป็นอะไรที่ลึกลับมาก และยิ่งเธออยู่ด้วยนานเท่าไหร่ ความลึกลับนั่นก็ยิ่งจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
เพราะรู้เรื่องอดีตของเขามาบ้าง เธอจึงพอเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกนักวิจัยถึงนำเขามาทดลองตั้งแต่ทีแรก
เธอรู้ว่ามันคงเกี่ยวข้องกับเลือดของเขา แต่ดูเหมือนว่าจะมีอย่างอื่นที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของวาห์นอีกมาก
เอวานเจลีนนั่งลงข้างๆ วาห์นขณะมองไปที่ใบหน้าหลับใหลของเด็กหนุ่มด้วยความสงสัยและยิ่งรู้สึกสนใจมากกว่าเดิม