หลังจากวาห์นพยายามขุดตัวเองออกมาจากพื้น เขาก็เดินกลับไปขณะที่เอวานเจลีนเก็บหนังสือทั้งหมดเอาไว้ในช่องว่างมิติของเธอเรียบร้อยแล้ว
เธอยังคงจ้องมองขณะที่วาห์นเข้ามาใกล้และเริ่มอธิบายโดยที่เด็กหนุ่มยังไม่ทันขยับปาก
“ฉันเก็บหนังสือพวกนี้ไว้อ่านตอนสุดท้าย นั่นคือเหตุผลที่วางพวกมันไว้แบบนั้น
แล้วทำไมนายถึงมีหนังสือหมวดนี้เยอะจัง นี่เป็นพวกโรคจิตขั้นสุดยอดใช่ไหม?”
วาห์นถอนหายใจให้กับคำพูดเชือดเฉือนของเอวานเจลีนและอธิบายเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมีหนังสือมากมายที่เกี่ยวกับวงศาวิทยา การตั้งครรภ์ และการสืบพันธุ์
เขาพูดถึงปัญหาที่เผ่าพันธุ์ต่างๆ ต้องเผชิญ รวมถึงเรื่องที่ภูตวิญญาณและเหล่าเทพนั้นแทบจะมีลูกไม่ได้เลย
เขายังบอกเธอเรื่อง [เอ็นคิดู] และปัญหาที่เขาอาจพบในอนาคต
เอวานเจลีนฟังคำพูดของเขาด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะถามขึ้น
“หมายความว่านายจะทำให้ผู้หญิงทุกคนที่เจอตั้งท้อง ไม่ว่าพวกเธอจะมาจากเผ่าพันธุ์ไหน แม้แต่เทพเองก็ไม่เว้นงั้นเหรอ?”
วาห์นส่ายหัวและขมวดคิ้วก่อนจะตอบกลับ
“เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกันเลยนะ ฉันแค่ทนไม่ได้ที่เห็นคนอยากมีลูกต้องทรมานเพราะแม้พวกเขาจะใช้เวลาทั้งชีวิตก็อาจทำไม่สำเร็จ
เธอคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าเหรอ?”
ขณะที่วาห์นพูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเสียใจกับคำพูดของตัวเอง
เขาจินตนาการแทบไม่ออกเลยว่าคนเหล่านั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง และแค่นึกภาพก็เสียใจแล้ว…
อย่างไรก็ตาม ลิ่งที่วาห์นคิดไม่ถึงก็คือ เบื้องหน้าของเขานั้นคือหนุ่งในคนที่เข้าใจความทรมานของเหล่าเทพธิดาได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากเอวานเจลีนกลายเป็นชินโซแวมไพร์ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน เธอเองก็ไม่สามารถมีลูกได้เช่นกัน
แม้ว่าร่างต้นแบบของเธอจะเคยคิดเรื่องนี้ และบางช่วงก็ปรารถนามันอย่างแท้จริง แต่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้หากร่างกายเป็นแบบนี้
เธอไม่เคยมีแม้แต่ประจำเดือนหรือระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกาย
เนื่องจากร่างกายของเธอจะแปลงแคลอรี่และน้ำให้กลายเป็นพลังงานเวทมนตร์แทน
แม้ว่าคำพูดของเธอที่เกี่ยวกับหนังสือพวกนั้นจะเป็นความจริง แต่เหตุผลหลักที่เธอศึกษาพวกมันอย่างจริงจังก็เพราะอยากรู้ว่าจะพบวิธีแก้ปัญหาของตัวเองหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นแค่ความอยากรู้นิดหน่อยเท่านั้น เพราะเธอเป็นแค่ร่างความทรงจำและไม่สามารถสัมผัสกับประสบการณ์ที่ร่างต้นแบบไม่เคยลองมาก่อนได้
เนื่องจากเอวานเจลีนร่างต้นแบบไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน ดังนั้นแม้ว่าเธอ (ร่างความทางจำ) อยากจะทำมัน เธอก็ไม่สามารถทำได้
หากเธอลองทำดูจริงๆ ร่างความทรงจำก็จะสูญเสียเสถียรภาพและลูกแก้วก็จะพังลง
(A/N: ผมไม่ได้บอกนะว่าเอวาอยากจะมีเพศสัมพันธ์นะครับ แต่ถ้าเกิดอยากมีจริงๆ เธอก็มีไม่ได้ เนื่องจากเธอเป็นชิ้นส่วนความทรงจำ แต่เธอก็ยังอยากรู้และพยายามหาคำตอบในเรื่องนี้อยู่ดี)
เมื่อวาห์นถามเธอว่าคิดมันน่าเศร้าหรือเปล่า เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บแปลบในใจหน่อยๆ
ไม่มีทางเลยที่เธอจะไม่เข้าใจหัวอกและความปรารถนาของเผ่าพันธุ์ต่างๆ อย่างพวกภูตวิญญาณและเหล่าเทพธิดา โดยเฉพาะถ้าพวกเขามีชีวิตอยู่มาหลายล้านปีแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของวาห์นและความโศกเศร้าในดวงตาของเขาขณะนึกถึงความทุกข์ทรมานของคนอื่น เอวานเจลีนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจข้างใน
เธอรู้มานานแล้วว่าวาห์นเป็นพวกวีรบุรุษหัวทึบ แถมยังมีอดีตน่าเศร้าและติดนิสัยที่ไร้เดียงสาเป็นของแถมเพิ่มเติมด้วย
เอวานเจลีนขัดจังหวะความคิดของวาห์นและลืมเรื่องหนังสือไปก่อน ขณะพูดกับเด็กหนุ่ม
“ฉันตื่นเกือบตลอดในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา พลังเวทมนตร์ที่ใช้คงสภาพที่นี่ก็เหลือน้อยมาก
ฉันต้องเติมพลังงานก่อน หลังจากนั้นนายเองก็ไปสร้างไอเท็มของนายต่อเถอะ
แล้วก็… นายได้เอาหนังสือกับของอย่างอื่นมาให้ฉันด้วยไหม?”
เอวานเจลีนไม่อยากพูดเรื่องหัวข้อเมื่อกี้อีก เพราะแม้จะอ่านหนังสือไปหมดแล้ว เธอก็ยังหาคำตอบที่วาห์นกำลังตามหาอยู่ไม่เจอ
เมื่อได้ยินคำพูดของเอวานเจลีน วาห์นก็นำหนังสือที่เขาซื้อเตรียมไว้ออกมาให้
คราวนี้เขาเลือกหนังสือที่เกี่ยวกับนิทานและนวนิยายออกมาเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคิดว่าเธออาจจะสนใจพวกมันกว่าตำราและหนังสือบทสรุปข้อมูล
เนื่องจากเธอเป็นเด็กผู้หญิง เขาจึงคิดว่าเธออาจจะชอบเรื่องความรัก แฟนตาซี และสัตว์วิเศษ
เอวานเจลีนดูเหมือนจะพอใจกับตัวเลือกของเขามาก ก่อนจะโบกมือและยกร่างของวาห์นขึ้นด้วยพลังจิต
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำแบบนี้ วาห์นจึงได้แต่ถอนหายใจและยอมให้เธอเคลื่อนย้ายร่างได้ตามใจชอบ
แม้จะอยากพูดอะไรออกไป แต่ครั้งที่แล้วเธอก็ไม่ฟังอยู่ดีและวาห์นก็ยังไม่อยากถูกจับโยนออกไปเป็นครั้งที่สามด้วย
แม้จะยังเหลือเวลาอีกเยอะ แต่วาห์นก็รู้สึกว่าทุกนาทีนั้นต้องใช้อย่างคุ้มค่าเพื่อเพิ่มทักษะในหลอมสร้างของตนเอง
หลังจากถูกนำมาวางไว้บนเตียง เอวานเจลีนก็คลานขึ้นมาก่อนจะนั่งลงบนตักของเขาอีกครั้ง
วาห์นหลับตาลงในและพยายามผ่อนคลายร่างกาย แต่รอบนี้เอวานเจลีนกลับไม่ได้เริ่มดูดเลือดเขาในทันที
ด้วยความสงสัย วาห์นจึงเปิดตาขึ้นและจ้องไปที่แวมไพร์ตัวน้อยซึ่งกำลังนั่งอยู่บนตัก
เธอดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างและหลังจากพบสายตาของวาห์น เธอก็มองมาที่เขาและถามขึ้น
“นี่นาย… มีผู้หญิงกี่คนกันแน่นะ?”
วาห์นพบว่ามันแปลกที่เธอเลือกที่จะถามขณะกำลังนั่งอยู่บนตัก แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นข้อมูลลับอะไร จึงพูดออกไปตามจริง
“ถ้ารวมกันแล้ว… ก็น่าจะประมาณ 20 ถึง 30 คนมั้ง?
แต่ถ้าเธอถามถึงความสัมพันธ์ที่พิเศษหน่อยก็… ฉันมีคู่หมั้น 2 คน, คนรัก 2 คน, ‘คู่ครอง’ 1 คน แล้วก็พวกสาวๆ อีกสองสามคนที่รู้สึกดีกับฉันด้วยแต่ยังไม่ได้คบกันจริงจัง”
ขณะที่วาห์นเล่าเรื่องผู้หญิงของเขาให้ฟัง เอวานเจลีนก็มองเขาด้วยสีหน้ารังเกียจ ‘เดียดฉันท์’
หลังจากที่เขาอธิบายทุกอย่างหมดแล้ว เธอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อและเริ่มดูดเลือดของเขาทันที
แม้ว่าวาห์นจะสับสนนิดหน่อย แต่เขาก็แค่ผ่อนคลายร่างกายก่อนจะใช้มือโอบเอวของเธอแบบหลวมๆ
เขาเพลิดเพลินไปกับความอบอุ่นที่แผ่กระจายไปทั่วร่างและเริ่มรู้สึกเหมือนจะงีบหลังจากเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง
หลังจากวาห์น ‘สวมกอด’ เธอแล้ว เอวานเจลีนก็พักร่างของตัวเองไว้กับเด็กหนุ่มและเพลิดเพลินไปกับความอบอุ่นของเขาขณะค่อยๆ ดูดเลือดออกมา
เนื่องจากวาห์นเป็นเพียงคนๆ เดียวที่เขามาในนี้และอีกไม่นานเธอก็คงจะหายไป เอวานเจลีนจึงอยากเพลิดเพลินกับความสบายเล็กๆ น้อยๆ ให้มากที่สุด
เธอไม่คิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในผู้หญิงของวาห์น แต่ก็รู้ว่าเขาน่าจะยอมรับเธอได้หากเธอต้องการจริงๆ
ความสัมพันธ์ทั้งหมดที่วาห์นพูดมานั้น ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นฝ่ายรับซะมากกว่า ดังนั้นเธอจึงสามารถใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ได้
วาห์นรู้เรื่องที่เธอกำลังคิดอยู่เลย และยังคงเพลิดเพลินไปกับความอบอุ่นภายในร่างจนกระทั่งผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง
เนื่องจากมันใช้เวลามากกว่าคราวก่อน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“รอบนี้เธอใช้มานามากกว่าครั้งก่อนๆ อีกเหรอ…?”
เอวานเจลีน ผู้ที่กำลังดูดจ๊วบๆ อย่างสบายอารมณ์ก็สะดุ้งขึ้นมาทันทีก่อนที่เธอจะหยุดลงและขยับออกจากร่างกายของเด็กหนุ่มโดยไม่คิดจะตอบคำถาม
เธอหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาและเดินไปที่โต๊ะขณะพูดด้วยน่ำเสียงไม่พอใจ
“ก็ได้ ถ้าฉันทำให้นายรำคาญมากนักก็ไปเล่นของเล่นของนายนู่นเลย ไอ้ลูกศิษย์งี่เง่า…”
ขณะที่วาห์นคลานออกจากเตียง เขาก็เกือบจะสะดุดตกเตียงเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ
เขาอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่าทำไมเธอต้องเกรี้ยวกราดแบบนี้ด้วย แม้บางครั้งจะเห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้โกรธเขาจริงๆ
วาห์นส่ายหัวไปมาก่อนจะเดินไปยังที่ทำงานของตัวเองและเริ่มสร้างอุปกรณ์ชิ้นใหม่
เขามีความมั่นใจมากแล้วหากเป็นเรื่องของการผลิตอาวุธ แต่ก็ยังอยากฝึกฝนทักษะในการสร้างอุปกรณ์ชนิดอื่นด้วย
เนื่องจากเขามักจะใช้เกราะแขนและเกราะขา วาห์นจึงตัดสินใจที่จะสร้างพวกมันขึ้นมาเพื่อใช้เป็นการส่วนตัว
[ถุงมือเหล็กดามัสกัส] เป็นอุปกรณ์ส่วนใส่ที่เขาใช้ไประยะหนึ่งนั้นอยู่ที่ระดับ C ขณะที่ [อเมซอนร่ายรำ] ที่สร้างขึ้นเมื่อไม่นานนั้นอยู่ระดับ A
วาห์นมั่นใจมากว่าเขาสามารถอัพเกรดอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้แน่ และอาจจะได้รับ OP เพิ่มเติมด้วย
เพราะว่าการแปลงร่างด้วยสกิล [ร่างจตุรเทพ] วาห์นจึงรู้ว่ามันไม่มี ‘วิธีที่ดีที่สุด’ ในการออกแบบและสร้างเกราะแขนอันใหม่ของเขา
เพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับร่างพยัคฆ์ขาว สิ่งเดียวที่จำเป็นต้องคิดเผื่อก็คือตัวเกราะแขนจะต้องไม่ไปขวางทางกรงเล็บของตัวเอง
นอกจากนี้ มันยังต้องสามารถต้านทานอุณภูมิได้ในระดับที่สูง เพราะเขามักจะดูดซับพลังธาตุไฟเข้าไปในร่างกายเพื่อเพิ่มความสามารถในการโจมตี
วัตถุดิบที่วาห์นเลือกใช้นั้นคือส่วนประกอบที่ทำมาจากอะดาแมนไทน์และมีแกนเป็นโอริแคลคัม
อะดาแมนไทน์มีคุณสมบัติในการต้านทานความร้อนได้สูงและเป็นวัตถุดิบชั้นยอดที่ช่างตีเหล็กนำมาใช้ทำอุปกรณ์ป้องกันตัว
ขณะที่โอริแคลคัมนั้นมีแผงวงจรมานาที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามิธริลเสียอีก
วาห์นอยากจะทำเกราะแขนคู่หนึ่งเพื่อใช้ในระยะยาว ดังนั้นเขาจึงใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดในตอนนี้
เพื่อเพิ่มพลังป้องกันให้มากขึ้นอีก เขาจึงเจาะรูที่อะดาแมนไทน์ก่อนจะใช้ ‘เพลิงนิรันดร์’ ในการฝังเกล็ดมังกรจริงๆ เข้าไปที่ด้านนอกของตัวเกราะแขน
สำหรับภายในนั้น เขาใช้หนังของโกไลแอธและยึดทุกอย่างเข้าด้วยกันด้วยเส้นเอ็นของไซคลอปส์
เกือบเจ็บชั่วโมงต่อมา วาห์นก็ได้รับเกราะแขนคู่ใหม่
มันมีสีดำเข้มซึ่งสะท้อนแสงออกมาเป็นสีม่วงแวววาว โครงอะดาแมนไทน์ทำให้ช่องว่างระหว่างเกล็ดมีสีทองซึ่งวาห์นคิดว่ามันดูโอ่อ่ามากและมีธีมสีเดียวกับชุดทำพิธีของอนูบิส
หลังจากคิดอยู่หลายนาที วาห์นก็นึกถึงชื่อของสัตว์เทพทั้งสี่และคิดว่าจะตั้งชื่อเกราะแขนตามร่างเต่าที่ตนใช้
เนื่องร่างของเขาจะมีเกล็ดออกมาเช่นกัน และทั้งร่างกับไอเท็มชิ้นนี้ต่างก็เพิ่มพลังป้องกันให้มากพิเศษ
วาห์นจึงรู้สึกพอใจกับความคิดนี้มากและตั้งชื่อให้มันว่า [เต่าทมิฬผู้ปกป้อง]
[เต่าทมิฬผู้ปกป้อง]
ระดับ: A (เวทมนตร์)
ช่อง: 1
พลังป้องกัน: 641
พลังป้องกันเวท: 620
คุณสมบัติ: ดูรันดัล(A) ดูดซับแรงกระแทก(B) บีบอัดพลังงาน(B)
เป็นเกราะแขนที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ‘เต่าทมิฬ’ หนึ่งในสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากดินแดนที่ห่างไกล
เกราะแขนได้รับพลังส่วนหนึ่งจากเต่าทมิฬและทำให้ผู้ใช้เลียนแบบพลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ได้
หลังจากตั้งชื่อให้เกราะแขนแล้ว เขาก็ได้รับ 1,408 และ 1,417 OP สำหรับเกราะแขนแต่ละข้างและรู้สึกตื่นเต้นมากหลังได้อ่านคำอธิบาย
(TL: ได้ OP สองครั้งเพราะมีสองข้าง ไม่ได้นับเป็นคู่)
เนื่องจากเขาคิดถึงเต่าทมิฬตอนตั้งชื่อให้เกราะแขน พวกมันแต่ละข้างจึงได้รับความสามารถบางส่วนจากร่างเต่าที่เขาใช้
วาห์นสวมใส่เกราะแขนทั้งสองข้างอย่างไม่ลังเล ก่อนจะใช้ร่างพยัคฆ์ขาวและเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่ว่างซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำงานของตน
เอวานเจลีนเองก็ให้ความสนใจกับวาห์นอยู่ตลอด ดังนั้นเมื่อเขาทำเกราะแขนเสร็จ เธอก็เริ่มสำรวจพวกมันเช่นกัน
มันมีสภาพเหมือนกับอาวุธขนาดยักษที่เขาตีขึ้นก่อนหน้านี้
เกราะแขนชิ้นนี้ก็เป็นไอเท็มเวทมนตร์ที่มีคุณภาพและคุณสมบัติคล้ายกัน
การที่เขาสามารถสร้างอุปกรณ์ชั้นสูงแบบนี้ได้อย่างต่อเนื่องทำให้เธอประหลาดใจอยู่ตลอด และเธอก็สงสัยเกี่ยวกับความสามารถของพวกมันมาก
ดูเหมือนวาห์นกำลังจะทดสอบพวกมันแล้ว เธอจึงหยุดปากกาในมือและเฝ้าสังเกตการณ์ต่อไปด้วยสายตาครุ่นคิด
วาห์นกางขาออกเพื่อตั้งท่าต่อสู้โดยที่นำเท้าซ้ายไว้ด้านหน้าและทำให้ร่างกายเข้าสู่จุดสมดุลขณะยืดหลังตรง
เขาหายใจออกยาวๆ เป็นเวลาหลายวินาที จากนั้นก็สูดหายใจเข้าอย่างรวดเร็วก่อนจะบิดสะโพกและปล่อยหมัดออกไปอย่างรุนแรงจนทำให้อากาศเกิดการเสียดสี
ตอนที่หายใจยาวๆ อยู่นั้น วาห์นได้ส่งพลังงานของตนเข้าไปในเกราะแขนและส่วนที่เป็นเกล็ดก็เริ่มเปล่งแสงออกมาเป็นสีเขียวอ่อนๆ
เมื่อชกมันออกไปข้างหน้า มันก็เหมือนกับปืนใหญ่อากาศถูกยิงออกไป และวาห์นยังมองเห็นถึงการไหลเวียนของอากาศรอบกำปั้นซึ่งถูกบีบอัดจนมีรูปร่างคล้ายเสาและพุ่งออกไปเกือบสิบเมตรก่อนจะสลายออก
แม้ว่าจะไม่น่าประทับใจเท่ากับตอนที่ใช้ร่างเต่า แต่วาห์นก็ยังพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างมาก
ตอนนี้ แม้ว่าจะต้องสู้กับมอนสเตอร์หนังหนาด้วยมือเปล่า เขาก็ยังสามารถสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในของพวกมันได้ด้วยการปล่อยหมัดใส่แบบตรงๆ
วาห์นรู้สึกว่าถ้าได้สู้กับโกไลแอธอีกครั้ง เขาจะต้องได้รับชัยชนะโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาการใช้ร่างนกไฟเลยด้วยซ้ำ