Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 169

ตอนที่ 169

ผ่านไปประมาณห้าชั่วโมงหน่อยๆ ตั้งแต่ที่เขาหลับไป

วาห์นตื่นขึ้นมาอีกครั้งและสังเกตเห็นร่างที่เริ่มจะคุ้นเคยจากทางด้านซ้ายของตน

อย่างที่เขาคาดไว้ เอวานเจลีนได้มาขดตัวเข้าหาและใช้หัวไหล่และต้นแขนของเขาต่างหมอน

มือซ้ายของเธอนั้นแนบติดไปกับแผงอกของเขาขณะที่ขาทั้งสองข้างก็มาก่ายอยู่ตรงท้อง

วาห์นสังเกตว่าเธอชอบนอนขดตัวเป็นลูกบอลราวกับว่ากลัวจะสูญเสียความอบอุ่นไป

เพราะเขามี ‘เพลิงนิรันดร์’ อยู่ในหน้าอก วาห์นจึงมักจะนอนเหยียดยาวบนตัวผ้าห่มและเพลิดเพลินกับความรู้สึกของอากาศที่เข้ามาสัมผัสผิวของตัวเอง

ไม่นานหลังจากที่วาห์นตื่น เอวานเจลีนก็ลืมตาและยกร่างของเธอขึ้นโดยใช้หน้าอกของเขาเป็นเครื่องพยุงตัว

เธอมองเข้าไปในดวงตาสีตาสีน้ำทะเลก่อนจะเอนราบไปกับร่างกายของเขา

วาห์นรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของเธอเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดเธอขณะเสียงหัวใจของตัวเองเริ่มเต้นเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย

เอวานเจลีนวางจมูกของเธอไว้ที่ลำคอก่อนจะลากมันผ่านใบหน้าได้รูปขณะเคลื่อนตัวขึ้นไปอยู่บนท้องของเขาแทน

เนื่องจากสีผมที่คล้ายกับใครอีกคนนึง วาห์นจึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนอยู่กับไอส์

ในขณะที่เริ่มว้าวุ่นใจเล็กน้อย วาห์นก็รู้สึกเจ็บอย่างรุนแรงตรงส่วนลำคอที่เอวานเจลีนกำลังเอาหน้าไปซบอยู่

ความตึงเครียดของเขาจางหายไปทันทีจนรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา แต่ก็ตัดสินใจที่จะผ่อนคลายร่างกายแทนและปล่อยให้คนตัวเล็กทำตามใจชอบ

แม้เธอไม่ได้เอ่ยปากขอดูดเลือด แต่การกระทำนั่นก็บ่งบอกความต้องการของเธอได้ดีอยู่แล้ว และเขาเองก็ไม่ได้มาห้ามปรามอะไรตั้งแต่แรกด้วย

วาห์นเริ่มผ่อนคลายขณะโอบแขนไปรอบๆ ร่างเล็กและสวดกอดเธออย่างอ่อนโยน

เอวานเจลีนยังคงดูดเลือดของเด็กหนุ่มต่อไปอย่างเงียบๆ และช้ากว่าปกติ

เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความรู้สึกรื่นรมย์ที่แพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆ รวมถึงความรู้สึกนุ่มนิ่มที่มีเอวานเจลีนมากดทับอยู่ตรงท้องและแผงอกด้วย

แม้ว่าเธอจะตัวเล็กและเบาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่วาห์นก็คิดว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ พร้อมกับที่หน้าอกขนาดเล็กเข้ามาแนบกับของเขาเองและทำให้หัวใจสั่นไหวเล็กน้อย

หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง วาห์นก็รู้สึกว่าเอวานเจลีนเริ่มเลียคอของเขาในแบบที่คล้ายกับการดูดเลือดครั้งแรก

จากครั้งที่ผ่านๆ มาทำให้เขารู้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย

วาห์นพอบอกได้จากออร่าสีชมพูบางๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากร่างเล็กว่าเอวานเจลีนอยากทำตัวใกล้ชิดกับเขาให้มากกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม วาห์นรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับเธอในช่วงหลายวันที่ผ่านมาว่าหญิงสาวอาจตกใจเป็นกระต่ายตื่นตูมหากเขาทำอะไรที่หุนหันพลันแล่นเกินไป

เขาเลยแค่เพิ่มแรงให้กับมือซ้ายที่กำลังโอบรอบเอวบางอีกเล็กน้อยและขยับมือขวามาไว้ที่กลางหลังเพื่อกอดร่างของเธอ

เอวานเจลีนหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็กลับมาเลียคอเป็นช่วงๆ และดูดเลือดโดยไม่พูดอะไร

เธอยังคงทำแบบนี้ต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งลำคอและกระดูกไหปลาร้าของวาห์นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายของเธอ

หลังจากแนบริมฝีปากลงบนกล้ามเนื้อที่หว่างคอและไหล่ เธอก็เริ่มดูดตรงส่วนนั้นอยู่หลายวินาทีโดยที่ไม่ได้ฝังเขี้ยวเข้าไป

วาห์นรู้สึกว่ามันทำให้เขาเจ็บนิดๆ และอดไม่ได้ที่จะเอียงศีรษะไปด้านข้างเพื่อเป็นการตอบสนอง

จากนั้นเอวานเจลีนก็ขยับปากไปยังบริเวณใต้หูของเขาและเริ่มดูดตรงส่วนนั้นโดยที่ไม่ได้เรียกเลือดออกมาเช่นกัน

วาห์นไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเท่าไหร่นักเมื่อมีคนมาดูดที่ผิวหนังอย่างรุนแรง

เขารู้สึกว่าเธอพยายามที่จะดูดเลือด แต่กลับลืมใช้เขี้ยวตัวเองงั้นเหรอ?

หลังจากที่เธอทำซ้ำอีกสามครั้ง เอวานเจลีนก็ลุกขึ้นมานั่งบนท้องของเขาด้วยสีหน้าเหม่อลอย

ภาพลักษณ์อันสูงส่งที่เธอพยายามรักษาไว้เสมอๆ นั้นยังมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่ใบหน้าสีแดงก่ำก็เผยให้เห็นความรู้สึกแท้จริงที่เธอเก็บซ่อนเอาไว้

เอวานเจลีนวางมือทั้งสองข้างไว้บนหน้าอกของวาห์นและกดมันลงกับเสื้อราวกับว่ากำลังพยายามสัมผัสกล้ามเนื้อด้วยฝ่ามือเล็กๆ ของเธอ

ขณะลากมือผ่านไปที่หัวไหล่กำยำ เอวานเจลีนก็โน้มตัวไปข้างหน้าและจ้องเข้าไปในดวงตาของวาห์นก่อนจะกระซิบเบาๆ

“สักวันนายต้องโดนผู้หญิงไม่ดีกินเข้าไปแน่นอน… ถ้ารู้สึกไม่ดีตรงไหนก็หัดปฏิเสธคนอื่นไว้บ้างก็ได้นะ”

วาห์นจ้องประสานตากับเธอขณะตอบกลับไป

“ก็ไม่เชิงไม่ดีหรอก แถมอย่างอื่นก็ดีหมดเลย…”

พอพูดจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือจากสะโพกของเธอลงไปที่ด้านล่าง ซึ่งแตกต่างจากของเฮเฟสตัสและอนูบิสไปบ้าง

เอวานเจลีนดูเหมือนจะไม่ค่อยไม่มีอะไรให้คว้าติดไม้ติดมือมากนัก แต่บั้นท้ายของเธอก็ยังนุ่มและมีเนื้อเล็กน้อย

จังหวะที่มือของวาห์นเข้าสัมผัสกับมัน เอวานเจลีนก็หน้าแดงขึ้นไปอีกและเริ่มขมวดคิ้วโดยที่ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา

วาห์นสังเกตเห็นว่าออร่าของเธอเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มและดูวุ่นวายขึ้นอีกเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงตีความได้ว่าเธอไม่ว่าอะไร

เขาเผยรอยยิ้มนิดๆ ก่อนจะลองอะไรอีกหน่อยและใส่แรงเข้าไปที่มือให้มากขึ้น

ช่วงเวลาที่วาห์นบีบบั้นท้ายของเธออย่างแน่นแฟ้น เอวานเจลีนก็ร้องเสียงแหลมก่อนจะแอ่นตัวออกห่างและทุบแผงอกของวาห์นอย่างไร้เรี่ยวแรง

หลังจากทำคอมโบด้วยการทุบไปจนครบร้อยครั้ง เธอก็ถอยห่างจากร่างของเขาก่อนจะใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายเพื่อหนีออกไปนอกระยะเงื้อมมือลูกศิษย์โรคจิตของเธอ

เธอไม่มีทางบอกให้เขารู้แน่นอน ว่าตอนที่วาห์นจับมันไว้อย่างแน่นหนานั้นทำเธอรู้สึกมีความสุขนิดๆ

ก่อนหน้านี้ เธอได้ทำเครื่องหมายไว้ที่คอกับไหล่ของเขาด้วยการจูบที่สร้างรอยช้ำมากมายและรู้สึกพอใจกับผลงานของตัวเองมาก

จนกระทั่งวาห์นเริ่ม ‘เอาคืน’ บ้าง และเธอก็ทนต่อไปไม่ไหวจนต้องรีบเผ่นออกไปทันที

พอเอวานเจลีนถอยทัพออกไปแล้ว วาห์นจึงลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะบิดตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่งและกลับไปที่ห้องทำงานของตน

พอเห็นว่ายังมีเวลาเหลืออีกประมาณสิบเก้าชั่วโมง วาห์นจึงอยากลองสร้าง ‘ผลงานชิ้นเอก’ อีกชิ้นเพื่อผลักดันทักษะ [ช่างตีเหล็ก] ให้สูงขึ้นกว่าเดิม

การปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญและวาห์นเชื่อว่าเขาจะสามารถเรียนรู้สกิล [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] ได้ก่อนเดนาตัสครั้งต่อไปแน่นอน

เนื่องจากวาห์นได้สร้างไอเท็มเพื่อเป็นของขวัญแก่ทีโอน่าเสร็จแล้ว เขาจึงอยากสร้างไอเท็มให้ไอส์ดูบ้าง

เพราะรู้ว่าการให้ของขวัญแบบ ‘ไม่ครบคน’ นั้นย่อมทำให้เกิดปัญหาขึ้น เขาจึงไม่คิดจะเสี่ยงให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับตัวเอง

แม้จะเคยมอบ [ดาบอาคมทามาฮากาเนะ] ให้เธอไปแล้ว แต่วาห์นก็อยากให้ของที่เขาสร้างขึ้นเองมากกว่า

พอจำได้ว่าไอส์มักจะทำลายอาวุธของตัวเองเนื่องจากพวกมันทนแรงของเธอไม่ได้ วาห์นจึงตัดสินใจลองสร้างอาวุธที่คล้ายกับดาบในมังงะของเธอ

เขามีอะดาแมนไทน์อยู่เป็นจำนวนมากและยังสร้างอาวุธที่มีคุณสมบัติ [ดูรันดัล] มาหลายชิ้นแล้วด้วย

(TL: [ดูรันดัล] = ไม่สามารถทำลายได้ แต่ต้องดูระดับคุณสมบัติด้วย ถ้าเจอกับพวกที่มีคุณสมบัติทำลายอาวุธที่มีระดับสูงกว่าก็อาจจะไม่รอด)

อย่างไรก็ตาม ของขวัญชิ้นนี้จะต้องไม่เหมือนกับดาบดั้งเดิมของเธอที่มีแค่คุณสมบัติทนทานสูง

วาห์นต้องการให้อาวุธที่เขาสร้างขึ้นนั้นเป็นสื่อนำเวทมนตร์ชั้นยอดด้วย

เขาหล่อใบดาบที่บางเหลือเชื่อจนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นกระบี่ซึ่งทำมาจากโอริแคลคัมบริสุทธิ์

นั่นจะทำให้ตัวอาวุธสามารถไหลเวียนมานาได้ในปริมาณมากและเสริมพลังโจมตีอันน่าทึ่งของไอส์เข้าไปอีก แถมมันยังทำให้ทำให้เธอใช้เวทมนตร์ [แอเรียล] ได้ดียิ่งขึ้นด้วย

จากนั้นเขาก็พยายามเคลือบอะดาแมนไทน์ไปรอบๆ แกนกลางที่เป็นโอริแคลคัมโดยลดขนาดเขตแดนให้เหลือน้อยที่สุดและใช้มันบีบอัดรูปร่างของโลหะในขณะที่เพิ่มความร้อนไปด้วย

ผลลัพธ์ที่ได้จากความพยายามมากถึงห้าชั่วโมงก็คือใบดาบสีขาวบริสุทธิ์ที่ดูแวววาวและไร้ตำหนิใดๆ ทั้งสิ้น

ก่อนจะดำเนินการต่อ วาห์นก็ใช้พลังเข้าตรวจสอบการไหลของมานาในส่วนแกนกลางเพื่อความแน่ใจ

อะดาแมนไทน์นั้นยังทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้พลังงานรั่วไหลออกไปและมันยังทำให้ตรงส่วนขอบของใบดาบเกิดประกายสีขาวอมฟ้าหลังใส่มานาเข้าไป

วาห์นรู้สึกพอใจกับผลที่ออกมามาก เพราะคุณสมบัติต่างๆ ของมันยังทำให้ไอส์ไม่ต้องมากังวลเรื่อง ‘ดาบทื่อ’ (จากการโดนเลือดกับของเหลวต่างๆ และทำให้อุปกรณ์สึกหรอ) ในระหว่างที่สำรวจดันเจี้ยนเป็นเวลานานเนื่องจากไม่มีเวลามาทำความสะอาดมันอยู่ตลอด

จากนั้นวาห์นก็ใช้เวลาอีกสามชั่วโมงในการสร้างด้ามจับที่ดูกลมกลืนไปกับตัวดาบ

เขาตัดสินใจใช้อะดาแมนไทน์เป็นวัตถุดิบหลัก (TL: สีขาว) ขณะตกแต่งบางส่วนด้วยโอริแคลคัมที่มีสีทอง

ผลลัพธ์ก็คือดาบสีขาวและประดับไปด้วยสีทองเล็กน้อย โดยวาห์นทำรูปร่างของมันออกมาให้ดูมี ‘สง่าราศี’ ที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อถึงเวลาตั้งชื่อ วาห์นก็นึกถึงตำนานของฟาฟเนียร์ที่ศึกษาไว้ตอนตั้งชื่อให้กับมังกรตัวเอง

ในตำนานกล่าไว้ว่า ‘มังกรปีศาจได้ถูกสังหารลงโดยวีรบุรุษที่มีนามว่าซิกเกิร์ดผู้ใช้ ‘แกรม’ ดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้ามังกรได้เห็นในวาระสุดท้าย’

วาห์นรู้สึกว่าชื่อนี้ฟังดูมีพลังแฝงอยู่มากพอควร พร้อมหวังว่าดาบเล่มนี้จะช่วยให้ไอส์สังหารมังกรดำตาเดียวลงได้จะจบภารกิจที่ค้างคามานาน

[แกรม]

ระดับ: A (เวทมนตร์)

ช่อง: 0

พลังโจมตี: 728+70

พลังโจมตีเวทมนตร์: 331

คุณสมบัติ: ดูรันดัล(A), ความคม(B), เจาะทะลวง(C), ดราก้อนสเลเยอร์(A)

ดาบที่สร้างขึ้นจากอะดาแมนไทน์และมีแกนเป็นโอริแคลคัม เพื่อเชิดชูตำนานของวีรบุรุษผู้สังหารมังกรต้องตำสาป

เพิ่มความสามารถอย่างมหาศาลเมื่อใช้ต่อสู้กับมังกรและสายพันธุ์ย่อยของมังกร

วาห์นได้รับ 3,881 OP จากการทำดาบเล่มนี้และเขาก็พอใจกับคุณสมบัติ ‘ดราก้อนสเลเยอร์(A)’ มากเลย

แน่นอนว่าเขาคงจะไม่หลอกตัวเองว่าดาบนี้แข็งแกร่งพอที่จะฆ่ามังกรดำตาเดียวได้ แต่มันก็เป็นต้นแบบที่ดีสำหรับดาบในอนาคตที่เขาจะทำให้ไอส์

เขาตั้งใจจะใช้ [ผู้ดูแลบันทึกแห่งนภา] เพื่อตั้งชื่อให้กับ [แกรม] ชิ้นต่อไปและหวังว่ามันจะได้ทำตามที่ตำนานกล่าวไว้จริงๆ

เมื่อลองหา [แกรม] เล่มจริงจากร้านค้า เขาก็พบว่ามันมีราคาถึง 13,000,000 OP จนรู้สึกหวังกับชื่อของมันนี้ไว้มากพอควร

กระบวนการทั้งหมดในการสร้าง [แกรม] นั้นใช้เวลาไปเกือบเก้าชั่วโมง ดังนั้นวาห์นจึงมีเวลาเหลืออยู่น้อยกว่าสิบชั่วโมงก่อนจะถูกส่งออกไป

เขาคาดไว้ว่าเอวานเจลีนน่าจะกำลังทดสอบคทาอยู่ และคงอยากจะดื่มเลือดอีกครั้งก่อนที่เขาจะถูกส่งออกไปแน่นอน

วาห์นอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเธอจะมีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่อีกและรู้สึกอยากจะแกล้งเธอให้หนักกว่าเดิม

ถึงรู้ว่าช่วงนี้ควรจะคุมพฤติกรรมของตัวเองไว้บ้าง แต่มันเป็นเรื่องยากสุดๆ เมื่อมีสาวน้อยน่ารักมาปีนอยู่บนร่างกายนานเป็นชั่วโมง

เนื่องจากยังไม่ต้องการเริ่มสร้างไอเท็มยากๆ ในตอนนี้ วาห์นจึงตัดสินใจเข้าสู่โหมดการผลิตจำนวนมากเพื่อพัฒนาประสานงานระหว่างเขาและ ‘เพลิงนิรันดร์’

เขาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในการสร้างดาบแต่ละเล่ม ดังนั้นกว่าเอวานเจลีนจะกลับมา เขาก็คงสร้างมันไปแล้วถึงสิบสามเล่ม

แต่ทว่าเธอปรากฏตัวขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้มาก และวาห์นเห็นออร่าของหญิงสาวกำลังสั่นไหวไปมาและมีสีชมพูอ่อนๆ ขณะรอเขาเก็บกวาดห้องทำงาน

ทันทีที่เช็ดตัวเสร็จแล้วและวางผ้าลงแล้ว วาห์นก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักขณะที่วานเจลีนพาเขามาไว้บนเตียงแบบเงียบๆ

วาห์นจ้องมองสีหน้าเรียบๆ ของแวมไพร์ตัวน้อยขณะที่เธอตามร่างของเขามาติดๆ

เขาเกือบจะหลุดขำเพราะเห็นว่ายิ่งเข้าใกล้เตียงมากเท่าไหร่ ออร่าของเธอก็ยิ่งสั่นไหวมากขึ้น

หลังถูกหย่อนบนเตียงอย่างไม่เป็นท่า วาห์นก็ยิ้มเล็กน้อยไปทางหญิงสาวที่คลานตามขึ้นมาแทบจะทันที

เอวานเจลีนเห็นรอยยิ้มของเขาจนตัวแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แต่การแสดงออกของเธอก็ไม่เปลี่ยนไปมากนักและได้มานั่งอยู่บนจัวของเขาเรียบร้อยแล้ว

มันแตกต่างไปจากวันก่อนๆ ที่วาห์นเอาแต่นอนให้เธอดูดเลือดได้ตามใจชอบมาก

การที่มีผู้หญิงมานั่งอยู่บนท้องขณะต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันไปเรื่อยๆ นั้นให้ความรู้สึกที่ยั่วยวนจริงๆ

มันทำให้หัวใจของวาห์นสั่นไหวเล็กน้อยและเขาก็เกือบจะยื่นมือออกมา ‘ประจำตำแหน่ง’ ก่อนที่เธอจะเริ่มเสียอีก

เมื่อเห็นท่าทาง ‘บื้อๆ’ และใบหน้าคาดหวังของวาห์น เอวานเจลีนก็อยากจะสาปแช่งและทุบตีไอ้เด็กที่นั่งหน้ายิ้มๆ อยู่นี่เหลือเกิน

ยิ่งเขายิ้มมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งระงับความเขินอายได้ยากขึ้นเท่านั้น

ภายในสิบเจ็ดชั่วโมงที่หายตัวไป เธอก็ได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้วว่าจะไม่ยอมถอยง่ายๆ แน่นอน

หลังจากสูดหายใจเข้าออกแรงๆ ชุดสีดำบนร่างของเอวานเจลีนก็ถูกแทนที่ด้วยชุดนอนหลวมๆ กึ่งโปร่งใสที่เธอเคยใส่เมื่อสามวันก่อน

วาห์นสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงและสีหน้าที่แดงก่ำของเอวานเจลีนซึ่งพยายามสงบตัวสงบใจอย่างเต็มที่

เนื่องจากนี่เป็นโอกาสเหมาะ วาห์นจึงมองชุดนั้นแบบคร่าวๆ จนรู้สึกถึงแรงกดดันเล็กน้อยที่จมูก

แม้มันจะไม่ได้ ‘เผย’ ให้เห็นอะไรเลย แต่เสื้อคลุมหลวมๆ แบบกึ่งโปร่งใสนี่ก็มีช่องเปิดตรงหน้าท้องซึ่งเผยให้เห็นสะดือของหญิงสาวได้อย่างชัดเจน

ทว่าสะดือที่ดูน่ารักของเธอก็ไม่ใช่ที่ดึงดูดความสนใจของวาห์นมากนัก แต่เป็นชุดชั้นในลายลูกไม้สีดำอยู่ตรงหน้าท้องของเขาต่างหาก

แน่นอนว่ามันไม่ต่างจากชุดชั้นในอื่นๆ ที่ปกปิดส่วนสำคัญเอาไว้ แต่ไอ้ส่วนที่มันสำคัญรองลงมากลับเป็นแบบกึ่งโปร่งใสนี่สิที่น่าเป็นห่วง

รวมๆ แล้วมันทำให้เธอดูน่าเย้ายวนมากกว่าตอนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าเสียอีก

ก่อนที่วาห์นจะได้จ้องมองเรือนร่างด้านหน้าต่อไปเรื่อยๆ เอวานเจลีนก็โน้มตัวเข้ามาหาและนำศีรษะมาพักอยู่ข้างๆ กับของเขาเอง

วาห์นสัมผัสได้ถึงความร้อนจากร่างกายของเธอจนรู้สึกเสียดายที่ตนใส่เสื้อทิ้งไว้

เขายังรู้สึกถึงเสียงหัวใจของเธอที่เต้นเร็วกว่านกฮัมมิงเบิร์ดกระพือปีกซะอีก

หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็กระซิบข้างหูด้วยเสียงกระเส่านิดๆ

“ต่อไปให้เรียกฉันว่าเอวานะ…”

ทันทีที่เธอพูดจบ เอวาก็กัดลงมาที่คอของวาห์นและเริ่มดูดเลือดของเขาอย่างใกล้ชิด

วาห์นรู้สึกตั้งตัวไม่ทันกับ ‘คำขอ’ ของเธอ แต่ความงุนงงของเขาก็หายไปทันทีที่รู้สึกว่ามีบางอย่างแหลมคมแทงเข้าไปที่คอของตัวเอง

เหมือนกับตอนก่อนหน้านี้โดยที่ไม่ต้องมาเล้าโลมให้มากความ เอวาเริ่มดูดเลือดของเขาพร้อมกับโลมเลียลำคอไปด้วยราวกับเป็นลูกแมวหิวนม

และอย่างที่เขาเคยทำทุกครั้ง วาห์นโอบเอวของเอวาไว้ แต่คราวนี้มันกลับต่างไปจากครั้งอื่นๆ มาก

เนื้อผ้าของชุดที่เธอสวมอยู่นั้นบางสุดๆ และวาห์นแทบจะรู้สึกถึงผิวหนังและความร้อนจากเรือนร่างของเธอผ่านฝ่ามือของตัวเอง

นอกจากผิวจะนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว เธอยังมีอุณหภูมิร่างกายที่สูงมากเมื่อเทียบกับหญิงสาวคนอื่นๆ ที่เขาเคยกอดมา

ผิวขาวเกือบซีดนั้นถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงจางๆ และวาห์นยังเห็นออร่าที่กำลังลุกไหม้ราวกับมีชีวิต

หลังผ่านไปยี่สิบนาทีที่ถูกเอวาโจมตีอย่างหนัก วาห์นเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายจากความอบอุ่นของตัวเองและความร้อนที่มาจากตัวเอวา

มือของเขาสั่นเทิ้มและรู้สึกว่าเอวาเองก็เริ่มมีเหงื่อจากความรู้สึกตื่นเต้นและแรงที่ใช้ออกไป

วาห์นเริ่มใจกล้ามากขึ้นทุกขณะ และเป็นอีกครั้งที่เขาเลื่อนมือลงมาพักไว้ตรงบั้นท้ายเล็กๆ ของหญิงสาว

แม้จะสะดุ้งไปครู่หนึ่ง แต่เอวาก็ไม่ได้พยายามหยุดยั้งวาห์นและปล่อยให้เขาสนุกไปกับความรู้สึกนุ่มนิ่มขณะจับกุมเธออย่างอ่อนโยนพร้อมกับนวดเฟ้นมันเป็นระยะ

หนึ่งชั่วโมงได้ผ่านพ้นไปแล้ว วาห์นรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วโมงก่อนจะถูกผลักออกจากมิตแห่งนี้

เอวาไม่ได้ดูดเลือดเขามาพักใหญ่ๆ แล้วและกำลังจูบกับเลียรอบคอของเขาแทน

ขณะที่วาห์นผลักดันทุกอย่างต่อไปเรื่อยๆ เธอก็ลุกขึ้นมานั่งบนร่างของเด็กหนุ่มและจับจ้องไปที่ใบหน้าของเขา

วาห์นเห็นว่าเอวามีดวงตาหยาดเยิ้มหน่อยๆ ขณะจ้องมองมาก่อนจะพูดขึ้น

“ถึงนายจะเป็นแค่คนโรคจิตตันหากลับและคอยกวนฉันอยู่ตลอด แต่นายก็มีด้านอ่อนโยนที่ทำให้ใจของฉันปวดนิดๆ เหมือนกันนะ

…ฉันอยากให้นายสัญญาอะไรอย่างนะวาห์น”

แม้จะมีใบหน้าที่แดงก่ำพร้อมกับดวงตาพร่าเลือน แต่วาห์นก็บอกได้ว่าเธอกำลังจริงจังอยู่ ดังนั้นจึงพยักหน้ากลับไป

“ได้สิเอวา บอกมาเถอะว่าต้องทำอะไรบ้าง”

เพื่อเป็นการตอบรับคำยืนยันของเขา เอวาจึงก้มตัวลงไปข้างหน้าและประทับรอยจูบบนริมฝีปากของวาห์น

เป็นเวลาเกือบหนึ่งนาทีก่อนที่เธอจะถอนจูบออกและพูดต่อ

“สัญญากับฉัน ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป นายจะต้องไม่เกลียดฉันหรือเอวาที่สร้างฉันขึ้นมา

แม้ว่านายจะรู้สึกไม่พอใจฉันบ้าง แต่ได้โปรดอย่าเกลียดฉันเลยนะ…”

วาห์นสับสนเล็กน้อยกับคำพูดของเธอ และยังรู้สึกเจ็บปวดในใจขณะพยักหน้ารับ

“ฉันสาบาน ฉันจะไม่มีวันเกลียดเธอ หรือร่างต้นแบบที่สร้างที่นี่ขึ้นมา”

เพื่อเป็นการตอบสนองต่อคำพูดของเขาอีกครั้ง เอวาเข้าจูบวาห์นอย่างลึกซึ้งอีกครั้งและคราวนี้ยังจูบนานเกือบสิบนาทีก่อนที่เธอจะแยกตัวออก

หลังจากปรับลมหายใจแล้ว เธอก็มองเข้าไปในตาของวาห์น

“ได้โปรด… เมื่อนายพบร่างต้นของฉัน… ได้โปรดช่วยเธอจากความโดดเดี่ยวทีเถอะ”

ขณะจ้องมองดวงตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความเศร้านั่น วาห์นก็ได้แต่รู้สึกเห็นอกเห็นใจแวมไพร์ตัวน้อยที่ถูกบังคับให้มาเดินตามเส้นทางนี้เหลือเกิน

ในขณะที่ความทุกข์ของวาห์นจบลงเมื่อเสียชีวิตไปจากโลกก่อนหน้า แต่ร่างต้นของเอวานเจลีนที่ยังอยู่ในเรคคอร์ดของเธอเองนั้น ยังถูกผูกมัดด้วยชะตาที่คนอื่นมากำหนดให้โดยทีเธอไม่ยินยอม

แม้ไม่แน่ใจเขาจะสามารถรักษาสัญญาไว้ได้หรือเปล่า แต่วาห์นก็พยักหน้าและพูดด้วยความมุ่งมั่นอย่างที่สุด

“ฉันขอสาบาน เอวา ฉันจะช่วยเธอเอง”

เป็นครั้งที่สามที่เอวาจูบวาห์นขณะบิดตัวไปมาบนร่างของเขา

เนื่องจากทั้งสองไม่สามารถทำอะไรที่เกินเลยกว่านี้ได้ สิ่งที่ทำได้มากที่สุดก็คือการแสดงความใกล้ชิดผ่านสัมผัสทางกาย

เธอยังคงไขว่คว้าหาความอบอุ่นจากร่างของวาห์นและจูบเขาไปทั่วทั้งใบหน้า ลำคอ และหน้าอกอยู่ตลอดจนถึงเวลาที่ร่างกายของวาห์นเริ่มสลายไป

ขณะที่เธอจูบจนเด็กหนุ่มหายตัวไปแล้ว ร่างกายของเอวาก็ทรุดตัวลงกับเตียงและนอนคล่ำลงอย่างเหม่อลอยไปอีกหลายนาที

ดวงตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความเศร้า และเธอรู้สึกได้เลยว่าสี่ปีข้างหน้าจะต้องเป็นการรอคอยที่อยากกว่าครั้งก่อนๆ แน่นอน

เพราะวาห์นเคยนอนอยู่ตรงนั้น เธอจึงยังรู้สึกถึงความร้อนและกลิ่นของเด็กหนุ่มจากเตียงได้อย่างแจ่มชัด

เอวานอนอยู่ตรงนั้นต่อไปอีกหลายนาทีขณะรู้สึกถึงความร้อนที่ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ…

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท