ตอนที่ 191 สิ้นหวัง : ความหวัง
(A/N: คำเตือน: ตอนนี้มีเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรงมาก เป็นฉากที่ผมเองก็ลำบากใจ และอาจทำให้คนอ่านรู้สึกแย่ไม่แพ้กัน แต่ว่าบางครั้งเรื่องเศร้าๆ ก็จำเป็นต้องมีไว้บ้าง เพราะมันจะทำให้ตัวละคนเติบโตขึ้นขณะเดียวกันก็จะทำให้เรื่องราวดำเนินต่อไปได้ ถ้าอ่านนิยายที่มีพวกสถุลๆ เลวๆ หน่อย ผู้อ่านคงอาจพอรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปครับ ขอบคุณครับ)
(TL: ส่วนตัวคนแปลเองก็ไม่ค่อยชอบ แต่ถ้ามีผู้อ่านท่านใดที่รู้สึกว่า ‘เอ๊ะ!? แล้วอีแบบนี่มีเยอะไหมเนี่ย?’ คือผมไม่อยากสปอยออกสื่อนะครับเพราะบางคนก็อาจจะไม่อยากรู้ ดังนั้นถ้าอยากรู้จริงๆ ก็ข้อความส่วนตัวมาถามได้ครับ ขอบคุณครับ)
ขณะที่วาห์นกำลังรักษาให้มิลาน เขาก็แบ่งความสนใจไปยังออร่าจุดอื่นๆ ภายในตัวอาคารโดยเน้นไปที่ตำแหน่งของทีน่า
แม้อยากจะไปหาเธอเดี๋ยวนั้นเลย แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยมิลานไว้แบบนี้ได้
ภาพที่เธออยู่ในห้องคนเดียวซึ่งรายล้อมไปด้วยซากศพนั้นทำให้วาห์นรู้สึกอึดอัดมาก
หลังจากที่เธอได้รับการฟื้นฟูจนพ้นขีดอันตรายแล้ว วาห์นก็ย้ายศพทั้งเจ็ดไปยังห้องด้านข้างและนำผ้าผืนใหญ่มาคลุมไว้
จากนั้นเด็กหนุ่มก็กลับไปรักษามิลานต่อ พร้อมกับซื้อผ้าเช็ดตัวจากระบบและใช้ [คนโทแห่งการเติมเต็ม] เพื่อล้างตัวและกำจัดสิ่งสกปรกออกจากร่างกายของเธอ
พวกที่จับเธอมานั้นได้เข้าทุบตีหญิงสาวจนเละเทะไปหมด แต่ก็ได้เทโพชั่นและสารเคมีต่างๆ ลงบนร่างกายเพื่อกันไม่ให้เธอไปตายเสียก่อนด้วย
ด้วยประสาทสัมผัสที่ไวต่อกลิ่นของวาห์น เขาเกือบอาเจียนออกมาเพราะกลิ่นแอมโมเนียและพยายามปักใจปฏิเสธสิ่งที่พวกมันทำในระหว่างที่เธอถูกทรมาน
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนเราถึงทำสิ่งที่โหดร้ายแก่กันได้ถึงขนาดนี้ โดยเฉพาะยิ่งพวกมันคิดจะใช้พวกเธอเป็นข้อต่อรองด้วยแล้วก็ควรต้องดูแลทั้งสองให้ดีไม่ใช่เหรอ?
หลังจากเช็ดทำความสะอาดร่างกายของหญิงสาว วาห์นก็เร่งการรักษาและขจัดบาดแผลออกไปด้วย [เคลื่อนย้ายบาดแผล] บวกกับไอเท็มสนับสนุนอื่นๆ
เพราะการรักษาของเขานั้นยังไม่รวมถึงการปลูกผมและเส้นขนต่างๆ ขึ้นมาใหม่ หูบางส่วนและหางของมิลานจึงมีแค่ขนอ่อนๆ แทนที่จะเป็นสีน้ำตาลแบบในอดีต
แม้มันจะเป็นภาพที่ดูแปลก แต่เด็กหนุ่มก็ดีใจมากที่เห็นพวกมันงอกกลับออกมาได้อีกครั้ง
โชคดีที่เขาอยู่ในร่างพยัคฆ์ขาวตอนใช้ [เคลื่อนย้ายบาดแผล] เพราะร่างนี้มีหูและหางไว้ถ่ายบาดแผลเช่นกัน
ไม่งั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าเธออาจจะ ‘พิการ’ ไปตลอด
แน่นอนว่าข้อเสียก็คือวาห์นต้องสัมผัสกับความเจ็บปวดที่หางและหูเช่นเดียวกันซึ่งก็ทำเอาจิตใจของเขาด้านชาไปพักหนึ่ง
ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังมุ่งความสนใจไปที่ที่มิลานและทีน่า วาห์นก็คงจะสลบจากความเจ็บปวดไปนานแล้ว
ในช่วงสุดท้ายของการรักษา เขาได้เปลี่ยนจากร่างพยัคฆ์ขาวไปเป็นร่างเต่าแทน
เกิดร่องรอยของเปลวไฟสีแดงเล็กน้อยซึ่งทะลุผ่านรอยเล็กๆ บนผิวหนังออกมา แต่วาห์นก็เข้ายับยั้งมันไว้ด้วยแรงใจล้วนๆ
ทว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ทำให้มันหายไปอย่างสิ้นเชิง เพราะมันอาจเป็นประโยชน์ในระหว่างการรับมือกับพวกที่ยังเหลือรอด
หลังจากนั้นประมาณสิบห้านาที ร่างกายของมิลานก็กลับคืนสู่สภาพปกติ (ยกเว้นเส้นขนบางส่วน)
แม้ว่าวาห์นอาจเคยชื่นชมรูปร่างของเธอในอดีต แต่ตอนนี้เขาคงได้แต่รู้สึกเศร้าอย่างสุดซึ้งขณะดูร้านค้าในระบบและซื้อเสื้อคลุมให้เธอสวมใส่
เนื่องจากสามารถให้ของขวัญได้แค่เดือนละชิ้น วาห์นจึงต้องหาอะไรที่สามารถปกปิดร่างกายของเธอได้ภายในชิ้นเดียว
ด้วยความพยายามอีกเล็กน้อย เขาก็สวมเสื้อคลุมไว้ที่ร่างไร้สติของมิลานก่อนจะโอบกอดเธอเบาๆ และใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อทำให้จิตใจของเธอสงบและพยายามเรียกสติให้กลับคืนมา
หลังจากนั้นไม่นาน ดวงตาของมิลานก็เปิดออกอย่างช้าๆ และจ้องมองไปที่เพดานแปลกตาด้วยความมึนงง
เธอรู้สึกเหมือนเพิ่งจะผ่านฝันร้ายมาและยังได้รับการทารุณกรรมที่โหดร้ายเหลือเหลือคณานับ
เธอจำได้ว่ากำลังมีความสุขอยู่กับกับลูกสาวในระหว่างที่ดูแลลูกค้า ในขณะเดียวกันก็คุยเรื่องเด็กหนุ่มที่เข้ามาพัวพันกับชีวิตของพวกเธอด้วย
นับเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาอันแสนยาวนานที่มิลานเริ่มรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ กำลังจะกลับมาหาทั้งเธอและลูกสาว… ทั้งความสุขและความเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์
****(คำเตือนตั้งแต่ตรงจุดนี้: ผู้อ่านสามารถข้ามไปที่คำเตือนด้านล่างได้ หากรู้สึกไม่สบายกับฉากที่รุนแรงและค่อนข้างกระทบกระเทือนจิตใจ)****
ไม่นานหลังจากที่เธอกลับไปทำอาหารในครัว มิลานก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากด้านหน้าของโรงแรม
เพราะคิดว่าคงเป็นลูกค้าที่เมาแล้วอาละวาด เธอจึงมุ่งหน้าไปยังห้องอาหารและเห็นกลุ่มชายหัวรุนแรงหลายคนที่กำลังไล่ลูกค้าคนอื่นออกไปพร้อมกับเริ่มพังข้าวของ
แม้จะไม่มีอาวุธ แต่มิลานก็เป็นถึงนักผจญภัยเลเวล 3 เธอก็เลยกะจะเข้าไปห้ามปรามและอัดพวกเขาเสียหน่อย
ทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปนัก เพราะแม้จะมีนักผจญภัยเลเวล 3 สองคนอยู่ในกลุ่มคนพวกนี้ แต่มิลานก็คิดว่าเธอน่าจะถ่วงเวลาได้สักพักก่อนที่ทหารยามจะมาถึง
เนื่องจากโรงแรมของเธอตั้งอยู่ใกล้กับอาคารสาขาหลักของเฮเฟสตัสแฟมิเลีย ความปลอดภัยของพื้นที่แถวนี้จึงไม่ค่อยหย่อนยานเท่าไหร่
ตราบใดที่เธอประวิงเวลาได้นานพอ จะต้องมีคนโผล่มาช่วยแน่นอน
โชคไม่ดีที่หนึ่งในพวกสารเลวพบทีน่าจะจับเธอไว้เป็นตัวประกัน และเมื่อสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้แล้วเธอก็เลยไม่สามารถสู้ต่อไปได้
มิลานต้องยอมจำนนก่อนที่ชายเลเวล 3 สองคน, ชายร่างยักษ์ที่มีแผลเป็นเต็มตัว และเอลฟ์ผิวดำที่ดูผอมแห้งเริ่มเข้ามารุมทำร้ายจากการที่เธอสู้ขัดขืนในตอนแรก
แม้ทีน่าจะร้องไห้เสียงดังจากภาพที่เห็น แต่มิลานก็ได้แต่เข้ารับการโจมตีต่อไปเรื่อยๆ ขณะพยายามปกป้องไม่ให้โดนจุดสำคัญ
หญิงสาวยังหวังว่าพวกมันจะซ้อมเธอนานพอจนความช่วยเหลือมาถึง เธอก็เลยเริ่มขัดขืนเล็กน้อยทุกครั้งที่พวกนั้นหยุดโจมตี
แต่แล้วหนึ่งในนั้นก็เริ่มกล่าวเตือนเรื่องเวลา ชายสองคนก็เลยหยุดซ้อมก่อนจะจับเธอมัดและหิ้วเธอกับทีน่าออกไปทางด้านหลังโรงแรม
สิ่งสุดท้ายที่มิลานได้เห็นก่อนจะหมดสติไปก็คือภาพของโรงแรมที่เธอสร้างขึ้นและทำงานมากว่าสิบปีนั้นเริ่มที่จะลุกเป็นไฟ
แม้ไม่ได้ร้องไห้เลยขณะที่พวกมันเข้ามาทุบตี แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาเล็กน้อยให้กับภาพที่เห็น
สิ่งต่อไปที่เธอจำได้ก็คือตื่นขึ้นหลังถูกทิ้งลงบนพื้นอย่างแรง
มิลานได้ยินเสียงกรีดร้องของทีน่า เธอจึงเปิดตาที่บวมฉึ่งและพยายามมองหาลูกสาวเพื่อบอกกับเธอว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย
ขณะหันหน้าไปทางเสียงร้องไห้ของลูกสาว เธอก็เห็นชายคนหนึ่งตบฉาดเข้าที่ใบหน้าของทีน่าและโยนเด็กสาวลงกับพื้น
เธอรู้สึกสั่นไปหมดก่อนจะดึงเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนไม่รู้และพุ่งตัวไปบีบคอของชายคนนั้นทันที
แม้จะทำแบบที่คิดไว้ได้สำเร็จ แต่ไม่นานมิลานก็ถูกตีเข้าที่หลังคออย่างแรงจนทำให้สติพร่ามัวและความรู้สึกด้านชาไปหมด
เธอไม่ได้ถูกซัดจนหมดสติ แต่เรี่ยวแรงเมื่อกี้นี่ก็พลันสลายหายไปก่อนจะหันไปเห็นลูกสาวที่นอนร้องไห้อยู่บนพื้น
เธอพยายามคลานเข้าไปปลอบทีน่า แต่ชายสองคนก็มาจับที่แขนและลากเธอออกไปจากห้องเสียก่อน
หลังจากมิลานถูกพามายังอีกส่วนของอาคารแล้ว พวกมันก็เริ่มเข้ามาฉีกเสื้อผ้าออกโดยที่เธอพยายามขัดขืนเต็มที่
แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน พวกมันก็เอาแต่ยิ้มให้กับท่าทีขัดขืนของเธอก่อนจะเริ่มทุบตีและค่อยๆ หักกระดูกส่วนต่างๆ โดยเริ่มจากที่แขนและขาก่อน
พวกมันเทขยะจากถังใส่ร่างเปลือยเปล่าของเธอก่อนจะเริ่มใช้ถ้อยคำรุนแรงต่างๆ นาๆ
แถมบางคนยังถึงขั้นเรียกเธอว่าเป็นโถส้วมและปัสสาวะรดเธออีกด้วย
กลิ่นของมันชวนให้มิลานอยากอาเจียนออกมาหากไม่ใช่เพราะท้องของเธอนั้นว่างอยู่
สิ่งเดียวที่หญิงสาวพอทำได้ก็คือสำลักและถ่มเอาเลือดที่ปนสีดำเล็กน้อยออกมา
ชายคนหนึ่งเห็นส่วนที่เป็นสีดำๆ นั่นและรู้ว่าเธอคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
ดังนั้นพวกมันจึงเทโพชั่นเกรดต่ำลงบนร่างกายของเธอก่อนจะพยายามบังคับให้เธอดื่มของเหลวที่มีกลิ่นเหม็นลงไป
มิลานพยายามต่อต้านและกัดฟันแน่น แต่ชายอีกคนก็ใช้กระบองหุ้มหนังทุบกรามของเธอจนหักเพื่อหยุดเธอไว้
เมื่อของเหลวลงคอไปหมดแล้วมิลานก็พยายามสำลักมันออกมา แต่ความเสียหายต่างๆ ภายในร่างกายก็หยุดยั้งไม่ให้เธอทำแบบนั้นได้สำเร็จ
เธอรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่กระจายไปทั่วร่างและตระหนักทันทีว่าพวกมันคิดจะทำอะไรต่อ
แม้ว่าร่างกายแทบจะไม่เหลือแรงแล้ว แต่มิลานก็พยายามต่อต้านอย่างหนักและข่วนตาของหนึ่งในนั้นจนบอดไปข้าง
เสียงกรีดร้องของเขาทำให้คนอื่นๆ ตกใจและเริ่มเข้ามาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนจะลงเอ่ยด้วยการรุมทุบตีเธอหนักกว่าเดิม
ตอนนี้มิลานไม่สามารถขยับร่างกายได้เลยและยังรู้สึกว่าความตายนั้นใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสาวยังถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ เธอก็คงจะรู้สึกยอมแพ้และตายไปนานแล้ว
แต่รางวัลแห่งความพยายามที่จะอยู่ต่อของหญิงสาวนั้นกลับเป็นการถูกชายที่ตาบอดไปข้างใช้นิ้วโป้งจิ้มเข้าไปเพื่อทำให้ตาของเธอบอดเช่นเดียวกัน
ร่างกายของมิลานเริ่มจะทนต่อไปไม่ไหว เธอเริ่มมีอาการชักจากความเจ็บปวดสะสมและร้องเสียงแหบขณะพยายามหันหัวหนี
ราวกับถูกกระตุ้นจากปฏิกิริยาของเธอ พวกมันหัวเราะอย่างโหดเหี้ยมก่อนจะหยิบมีดขึ้นมาและเริ่มตัดหูของเธอออก
พวกมันไม่ได้ตัดออกหมดในครั้งเดียว แต่พยายามเอาออกทีละนิดๆ จนแทบจะไม่เหลืออะไรเลย
มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่รุนแรงยิ่งกว่าทุกอย่างที่มิลานเคยสัมผัสมา… แต่นั่นก็ยังเทียบไม่ได้เลยกับการทรมานอย่างต่อไป
หางของเผ่ามนุษย์แมวนั้นถือเป็นหนึ่งในจุดที่อ่อนไหวที่สุดซึ่งเชื่อมต่อกับปลายประสาทนับพันและติดกับฐานของกระดูกสันหลัง
ประเพณีที่มีมาช้านานนั้นกล่าวไว้ว่ามีเพียงคู่ครองเท่านั้นที่สามารถแตะต้องหางของมนุษย์แมวได้
หากคนอื่นไปแตะมันเข้าล่ะก็ สัญชาตญาณก้าวร้าวจะถูกจุดขึ้นมาในทันที
เนื่องจากเผ่ามนุษย์แมวถือเป็นอะไรที่พิเศษและเป็นที่นิยมในหมู่สมาคมค้าทาส ความอ่อนไหวที่หางนั่นก็เป็นสิ่งที่เหล่ากลุ่มอาชญากรรู้กันดี
พวกมันใช้ ‘ความรู้ทั่วไป’ นั่นให้เป็นประโยชน์ ก่อนที่ชายคนที่ทำให้เธอตาบอดไปข้างจะเข้ามาจับหางสีน้ำตาลไว้อย่างแน่นหนา
มิลานกัดฟันเสียงดังเพราะะความรู้สึกขยะแขยงที่ผุดขึ้นมาในร่างกายแต่หญิงสาวก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นนานนัก ก่อนที่ความกลัวสุดขีดจะเคลื่อนเข้ามาแทนที่เมื่อเห็นสายตาโหดร้ายจากชายคนเดิม
มิลานพูดอะไรไม่ออกเลยและได้แต่เปิดปากพะงาบๆ ขณะที่ชายคนนั้นจับหางแน่นกว่าเดิมและบิดมันอย่างแรง
ตัวรับความเจ็บปวดทั้งหมดในร่างกายของเธอนั้นระเบิดขึ้นพร้อมกัน ขณะที่หญิงสาวเริ่มงอตัวด้วยความทรมาน
ชายคนนั้นไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะบิดมันอีกครั้งและอีกครั้ง และอีกครั้งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหางสีน้ำตาลหลุดออกมาจากร่างกายของหญิงสาวในอีกสามนาทีต่อมา
****(จุดสิ้นสุดของคำเตือน: แม้ว่าอาจจะทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ขอให้สนุกกับการอ่านต่อๆ ไปนะครับ)****
หลังจากนั้นมิลานก็ไม่มีแรงเหลืออยู่ในร่างกายและคิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่อย่างเดียว
แม้กระทั่งตอนที่พวกมันเริ่มทุบตีและทรมานร่างกายอีกครั้ง เธอก็ไม่รู้สึกอะไรแล้วเพราะร่างกายได้เข้าสู่ภาวะช็อกอย่างรุนแรง
สิ่งเดียวที่เธอนึกถึงก็คือทีน่าผู้เป็นลูกซึ่งถูกทิ้งไว้ตามลำพังในห้องก่อนหน้านี้
มิลานจำได้ดีว่ารอยยิ้มของทีน่านั้นสดใสแค่ไหนตอนที่ทั้งคู่กำลังมีความสุข แต่ตอนนี้… เธอกลัวว่าต่อไปมันอาจถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวและความวิตกกังวลจากเรื่องราวในวันนี้แทน
แม้จะไม่มีใครมาช่วยเธอไว้ แต่มิลานก็อยากให้ลูกสาวรอดพ้นไปจากฝันร้ายนี่ ดังนั้นเธอจึงเริ่มสวดอ้อนวอนภาวนาอย่างเงียบๆ ผ่านริมฝีปากที่บวมและฉีกขาดของตัวเอง…
มิลานไม่รู้ว่าเวลาผ่านมานานแค่ไหน แต่แล้วเธอก็สัมผัสได้ว่ามีความรู้สึกแปลกๆ แผ่กระจายออกไปทั่วห้องซึ่งมาพร้อมกับแสงสีทองประหลาด
แรงกระทบกระเทือนที่โถมใส่ร่างกายของเธอมาตลอดนั้น จู่ๆ ก็หยุดชะงักลงในทันทีขณะที่ความเงียบสงบได้เข้าปกคลุมห้องนี้ไว้แทน
เป็นช่วงเวลาหลายนาทีที่เธอไม่รับรู้ถึงภาพและเสียง จะมีก็แต่ความมืดสลัวและความเจ็บปวดในจิตใจ
มิลานคิดว่าเธออาจตายไปแล้ว แต่ทันใดนั้นเอง ความรู้สึกอบอุ่นก็เริ่มขับไล่ความเจ็บปวดออกไป
แม้ว่าประสาทสัมผัสทั้งหมดแทบจะลัดวงจรไปหมดแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังงานอันอ่อนโยนที่แผ่กระจายไปทั่วร่างก่อนที่ความรู้สึกต่างๆ จะเริ่มหวนกลับมาอีกครั้ง
เรื่องน่าแปลกก็คือความเจ็บปวดที่ควรจะรู้สึกอยู่ในตอนนี้นั้นช่างเบาบางเหลือเกิน แถมมันยังค่อยๆ จางหายไปทีละนิดอีกด้วย
เมื่อมีของเหลวอุ่นๆ มาสัมผัสกับใบหน้า ความรู้สึกโล่งใจก็ผุดขึ้นมาและเริ่มกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่ามันเป็นความทรงจำเมื่อนานมาแล้วและจู่ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างออก
มิลานจำพลังงานที่เข้าสู่ร่างกายของเธอได้! ก่อนที่ภาพของเด็กหนุ่มอันแสนอ่อนโยนจะปรากฏขึ้นมาในสมอง
แม้ว่าหัวใจของเธอจะเต็มไปด้วยความกังวลและความเป็นห่วงบุตรสาว แต่มิลานก็ตระหนักแล้วว่าความช่วยเหลือได้มาถึงแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดปลอบโยนเบาๆ ของวาห์น มิลานก็รู้สึกโล่งใจจนพูดอะไรไม่ออกและได้แต่ร้องไห้ขณะที่ความมืดค่อยๆ หดหายไปจากจิตใจ