Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 189

ตอนที่ 189

พวกศัตรูนั้นยังไม่รู้ตัวเลยว่าถูกพบเข้าแล้ว

บรรยากาศรอบๆ ยังคงดูเงียบสงบขณะที่วาห์นเข้าสู่สภาวะพร้อมลุย

เขาหันไปเห็นชายสองคนเดินตามมาจากทางด้านหลัง ก่อนที่อีกสามคนจะปรากฏตัวขึ้นจากด้านหน้า

สายตาของทุกคนดูราวกับกำลังจ้องมองเหยื่อซึ่งมองยังไงก็ดูไม่ใช่แค่คนเดินผ่านมาแน่นอน

เขาเปลี่ยนเป็นร่างพยัคฆ์ขาวพร้อมกับที่พวกมันเริ่มหัวเราะ แถมคนตัวใหญ่สุดตรงหน้ายังเผยรอยยิ้มน่าขยะแขยงมาที่วาห์นอีกด้วย

ชายคนนี้สูง 180 ซม. และดูหนักประมาณ 230 ปอนด์ซึ่งก็เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อล้วนๆ

เขามีผมสีน้ำตาลกับดวงตาสีม่วงและร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจากการต่อสู้

ชายหนุ่มจ้องมองวาห์นราวกับว่าเขากำลังมองเนื้อชิ้นหนึ่งในตลาดก่อนจะปริปากและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“งั้น นี่ก็คือวัล-”

ก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดจบ วาห์นก็โน้มตัวไปข้างหน้าและเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็วก่อนจะฝังกรงเล็บเข้าไปในท้องของชายร่างยักษ์

เพราะไม่ได้เตรียมรับการจู่โจมแบบฉับพลัน เขาจึงแทบไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย

ชายหนุ่มรู้สึกว่ากระดูกเหมือนจะร้าวไปหลายแห่งพร้อมทั้งถูกส่งกระเด็นออกไปไกลหลายเมตรก่อนจะกลับมายืนได้อีกครั้ง

เขามีสีหน้าบูดบึ้งขณะเตรียมที่จะข่มขู่วาห์น แต่คำพูดก็ดันมาติดอยู่ตรงลำคอทันทีที่ได้เห็นฉากตรงหน้า

หลังจากล้มตัวหัวหน้าไม่สำเร็จ วาห์นก็เลยเข้าโจมตีชายสองคนที่อยู่ข้างๆ ชายร่างยักษ์แทน

พวกมันเองก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัวจากการโจมตีฉับพลันเช่นกัน ก่อนที่เด็กหนุ่มจะหักข้อมือและจับทั้งคู่เหวี่ยงออกไปชนกำแพงแต่ละด้าน

จากนั้นวาห์นก็ลดลงตัวต่ำและจ้องมองตัวหัวหน้าด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกและไร้ความรู้สึก

ชายหนุ่มตระหนักแล้วว่าวาห์นนั้นไม่ใช่หมูเคี้ยวง่ายแบบที่คิดกันไว้ในตอนแรก แต่เขาก็ยังไม่สูญเสียความมั่นใจก่อนจะชักมีดและเริ่มตั้งท่าอย่างช่ำชอง

เขายื่นมือซ้ายออกมาในมุมต่ำด้วยท่าทางผ่อนคลาย ขณะถือมีดไว้ติดสะโพกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแทง

เมื่อมองไปทางเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์เสือ เขาก็เผยสีหน้าวิกลจริตและเริ่มพูดจาข่มขู่อีกครั้ง

“ไอ้หนู เดี๋ยวแกจะได้ชดใช้สิ่งที่ทำลงไปแน่นอน”

ตอนนี้ชายอีกสองคนที่ตามหลังวาห์นมานั้นได้เข้ามาใกล้มากแล้ว พร้อมเตรียมกระบองเหล็กขึ้นมาถือไว้ด้วย

วาห์นตรวจดูบริเวณโดยรอบอีกครั้งก่อนจะพบศัตรูเพิ่มเติมที่ประจำกันอยู่บนหลังคา

เขาได้ทำพิกัดศัตรูทุกคนไว้บนแผนที่ย่อหมดแล้วและสามารถตามรอยพวกมันภายในระยะ 300 เมตรได้แบบสบายๆ

เพราะพอใจกับผลที่ได้ วาห์นจึงยิ้มให้ชายร่างยักษ์ก่อนจะหายไปจากจุดนั้นเมื่อชายสองคนพยายามโจมตีด้านหลังของเขา

ดวงตาของทั้งสามพลันเบิกกว้างก่อนจะเริ่มระแวดระวังตัวมากขึ้นโดยไม่รู้เลยว่าวาห์นได้เคลื่อนที่มาอยู่ตรงด้านหลังของพวกเขาแทนแล้ว

แม้จะยังฝึกวิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาไม่สำเร็จดีนัก แต่ด้วยความคล่องแคล่ว, ประสาทสัมผัสที่เฉียบคมจากร่างพยัคฆ์ขาว บวกกับพลังเขตแดนที่กางออกแบบเต็มที่ ทำให้วาห์นสามารถเคลื่อนที่แบบระยะสั้นๆ ได้ในชั่วพริบตา

ตอนที่พวกมันพยายามลอบโจมตีจากด้านหลัง วาห์นก็ใช้เคลื่อนย้ายในพริบตา (ฉบับไม่สมบูรณ์) เพื่อพุ่งผ่านช่องว่างเล็กๆ ระหว่างร่างของทั้งสองและแทงกรงเล็บความร้อนสูงเข้าไปที่กระดูกสันหลังของพวกมัน

ทั้งคู่ลงไปนอนอยู่บนพื้นด้วยอาการอัมพาตถึงขั้นที่ไม่อาจเปล่งเสียงร้องออกมาได้เลยด้วยซ้ำ

หลังจัดการสี่ในสิบสามคนไปเรียบร้อยแล้ว วาห์นก็มุ่งความสนใจกลับไปยังตัวหัวหน้าที่กลัวจนไม่กล้าขยับไปไหนหลังเห็นสภาพของลูกน้อง

แม้ชายคนนี้จะเป็นนักผจญภัยเลเวล 3 แต่เขาก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะตามความเร็วของวาห์นได้ทัน

ทันทีที่เห็นวาห์นเริ่มโน้มตัวมาข้างหน้าอีกครั้ง เขาก็รีบตะโกนขึ้นก่อน

“อย่าได้ขยับแม้แต่ก้าวเดียวนะเว่ย! ถ้ายังไม่อยากให้นังมนุษย์แมวสองคนนั้นเป็นอะไรไปล่ะก็…”

ตอนที่วาห์นได้ยินคำพูดของชายคนนั้น จิตใจของเด็กหนุ่มก็ว่างเปล่าไปชั่วขณะก่อนที่ความเย็นสงบต้องออกมาทำงานหนักยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

เมื่อเห็นท่าทาง ‘ลังเล’ ของ วาห์น ชายร่างยักษ์ก็ยิ้มอย่างโหดเหี้ยมได้อีกครั้งขณะที่ความมั่นใจเริ่มกลับคืนมา

แต่ก่อนจะได้พูดอะไร จิตสังหารของวาห์นก็มุ่งเข้ามาหาเขาแต่เพียงผู้เดียวก่อนที่ออร่าสีทองจะระเบิดออกไปทั่วบริเวณ

ชายร่างยักษ์ไม่อาจตอบสนองได้ทันเวลาก่อนจะพบว่ามีบางอย่างพุ่งทะลุร่างจากด้านหลังและลงไปปักอยู่บนพื้นอย่างรุนแรง

พอหันลงมามองก็เห็นโซ่สีทองที่กำลังตรึงเขาไว้กับพื้นอย่างแน่นหนา

หลังจากถูก [เอ็นคิดู] เสียบทะลุ ชายหนุ่มก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดและเกือบจะทรุดลงหากไม่ใช่เพราะถูกโซ่ตรึงไว้

เขาหันหัวไปดูต้นตอของการโจมตีและเห็นเพียงความบิดเบือนบนอากาศที่กำลังเปล่งแสงสีทองและลอยห่างจากตนไปประมาณหนึ่งเมตร

เขากัดฟันแน่นก่อนจะสูดหายใจและตะโกนขึ้น

“รีบออกมาช่วยกันหน่อยสิวะ!!”

ดวงตาของเขาดูเสียสติมากขึ้นทุกที ก่อนจะพยายามจับที่ตัวโซ่และดึงมันออกจากพื้น

เขานึกภาพว่าอีกเดี๋ยววาห์นก็คงถูกเหล่าสหายรุมอัดจนยับก่อนต้องมาฟังคำเรียกร้องของพวกตนอย่างว่าง่าย

แต่ดูเหมือนวันนี้คงไม่ใช่วันของเขาจริงๆ แถมไอ้โซ่บ้านี่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะขาดเลยด้วย

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถทำให้มันขยับได้เลยแม้แต่มิลลิเมตรเดียว แถมคนคนอื่นๆ ก็ยังไม่ออกมากันสักที

วาห์นเริ่มเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะวางมือที่ร้อนดั่งเตาไฟไว้บนแผงอกของชายร่างยักษ์

มันทะลุผ่านเสื้อผ้าของเขาก่อนจะฝังตัวลงไปบนผิวหนังจนเกิดเป็นแผลไหม้ขนาดใหญ่ที่มีกลิ่นคล้ายเนื้อย่าง

แม้จะเริ่มมีคนเดินเข้ามาในพื้นที่บ้างแล้วแต่ส่วนใหญ่ก็รีบแผ่นแน่บขณะที่บางคนนั้นวิ่งออกไปตามทหารยาม

วาห์นไม่สนใจใครทั้งสิ้นขณะจ้องประสานตากับชายหนุ่มและถามขึ้น

“แก… ทำ… อะ… ไร… นะ?”

ถึงอยากจะกรีดร้องเป็นหมูถูกเชือดเมื่อวาห์นเริ่มเข้ามา ‘ย่างสด’ แต่เขาก็ยังรักษารอยยิ้มไว้แบบเดิมก่อนจะถ่มเลือดใส่วาห์นซึ่งก็ระเหยไปก่อนจะได้สัมผัสกับใบหน้าของเด็กหนุ่ม

เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและโหดร้าย

“เพราะแกทำแบบนี้… พวกเธอต้องเจอดีแน่… หวังว่าแกจะพอใจนะ!!!”

จากการที่เขาอุตส่าห์บอกข้อมูลเพิ่มเติม วาห์นก็เลยทิ่มนิ้วชี้ความร้อนสูงใส่ตาข้างหนึ่งเพื่อเป็นรางวัลให้

ตอนนี้เขาก็ได้ร้องเป็นหมูถูกเชือดแบบสมใจอยากแล้ว ก่อนจะตะโกนขึ้นอีก

“นี่หายไปไหนกันหมดวะ!!”

เวลาก็ผ่านไปนานพอสมควรแล้ว แต่กลับไม่มีใครปรากฏตัวออกมาเลย

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าวาห์นรู้ตำแหน่งของทุกคนนานแล้วและต่างก็มีชะตากรรมไม่ต่างกับเขาเท่าไหร่

แม้การอัญเชิญโซ่ออกมามากขนาดนี้จะกินพลังงานค่อนข้างมากแต่ก็แค่ตอนนำพวกมันออกมาในตอนแรกเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ วาห์นจึงสามารถตรึงที่เหลืออีกเก้าคนไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น

วาห์นเริ่มอธิบายเรียบๆ

“บอกมาว่าพวกแกต้องการอะไร ไม่งั้นได้ตาบอดอีกข้างแน่” พอพูดจบ วาห์นก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาจ่อไว้ที่ตาข้างสุดท้าย

เมื่อเห็นนิ้วสีแดงร้อนระอุใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในที่สุดชายคนนั้นก็ทนต่อไปไม่ไหวก่อนจะส่งเสียงครวญครางผ่านฟันที่เปื้อนไปด้วยเลือด

“พวกเธอเป็นตัวประกันของเรา… ถ้าแกอยากเห็นพวกเธออีก… ก็ให้ทำตามที่เราสั่ง…”

คิ้วของวาห์นขมวดเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่ลดนิ้วลงขณะถามต่อไป

“ใครส่งแกมา? แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน?”

เนื่องจากนิ้วของวาห์นอยู่ใกล้มากๆ ชายหนุ่มจึงพยายามแอ่นหลังเพื่อถอยให้ห่างกว่าเดิม

ทุกการเคลื่อนไหวของเขานั้นทำให้แผลที่ท้องแย่ลงเรื่อยๆ ก่อนจะได้อาเจียนออกมาเป็นรอบที่สอง

เขาหันไปมองเด็กหนุ่มอย่างดุดันและเริ่มกลับมาใช้น้ำเสียงข่มขู่อีกครั้ง

“ถ้าแก.. ไม่ยอมปล่อยฉันไป… สองคนนั้นได้ตายจริงๆ แน่!!”

วาห์นเริ่มหงุดหงิดกับคำพูดที่มีแต่น้ำ เขาก็เลยขยับมืออย่างรวดเร็วและส่งมือขวาของชายหนุ่มที่ซ่อนมีดเอาไว้ให้กระเด็นลอยออกไปในเวลาอันสั้น

ชายหนุ่มกรีดร้องอีกครั้งและรู้สึกเหมือนจะเป็นลมจากการเสียเลือดมาก

วาห์นเองก็สังเหตุเห็นอาการของเขาเช่นกัน เด็กหนุ่มจึงหยุดปล่อยความร้อนจากฝ่ามือและเริ่มทำการปิดปากแผลให้โดยทิ้ง [เอ็นคิดู] ไว้แบบเดิม

อย่างน้อยมันก็ยังซื้อเวลาให้วาห์นได้อีกสองสามนาทีเพื่อซักถามต่อไป

วาห์นเตือนชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไร้อารมณ์

“ฉันจะถามแกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเปลี่ยนไปถามอีกเก้าคนที่เหลือแทน… คิดว่าหนึ่งในนั้นคงต้องให้ความร่วมมือบ้างแหละ”

จากนั้นเขาก็ดูดซับพลังธาตุไฟไว้ในมือก่อนจะเล็งมันไปที่เป้าหมายเดิม

หลังจากได้ยินวาห์นอ้างว่าได้จับทุกคนไว้หมดแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกกลัวคนๆ นี้อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก

วาห์นนั้นดูโหดเหี้ยมและเด็ดเดี่ยวมากกว่าที่พวกเขาทุกคนได้คาดคิดเอาไว้

เนื่องจากจิตใจของชายหนุ่มยังถูกกดดันจากผลของ [จิตแห่งราชัน] อยู่ด้วย เขาจึงไม่สามารถต้านทานคำพูดข่มขวัญของวาห์นได้นานนัก

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มมีน้ำตาไหลพรากและเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น วาห์นก็เฝ้ารออย่างใจเย็นขณะฟังมันไปเรื่อยๆ

ยิ่งรู้มากขึ้นก็รู้สึกโกรธยิ่งกว่าเดิม แต่สีหน้าของวาห์นกลับดูไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

สิ่งเดียวที่เขาสัมผัสได้ในตอนนี้ก็คือความรู้สึกเย็นสงบที่ทำงานอย่างหนักเพื่อคงสติและสมาธิของเขาเอาไว้

ตามที่ชายคนนี้ซึ่งมีชื่อว่า แม็คเกอร์ เล่าให้ฟัง พวกเขาคอยติดตามการเคลื่อนไหวของวาห์นนับตั้งแต่ตอนที่เขาออกมาจากบ้านในวันเสาร์แล้ว

เพราะวาห์นแวะมาส่งทีน่าไว้ที่โรงแรม พวกเขาจึงคิดว่าเธอคงเป็นคนสำคัญและได้ทำการยืนยันเรื่องนี้เมื่อเห็นวาห์นกลับไปที่นั่นอีกครั้งในช่วงเย็น

เพราะเป้าหมายเป็นแค่เด็กผู้หญิงกับผู้เป็นแม่ พวกเขาจึงรอให้วาห์นออกไปข้างนอกก่อนจะเริ่มเข้าจับกุมทั้งสอง

แม้มิลานจะพอสู้ได้เพราะเธอเป็นถึงนักผจญภัยเลเวล 3 แต่พวกเขาก็บังคับให้เธอยอมจำนนหลังจับทีน่าไว้เป็นตัวประกัน

จากนั้นพวกเขาก็เข้าพังฮาร์ธเอ็มเบรสและจุดไฟเผามันทิ้ง ก่อนจะนำตัวทั้งสองคนไปไว้ในสถานที่ปลอดภัยซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง

พวกเขาวางแผนที่จะเคลื่อนย้ายทั้งสองในช่วงเย็นโดยตั้งใจว่าจะใช้พวกเธอเป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อให้วาห์นกล่าวคำสาบาน

แม็คเกอร์อ้างว่าเขาไม่รู้เรื่องแผนมากไปกว่านี้แล้วแม้ว่าวาห์นจะหักนิ้วที่เหลือจนหมดและเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงในออร่าของเขาอย่างละเอียด

จากนั้นเขาก็ถามเรื่องที่อยู่ของพวกเธอ แต่แม็คเกอร์จะยอมบอกก็ต่อเมื่อวาห์นกล่าวคำสาบานว่าจะไว้ชีวิตของเขาเสียก่อนเท่านั้น

วาห์นดึงดาบสีดำอันหนึ่งที่สร้างขึ้นภายในลูกแก้วออกมา

มันมีชื่อเรียกง่ายๆ ว่า [004] และเป็นอาวุธรุ่นล่าสุดที่วาห์นผลิตออกมาในช่วงนี้

ตอนนี้วาห์นตั้งชื่อไปจนถึงหมายเลข [022] แล้วและตัดสินใจว่าพวกมันดู ‘เหมาะสม’ มากก่อนจะมองชายหนุ่มด้วยสายตารังเกียจและบั่นหัวของเขาจนมันลอยออกไปไม่ต่างกับมือก่อนหน้านี้

ด้วยออร่าสีดำทมิฬและการที่เขาจับแม้กระทั่งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เพื่อมาข่มขู่วาห์นนั้น… จะให้ปล่อยไว้ก็คงไม่ใช่เรื่อง

(TL: ออร่าสีดำ = ฆ่าคนด้วยเหตุมิชอบ สียิ่งเข้ม = ทำผิดหลายครั้ง)

แม้ว่าเขาจะได้รับกรรมชั่วเล็กน้อยจากการทรมานเพื่อเอาข้อมูล แต่การปลิดชีพของชายหนุ่มในลักษณะนี้นั้นก็ถือว่าเขาเมตตามากแล้ว

วาห์นนำ [เอ็นคิดู] ออกจากพวกที่เหลือก่อนจะนำร่างของพวกเขามารักษาในระดับหนึ่งเพื่อไม่ให้ขาดเลือดตายเสียก่อน

จากนั้นไม่นานพวกทหารยามก็มาถึงและเข้าล้อมเขาไว้ แต่วาห์นก็เผยเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับเฮเฟสตัสและโลกิแฟมิเลียก่อนจะพยายามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น

แม้ว่าพวกทหารยามอยากจะพาตัวเขาไปสอบปากคำเพิ่ม แต่วาห์นกลับปฏิเสธขณะมองแต่ละคนด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะบอกให้พวกเขาไปติดต่อขอความเห็นชอบจากเฮเฟสตัสให้ได้เสียก่อน

ทุกนาทีที่เขาเสียไปกับเรื่องไร้สาระนี่ มิลานกับทีน่าก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น

สุดท้ายพวกทหารยามก็ยังอยากกักตัวเขาไว้อยู่ดี วาห์นก็เลยหายตัวไปผ่านการใช้เคลื่อนย้ายในพริบตาก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไรต่อ

แม้มันอาจสร้างปัญหาให้เขาในภายหลัง แต่วาห์นก็ไม่อยากเสียเวลาต่อไปอีกแล้ว

เขายังได้แจ้งเรื่องการลักพาตัวและการวางเพลิงฮาร์ธเอ็มเบรสให้ทหารยามทราบและหวังว่าเรื่องนี้จะได้รับการสอบสวนเพิ่มเติมในภายหลัง

แต่แน่นอนว่าวาห์นจะไม่รอดูการสืบสวนอยู่เฉยๆ แน่นอน

เขากระโดดขึ้นไปบนหลังคาใกล้เคียงก่อนจะหาจุดปลอดภัยเพื่อเดินทางเข้าสู่ลูกแก้ว

(A/N: ชื่อตอนสำรอง: ‘คาถาผู้แต่ง วิชานินจาเก็บเรื่องนี้ไว้ต่อคราวหน้า!’, ‘วาห์น : ไม่สนแล้วโว้ย เสียเวลา’, ‘[เอ็นคิดู]ที่ไม่มีใครมาหยุดได้’)

ตอนที่ 190 ตามรอย

วาห์นตื่นขึ้นมาในลูกแก้วพร้อมกับที่เอวา ‘ตกลงมา’ สู่อ้อมกอดของเขาแบบที่ทำกันประจำ

ช่วงเวลาที่หญิงสาวพยายามเข้าจูบ เธอก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเพราะวาห์นดูไม่ตอบสนองเหมือนอย่างเคย

เธอนั่งลงบนท้องของเขาและเห็นความเกลียดชังที่ไม่ได้พยายามปิดบังไว้เลย

เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่เอวาคิดว่าวาห์นโกรธเธอและเริ่มรู้สึกกลัวแบบจับใจจนกระทั่งเด็กหนุ่มเริ่มอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง

หลังจากถอนหายใจและตัดสินใจว่าจะไม่ลงโทษที่เขามาสาย เอวาให้เริ่มให้คำแนะนำซึ่งดูใกล้เคียงกับความตั้งใจของวาห์นมาก

แม้วาห์นอยากจะไปช่วยมิลานและทีน่าเดี๋ยวนั้นเลย แต่การใช้เวลาสักสองสามวินาทีเพื่อฝึกฝนเคลื่อนย้ายในพริบตาและเรียนรู้เวทมนตร์นิดหน่อยนั้นดูจะเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมที่สุด

เมื่อไหร่ก็ตามที่ใช้ [จิตแห่งราชัน] แม้ว่าระดับความโกรธของเขาจะพุ่งจนเลยขีดจำกัดไปแล้ว มันก็จะช่วยดึงสติของเขาให้สงบลงและกลับมาคิดอ่านอย่างมีเหตุผลอยู่เสมอ

หลังจากที่หนีจากทหารยามมานั้น วาห์นก็เข้ามาในนี้เพื่อทำให้จิตใจสงบลงและฝึกกับเอวาเพิ่มเติม

นอกจากนี้ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างที่เขาต้องทำเมื่อเข้ามาในนี้ด้วย

วาห์นอยากนำฟาฟเนียร์ออกไปข้างนอกและพึ่งพาความเร็วของมันภายใต้สภาวะฉุกเฉินแบบนี้

เพราะตอนนี้มันสามารถซ่อนตัวในเงามืดของเขาได้แล้ว วาห์นจึงไม่จำเป็นต้องเก็บฟาฟเนียร์ไว้ในรูปของคริสตัลอีก

ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไรในอนาคต วาห์นตั้งใจไว้แล้วว่าจะใช้ไพ่ทุกใบที่มีโดยไม่คำนึงว่ามันอาจดึงดูดสายตามากแค่ไหนก็ตาม

ทุกอย่างดำเนินมาถึงจุดที่คนใกล้ชิดพลอยติดร่างแหไปด้วยแล้ว วาห์นจึงไม่คิดจะเดินตามเกมที่คนอื่นวางไว้อย่างแน่นอน

หลังปล่อยให้เอวาเติมพลังงานด้วยการดูดเลือดของเขา วาห์นก็เริ่มฝึกซ้อมวิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาผ่านหลักสูตรเร่งรัด

แม้จะลองเรียนเวทมนตร์อื่นๆ ด้วยก็ได้ แต่สกิลใหม่นั้นอาจต้องใช้เวลานานมากกว่าที่เขาจะใช้มันได้อย่างช่ำชอง

เคลื่อนย้ายในพริบตาเป็นวิชาขั้นพระกาฬ แต่มันก็เข้ากับวาห์นมากหากดูจากสไตล์การต่อสู้ในปัจจุบันของเขา

แม้ว่าพวกดักซุ่มโจมตีจะเป็นนักผจญภัยเลเวล 3 แต่พวกมันก็ไม่อาจตามการเคลื่อนไหวในร่างพยัคฆ์ขาวได้ทัน

แม้ว่าในช่วงปกตินั้นเธอจะรักและเอ็นดูวาห์นมาก แต่เอวาก็เริ่มจริงจังขึ้นหลังจากเข้าใจสถานการณ์ร้ายแรงที่วาห์นกำลังเผชิญอยู่ในโลกจริง

เป็นเวลาเกือบสามวันเต็มที่เธอฝึกฝนเขาอย่างต่อเนื่องและหนักหน่วงโดยแทบไม่ได้หยุดพักกันเลย

แถมวาห์นยังคอยเติมพลังงานด้วยด้วยถั่วเซียนและทำสมาธิแทนการพักแบบทั่วไป

ตลอดระยะเวลาในการฝึกอบรม วาห์นนั้นไม่ได้ปิดการใช้พลังเขตแดนเลยสักครั้งแม้แต่กระทั่งตอนที่ให้เอวาเข้ามาดูดเลือด

การใช้เวลาภายในลูกแล้วเพื่อสงบจิตใจลงดูเป็นความคิดที่ดี แต่วาห์นก็ไม่อยากเสียแรงผลักดันในตอนนี้ไป

จนกระทั่งเหลือเวลาเพียงสิบชั่วโมง ในที่สุดวาห์นก็เริ่มพักผ่อนแบบเต็มที่เพื่อฟื้นฟูพลังและสภาพจิตใจ

มันไม่เหมือนการอาบน้ำปกติที่วาห์นมักจะเป็นฝ่ายปรนเปรอเอวา

ตอนนี้เธอกลับเป็นคนดูแลเขาแทนและปล่อยให้เด็กหนุ่มฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่

เนื่องจากวาห์นสามารถเปิดพลังเขตแดนทิ้งไว้แม้จะหลับอยู่ก็ตาม เขาจึงนอนลงบนเตียงเพื่อฟื้นพลังและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง

เอวานั้นชอบนอนบนร่างของเขามากเป็นพิเศษ แต่ครั้งนี้เธอกลับนอนซุกแขนของเขาแบบเงียบๆ ไปตลอดช่วงการพักผ่อนแทน

ก่อนที่วาห์นจะออกจากมิติ เธอก็จูบเขาอย่างดูดดื่มก่อนจะอวยพรให้เขาโชคดีในการต่อสู้

แม้จะยังต้องรักษาสมาธิเอาไว้ แต่วาห์นก็จูบเธอกลับในแบบเดียวกันพลางลูบเส้นผมสีทองไปด้วยและหวังว่าตนจะสลายหายไปให้เร็วกว่านี้

ตอนนี้ฟาฟเนียร์กลับมาอยู่ในช่องเก็บของของเขาแล้วและวาห์นกำลังเฝ้ารอเวลาที่จะปล่อยมันออกไปสู่โลกจริงอีกครั้ง

แม้หญิงสาวจะไม่ชอบใจเท่าไหร่ แต่วาห์นก็ทิ้ง (ไร้นาม) เอาไว้ในนี้เพื่อเอวาจะไม่ไม่เหงาจนเกินไปนัก

วาห์นตื่นขึ้นในโลกจริงและเริ่มออกติดตามค้นหามิลานและทีน่าในทันที

ขณะที่ดื่ม [อีลิกเซอร์] มูลค่า 10,000 OP วาห์นก็ส่งพลังเข้าไปยังคริสตัลสีรุ้งสวยงามที่วางอยู่บนมือ

เมื่อฟาฟเนียร์แข็งแกร่งขึ้น คริสตัลที่บรรจุมันไว้ก็ยิ่งดูงดงามกว่าเดิมและแน่นอนว่ายังต้องใช้พลังงานมากขึ้นด้วย

[อีลิกเซอร์] นั้นไม่เพียงแต่จะฟื้นฟูค่าพลังชีวิตของเขาจนเต็มเท่านั้น แต่มันยังช่วยฟื้นพลังงานของเขาอย่างต่อเนื่องจนสามารถเรียกเจ้ามังกรดำออกมาได้ในที่สุด

ทันทีที่มังกรขนาดตัวประมาณ 15 เมตร โผล่ออกมาบนหลังคา คนแถวนั้นก็เริ่มกรีดร้องและวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต

แม้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะเห็นมอนสเตอร์พร้อมกับผู้ฝึกภายในตัวเมือง แต่พวกมันก็มักจะถูกเก็บไว้ที่กาเนสช่าแฟมิเลียหรือไม่ก็คอกมอนสเตอร์ภายในหอคอยบาเบลที่มีกิลด์เป็นผู้ดูแล

การที่มังกรปรากฏตัวออกมาตรงใจกลางเมืองนั้น แน่นอนว่าทุกคนต้องคิดว่ามันคือศัตรู

โชคดีที่ไม่มีนักผจญภัยเลเวลสูงๆ อยู่แถวนั้น ไม่งั้นคงมีคนอยากลองของกับเจ้ามังกร ‘ปีศาจ’ ตัวนี้แน่นอน

หลังจากขึ้นขี่ฟาฟเนียร์แล้ว วาห์นก็ร่นเวลาการเดินทางที่ปกติมักจะใช้เกือบชั่วโมงลงเหลือเพียงแค่ 4 นาทีเท่านั้น… แต่ก็สร้างความแตกตื่นให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก

เนื่องจากถนนนั้นกว้างพอสมควรและทุกคนได้เผ่นออกไปกันหมดแล้ว วาห์นจึงลงจอดตรงหน้าฮาร์ธเอ็มเบรสที่ถูกเผาจนแทบไม่เหลือซาก

แม้เพลิงจะถูกดับลงไปแล้ว แต่สภาพของโรงแรมนั้นดูสาหัสเกินกว่าจะซ่อมให้ดีดังเดิมได้อีกครั้ง

ส่วนพนักงานกับนักสืบที่เคยอยู่ในบริเวณเองก็หนีไปพร้อมคนอื่นๆ เช่นกัน

เนื่องจากอาจเกิดปัญหามากกว่าเดิม วาห์นจึงให้ฟาฟเนียร์ลงไปซ่อนในเงาของอาคารใกล้เคียงแทน

วาห์นสัมผัสได้ว่ามีคนที่เขารู้จักกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ แต่เขาก็ตัดสินใจเข้าไปตรวจสอบภายในโรงแรมอย่างไม่รอช้า

เขามาที่นี่ด้วยความจำเป็นเพราะมันอาจจะเป็นส่วนช่วยให้เขาหามิลานและทีน่าเจอ

ไม่นานหลังจากจัดการกับหน่วยซุ่มโจมตี วาห์นก็สงสัยว่าพวกที่เหลืออาจยังไม่ได้รับข่าวเพราะเวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่ถึง 5 นาทีเลยด้วยซ้ำ

ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ วาห์นก็มาถึงที่หมายก่อนจะพังประตูเข้าไปยังส่วนที่เคยเป็นห้องนอนของมิลานและทีน่า

แม้จะมีกลิ่นไหม้จะฟุ้งกระจายไปทั่วอากาศ แต่วาห์นก็ยังพอตรวจจับกลิ่นของทั้งสองที่ซึมซาบไปทั่วห้องได้

เนื่องจากอยู่ในร่างพยัคฆ์ขาว ประสาทสัมผัสของเขาจึงเฉียบคมกว่าเดิมหลายเท่าแถมยังเสริมสกิลต่างๆ เข้าไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้มันอีกชั้นหนึ่งด้วย

วาห์นจับผ้าปูที่นอนขึ้นมาสูดดมและเก็บกลิ่นบางส่วนไว้ในจมูกแบบที่นานูเคยสอนก่อนหน้านี้ (TL: มีประโยชน์เฉยเลย)

เขาสามารถจำกลิ่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์และสามารถตรวจจับมันได้ทุกที่แม้จะต้องออกมาด้านนอกเพื่อพบกับเฮเฟสตัสและทีมรักษาความปลอดภัยของเธอก่อนก็ตาม

เนื่องจากฮาร์ธเอ็มเบรสนั้นอยู่ใกล้โรงหลอม เธอจึงได้รับข่าวไฟไหม้ก่อนคนอื่นและรีบรุดมาที่นี่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ก่อนจะกลับไปที่โรงหลอมเพื่อส่งข่าวให้กับคนอื่นๆ

ในระหว่างการประชุมครั้งก่อนนั้น เฮเฟสตัสได้แจกคัมภีร์สื่อสารให้กับทุกคนไว้ใช้สื่อการกันเป็นการส่วนตัว

พอวาห์นมาถึงที่เกิดเหตุ เธอก็รีบกลับมาอีกครั้งก่อนจะแจ้งให้โลกิ อนูบิส สึบากิ และเอน่าทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูดุดันและเยือกเย็นของวาห์น เฮเฟาสตัสก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลขณะสวมกอดและให้สัญญากับเด็กหนุ่ม

“…เราต้องหาพวกเธอเจอแน่”

วาห์นกอดเธอกลับและพูดอย่างแผ่วเบาแต่ก็แฝงไปด้วยความเกรี้ยวกราด

“…จำกลิ่นของพวกเธอไว้แล้ว… เดี๋ยวจะเริ่มตามรอยไปเรื่อยๆ”

แม้อยากจะหยุดยั้งเขาไว้ แต่เฮเฟสตัสก็มองเห็นความจริงจังและความเชื่อมั่นในสายตาของเด็กหนุ่ม

ดังนั้นเธอจึงได้แต่กัดริมฝีปากด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเข้าไปจูบอย่างแนบแน่นต่อหน้าผู้คนมากมาย

วาห์นไม่ได้อยู่ในอารมณ์แบบนั้นแต่ก็จูบตอบเฮเฟสตัสไปเพื่อให้เธอรู้ว่าเขารู้สึกขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงที่มีให้

ตอนที่ทั้งคู่จะแยกจากกัน วาห์นก็เสยผมให้เธอเล็กน้อยและแสดงรอยยิ้ม ‘อ่อนโยน’ อย่างเคยก่อนจะหายไปจากสายตาของทุกคน

ไม่มีใครรู้เลยวาห์นหายไปได้ยังไงนอกเหนือไปจากเซฟฟ์

ทุกคนรวมไปถึงหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเองต่างก็รู้สึกทึ่งไปความเร็วของเด็กหนุ่มไปตามๆ กัน

จากมุมมองของพวกเขานั้น ตัวของวาห์นเริ่มกลายเป็นเงามืดก่อนที่เขาจะหายไปในชั่วพริบตา…

เฮเฟสตัสยืนนิ่งเงียบขณะเอื้อมมือไปไว้เหนือหัวใจและสัมผัสถึงอารมณ์ต่างๆ ที่วาห์นกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้

แม้จะรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าใจกับสิ่งที่เขาต้องเจอ แต่เฮเฟสตัสก็เริ่มกำหมัดแน่นก่อนจะเผยใบหน้าที่แสดงถึง ‘ความเกรี้ยวกราดของเทพธิดา’ ออกมา

เธอหันไปหาเซฟฟ์และพูดด้วยน้ำเสียงสั่งการ

“ระดมพลเต็มกำลัง… เราจะออกไปบดขยี้ใครก็ตามที่กล้าทำเรื่องสารเลวแบบนี้ให้สิ้นซาก”

เซฟฟ์พยักหน้าตอบและเริ่มออกคำสั่งต่อไปอีกทอด ขณะเดียวกับที่เฮเฟสตัสหยิบม้วนคัมภีร์ออกมาและส่งข้อความไปยังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ไม่นานหลังจากนั้น ขั้วมหาอำนาจทั้งหลายที่อยู่ภายในเมืองก็เริ่มออกเคลื่อนไหวเพื่อตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์คราวนี้…

เพราะไม่สามารถแกะรอยได้หากอยู่บนหลังของฟาฟเนียร์ วาห์นจึงต้องออกตามรอยจากพื้นดินแทน

เขาจะหยุดเป็นระยะๆ เพื่อดูให้แน่ใจว่าตามกลิ่นของมิลานและทีน่ามาถูกทางแล้ว

วาห์นพบว่ากลิ่นของพวกเธอนั้นแฝงไปด้วยความกลัว และนั่นก็ทำให้ความเย็นสงบเริ่มแพร่กระจายไปทั่วร่างอีกครั้ง

พอจินตนาการถึงภาพทีน่าน้อยที่กำลังร้องไห้และตัวสั่นเทาด้วยความกลัวก็ทำให้วาห์นแทบจะเป็นบ้า

เด็กสาวเป็นคนร่าเริงและมักตื่นเต้นอยู่เสมอ ทว่าตอนนี้ ไม่ถึงสองวันหลังจากที่วาห์นสัญญาว่าจะปกป้องพวกเธอ ทั้งคู่กลับต้องมาทนทุกข์ทรมานเพราะความสัมพันธ์นั่นแทน

แม้ว่าวาห์นจะไม่เสียใจที่ได้อยู่กับพวกเธอ แต่เขาก็รู้สึกเกลียดตัวเองที่ขาดความรอบคอบ

เขาคาดว่าอาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้นแต่ก็ไม่คิดเลยว่าเป้าหมายแรกของโชคชะตานั้นจะเป็นจุดที่อยู่ใกล้หัวใจขนาดนี้

หากวาห์นตกเป็นเป้าหมายแต่เพียงผู้เดียว เขาอาจจะใจดีปล่อยคนพวกนั้นไปหลังจากจบเรื่อง

ทว่าตอนนี้พวกศัตรูดันมุ่งเป้ามาที่คนรอบข้างแทน วาห์นจึงสาบานกับตัวเองว่าเขาจะทำให้คนพวกนั้นรู้สึกกลัวแบบเดียวกับที่ทีน่ารู้สึกอยู่ในตอนนี้

ขณะที่เขาพุ่งผ่านตัวเมือง กลิ่นของพวกเธอก็แรงขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งวาห์นมุ่งหน้าเข้าไปในซอยขนาดเล็กซึ่งเป็นที่ๆ พวกมิจฉาชีพเข้ามาสิงสู่อยู่เป็นประจำ

เพราะใช้สกิลอำพรางตัว วาห์นจึงก็ยังไม่ถูกตรวจพบก่อนจะกระโดดขึ้นไปอยู่บนหลังคาของอาคารเก่าๆ

วาห์นสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตมากมายจากภายในตัวอาคารผ่านทางพลังเขตแดน นั่นยังรวมถึงออร่าสีม่วงสองจุดที่เขาจำได้ทันทีว่าเป็นมิลานและทีน่า

วาห์นสังเกตเห็นว่าพวกมันแยกทั้งสองออกจากกันและทีน่านั้นอยู่กับใครก็ไม่รู้อีกสองคนที่ห้องใกล้เคียงซึ่งน่าจะเป็นห้องขัง

สิ่งที่ทำให้จิตใจของวาห์นรู้สึกด้านชาก็คือมิลานที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยจุดออร่าสีดำและแดงเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้เขายังพบว่าเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ออร่าของมิลานก็จะผันผวนขึ้นก่อนจะเริ่มอับแสงลง

ความโกรธของวาห์นแทบจะระเบิดออกมา แต่มันก็ถูกความเย็นสงบที่รุนแรงขึ้นไม่แพ้กันดันกลับลงไป

วาห์นรู้สึกว่าครั้งนี้มันเย็นมากกว่าปกติมากจนแทบจะกัดกินเข้าไปในจิตใจของเขา…

เขาสูดหายใจลึกๆ พร้อมกับหลับตาลงและทำสมาธิ

แม้จะมองไม่เห็นภาพแบบชัดเจน แต่วาห์นก็จดจำทั้งจำนวน ตำแหน่ง สีของออร่า และข้อมูลที่จำเป็นต่างๆ ไว้ได้หมดแล้ว

เขาเห็นว่าทีน่ากำลังนั่งลงกับพื้นแบบกลัวตัวสั่น ขณะที่มิลานนั้นกำลังถูกคนเจ็ดคนซ้อมจนเกือบปางตาย

เธอกำลังนอนอยู่บนพื้นและวาห์นแทบจะรู้ได้สึกแรงกระแทกทั้งหมดที่เข้ามากระทบร่างกายของเธอผ่านทางประสาทสัมผัสของตัวเอง

ช่วงเวลาที่เขามุ่งเป้าไปยังชายทั้งเจ็ดคน วาห์นก็ใช้ [เอ็นคิดู] เสียบร่างของพวกมันก่อนจะพังหน้าต่างเข้าไปข้างใน

ตอนที่ใช้ [เอ็นคิดู] นั้น วาห์นได้เล็งไปตรงส่วนหัวและเห็นว่าออร่าของพวกมันดับมืดลงทันที

คนที่เหลือในอาคารนั้นยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แถมร่างของทั้งเจ็ดก็ยังไม่ตกถึงพื้นและยังถูกเสียบเอาไว้ทั้งอย่างนั้น

หลังจากลอบเข้าไปในอาคารได้ครู่หนึ่ง วาห์นก็มาถึงห้องที่มิลานกำลังนอนอยู่

เมื่อเขาเห็นเธอ…. วาห์นรู้สึกเจ็บปวดมาก… เจ็บปวดจนแทบทรุดลงไปกับพื้น

มิลานนั้นอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าและกระดูกในร่างกายของเธอดูเหมือนจะหักเกือบทุกชิ้นพร้อมกับมีรอยฟกช้ำเต็มไปหมด

อาจเป็นเพราะมิลานสู้กลับในตอนแรก พวกมันก็เลยรุมซ้อมเธอเพื่อเป็นการฆ่าเวลา

เธอถูกปกคลุมไปด้วยของเหลวมากมายที่ไม่ใช่เลือดเพียงอย่างเดียวและมีสีหน้าที่ดูว่างเปล่าราวกับดวงวิญญาณได้จางหายไปแล้ว

วาห์นยังเห็นว่าฟันของเธอนั้นหายไปหลายซี่และดูเหมือนว่าตาข้างหนึ่งก็ถูกบดขยี้ไปแล้วด้วย

ใบหูของเธอเองก็หายไปบางส่วน… แต่ส่วนหางนั้นกลับถูกตัดออกไปจนหมด

วาห์นเริ่มหายใจอย่างหนักหน่วงแม้จะมี [จิตแห่งราชัน] จะคอยช่วยอยู่ตลอด ก่อนที่เขาจะเคลื่อนเข้าไปหามิลานที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายและเริ่มต้นการรักษา

ขณะใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของเธอ วาห์นก็เริ่มใช้ [เคลื่อนย้ายบาดแผล] เพื่อดูดซับความเสียหายมาไว้ที่ตัวเอง

เขายังซื้อคทา [ฟื้นฟู] จากในระบบและใช้มันกับเธอและกับตัวเองด้วย

ถึงวาห์นจะรู้สึกเจ็บเจียนตายแต่เขาก็ไม่ได้แสดงมันออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย

มีแต่เพียงน้ำตาที่ไหลรินออกมาเท่านั้น… และก็เป็นน้ำตาที่เกิดจากการเห็นสภาพของมิลานล้วนๆ

เขายังคงลูบหัวของเธอต่อไปขณะกระซิบปลอบโยนอย่างแผ่วเบา

ในระหว่างที่ทำการรักษาต่อไปเรื่อยๆ เด็กหนุ่มก็ไม่อาจกักเก็บน้ำตาไว้บนใบหน้าของตัวเองต่อไปได้ ก่อนที่มันจะเริ่มหยดลงไปบนใบหน้าของหญิงสาวที่ยังไม่ฟื้นคืนสติดีนัก

สิ่งเดียวที่มิลานรู้สึกก็คือพลังงานอันอบอุ่นที่ไหลเข้ามาในร่างกาย… ก่อนที่เธอจะเริ่มหลั่งน้ำตาออกมาเช่นกัน

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท