บทที่ 14-2 ผู้หญิงที่ดีดเหมือนหมัด
Xiaobei
อึนคังทำหน้าตกจริงๆ อะไรจะตกใจขนาดนั้น
“ที่ปรึกษาการเงินต้องตามติดเรื่องสังคม, เศรษฐกิจ, การเมือง ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นภายในและนอกประเทศต่างๆ เป็นธรรมดาครับ ตื่นเช้ามาก็เริ่มต้นวันด้วยการสแกนข่าวทั่วโลก มีเวลาว่างก็ต้องหาข่าวจนเข้านอนนั่นแหละครับ”
“เท่จังเลยค่ะ”
มือของจีฮวันที่กำลังเก็บเอกสารใส่กระเป๋าหยุดชะงัก มานั่งจ้องหน้าคนอื่นแล้วชมว่าเท่ขนาดนั้น ถึงจะเป็นจีฮวันคนหน้านิ่ง จะไม่ใจเต้นไหวหรือ
“งั้นทำสัญญาแล้วค่อยนัดกันอีกครั้งเป็นไงครับ วันนี้ก็ร่างสัญญาแล้วสัมภาษณ์คร่าวๆ ไปก่อนดีไหมครับ”
“ถ้าคุณพีบีไม่ยุ่ง จะเอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ”
“ได้ครับ”
อึนคังหยิบสมุดเล่มใหม่ออกจากกระเป๋า บนหน้าปกสมุดเล่มเล็กกว่าฝ่ามือเขียนเอาไว้ว่า ‘ข้อมูลที่ปรึกษาด้านการเงินส่วนบุคคล’
“ช่วยเล่าประวัติส่วนตัวคร่าวๆ ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ เรียกจบเอกอะไร เข้ามาวงการการเงิน หรือเริ่มเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินได้ยังไง…”
แล้วจู่ๆ อึนคังที่กำลังถามพร้อมกับดวงตาดำกลมโตจ้องมาที่จีฮวันอย่างเอาการเอางานก็หุบปากฉับ
“มีอะไรเหรอครับ”
“เรา เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าคะ”
“ผมเพิ่งเจอคุณนักเขียนเป็นครั้งแรก”
“งั้นเหรอคะ”
อึนคังเอียงคอสงสัย สายตายังไม่ละจากจีฮวัน
“เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน หรือจะได้ยินบ่อยๆ”
“คงอย่างนั้นละครับ”
น่าจะเพราะผมหล่อ
“คุณหล่อมากเลยนะคะ”
จีฮวันใจสั่นเล็กๆ อีกแล้ว อึนคังที่พูดชมเขาว่าหล่อด้วยสีหน้าจริงจังไม่ปนหัวเราะจดอะไรยุกยิกลงในสมุด
หลังจากลอบถอนหายใจ จีฮวันก็จ้องมองอึนคังอย่างพินิจพิเคราะห์ เขาพบเจอคนในโลกการทำงานมาเยอะ และคิดว่าพอมองคนออกบ้าง แต่กับโกคึมกังนักเขียนเว็บนิยายออนไลน์ที่นั่งอยู่ตรงหน้า กลับเป็นคนที่เขาอ่านไม่ออกเลย
อะไรกันนะ ผู้หญิงคนนี้ บอกว่านิยายตัวเองวาบหวิวแล้วก็อายหน้าแดง แต่ชมผู้ชายที่เพิ่งพบกันครั้งแรกว่าหล่อได้หน้าตาเฉย แล้วยังก่อนหน้านี้อีก สาเหตุที่รีบวิ่งลงบันไดมาเพราะอยากเจอเร็วๆ
รอยยิ้มสดใส ใบหน้าแดงๆ ที่หอบหายใจบอกว่าอยากเจอในตอนนั้น ทำเอาหัวใจจีฮวันไหววูบ ไม่รู้เลยว่าผู้หญิงที่ตีมือ พูดชมรูปร่างหน้าตาคนอื่น…จะเขียนหนังสือเก่ง ผู้หญิงไร้มารยาท
จีฮวันหยิบเอกสารจากในกระเป๋าส่งให้อึนคัง
“ผมอดนอนทำนี่มาด้วย เผื่อจะลดขั้นตอนในส่วนที่ว่าผมมาเป็นที่ปรึกษาทางการเงินได้ยังไง โปรไฟล์ง่ายๆ เอาไปอ้างอิงประวัติส่วนตัวได้ครับ”
นี่ไม่ใช่ ‘โปรไฟล์ง่ายๆ’ อย่างที่บอกเลยสักนิดเดียว แต่เป็นประวัติส่วนตัว ‘สุดอลัง’ ที่จ่ายเงินให้มืออาชีพทำให้เลยต่างหาก สายตาของอึนคังที่มองไฟล์นั้นถึงกับดวงตาสั่นระริก
“ว้าว จบแผนกบริหารมหาลัยโซล, เอ็มบีเอ ฮาวาร์ด อเมริกา, ได้ประกาศนียบัตรนักบัญชีตอนเรียนมหาลัย, ได้รางวัลพีบียอดเยี่ยมจากธนาคารซอริมสองปีซ้อน? พระเจ้าช่วย ประกาศนียบัตรมีที่ใบกันเนี่ย ประกาศนียบัตรตัวแทนขายอสังหาฯ ก็มี? ในอนาคตแก่ตัวไป คุณพีบีจะเปิดร้านนายหน้าซื้อขายหรือเช่าบ้านและที่ดินได้เลยนะเนี่ย”
อึนคังชมรัวๆ
“เรื่องนั้นไว้ทีหลัง”
“รู้ไหมคะว่าฉันตกใจอะไรที่สุด”
“อะไรครับ”
จะมัวแต่ชมว่าคนคนหนึ่งจะทำได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้อย่างเดียวงั้นเหรอ หยุดชมอะไรน่าอายแบบนั้นสักทีเถอะ ขอร้อง
“ในโลกนี้มีประกาศนียบัตรที่ฉันไม่รู้จักเยอะแยะขนาดนี้เลย”
“…”
“ประกาศนียบัตรที่ฉันเคยเจอมาก็มีใบประกาศของหมอ, ทนาย, ครู, พยาบาล แล้วก็พวกใบประกาศช่างทำขนมหวาน, ใบประกาศผู้ดูแลผู้พักฟื้น, ใบประกาศพ่อครัวอาหารญี่ปุ่น เกาหลี อาหารตะวันออก”
“จะร่ายยาวไปถึงไหนครับ”
จีฮวันแทรก ถ้าไม่ห้ามคงได้นับนิ้วมือนิ้วเท้าไปทั้งคืน ท่าทางจะอัดอั้นตันใจกับใบประกาศนียบัตรที่ตัวเองรู้มามาก
แต่อึนคังก็ยังพูดต่อ
“แล้วฉันก็ไม่เคยเจอคนที่จบมหาลัยกับฮาวาร์ดเลยสักครั้ง แต่นี่ฉันกำลังนั่งเผชิญหน้ากับเขา! อยู่มาตั้งนานเพิ่งเคยเจอ”
เธอว่าอย่างนั้น ผมเองก็ไม่นึกฝันว่าจะมีวันได้มาเกี่ยวข้องกับนักเขียนนิยายโรแมนซ์สิบเก้าบวกขนาดนี้เหมือนกัน
“คุณคงหัวดีมากเลยนะคะ ตอนเรียนได้ที่หนึ่งของโรงเรียนแน่เลย ตอนเรียนมหาลัยก็น่าจะแบบนั้นใช่ไหม”
“ไม่เคยได้หรอกครับ ที่หนึ่งของโรงเรียนน่ะ”
“เอ๋? จริงเหรอคะ”
“ใบคะแนนผมไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ที่ดีที่สุดก็ที่สองของชั้น สอบทีต้องขอให้โชคช่วย”
“จริงเหรอคะ”
“ผมไม่เคยเรียนพิเศษเลยสักครั้ง เรื่องจริงครับ คุณจะไม่ได้สัมภาษณ์คนที่ได้คะแนนเต็มแน่ๆ ต่อให้จำหนังสืออ่านเพิ่มเติม หรือฟังบรรยายทางอินเทอร์เน็ตจากช่องอีบีเอสก็ยังมีคำถามที่ไม่เข้าใจอยู่ดี ลองทำยังไงก็ไม่ถูก เหมือนของขวัญจากซานต้าที่โยนมาให้แค่พวกเด็กที่เรียนพิเศษเท่านั้น”
จีฮวันหัวเราะอย่างขมขื่น ผ่านมาจะยี่สิบปีแล้ว แต่คิดถึงตอนม.ปลายทีไร ก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนในท้องขึ้นมาอยู่ดี
“ผมไม่ได้ยากจนข้นแค้นขนาดนั้น แต่ก็ไม่มีเงินพอจ่ายค่าเรียนพิเศษ เตรียมไว้พอแค่ค่าลงทะเบียนเรียนมหาลัยปีหนึ่ง จากนั้นผมต้องหาเงินสำหรับอนาคต กัดฟันเรียนไป มหาลัยเอกชนค่าเทอมแพงมาก ยังไงก็ต้องเข้ามหลัยรัฐให้ได้ ถึงจะพอหายใจโล่งหน่อย ตั้งแต่ม.5 วันธรรมดาทำงานวันละสามชั่วโมง วันหยุด ได้นอนไม่เคยเกินสี่ชั่วโมง หัวก็ไม่ได้ดีมาก ต้องอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก…”
จีฮวันที่เล่าไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนักหยุดชะงัก ในตาของอึนคังที่เคยยิ้มสดใสก่อนหน้านี้มีน้ำตาคลอ
“ร้องไห้ทำไมครับ”
น้ำตาที่ถูกอึนคังใช้มือเช็ดไหลลงมาตามแก้ม น้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาเป็นประกายชัดเจน
“เรื่องของคุณพีบีเศร้าจังค่ะ”
“มันไม่ใช่เรื่องเศร้าอะไรหรอกครับ”
เฮ้อ อารมณ์อ่อนไหวของพวกที่เป็นนักเขียนที่คนธรรมดาไม่อาจเข้าใจ เจอกันแค่ชั่วโมงเดียว เหนื่อยเหมือนประชุมมาราธอนมาสามสี่ชั่วโมง
“ถ้าไม่เป็นไร วันนี้พอแค่นี้ดีไหมครับ”
“ค่ะ เอางั้นก็ได้ ความจริงฉันเองก็เพิ่งกลับจากเดินทางมาได้สองวัน ยังเพลียๆ อยู่เหมือนกัน ประชุมกันคราวหน้าเมื่อไหร่ดีคะ วันนี้คุณพีบีมาหาถึงอิลซาน คราวหน้าฉันเป็นคนไปแถวบ้านคุณพีบีบ้าง”
“ไม่เป็นไรครับ เจอกันที่อิลซานนี่แหละครับ”
“เอ๋ ไม่ได้สิคะ รบกวนขนาดนั้นไม่ได้หรอกค่ะ อยู่ตรงไหนของโซลคะ ยออีโด? คังนัม?”
จีฮวันลังเลอยู่สักครู่ก่อนบอกไป
“ผม อยู่อิลซาน”
“จริงเหรอคะ เป็นคนอิลซานเหรอคะ ว้าว อยู่ตรงไหนคะ แพกซอกดง?”
“ชางฮังดง…เลคเฮาส์ครับ”
“เอ๋?”
ดวงตาของอึนคังเบิกกว้าง
“จริงเหรอคะ อยู่ที่นี่เหรอคะ อยู่คอนโดเดียวกับฉันเหรอ แล้วทำไมไม่บอกล่ะคะ”
“ก็คุณไม่ได้ถามนี่ครับ”
“อ้า จริงด้วยนะ ฉันไม่ได้ถาม ว้าว เหลือเชื่อจริงๆ คุณพีบีอยู่ห้องไหนคะ ฉันอยู่ 1503 ค่ะ”
ทำงานด้วยกัน แล้วยังอยู่คอนโดเดียวกันอีก แล้วจะต้องไปปิดบังอะไร จีฮวันจึงเผยเรื่องของตัวเองออกมา
“ผมอยู่ชั้นล่างคุณนักเขียนครับ ห้อง 1401”
“ปู้ด!”
อึนคังที่กำลังยกแก้วดื่มสำลัก พ่นน้ำส้มที่อยู่ในปากออกมา
เฮ้ย อะไรของเขาอีกเนี่ย โชคดีที่นั่งห่างโต๊ะ จีฮวันเกือบโดนน้ำส้มพ่นใส่แล้ว
“อ๊ะ ทำไงดี ทะ ทำไงดี ขะ ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่โดนผม”
“อ้า ทำไงดี กะ กระดาษทิชชู่…”
พ่นน้ำส้มออกมา การกระทำของเธอมันก็ดูไม่ดีจริงๆ แหละ และคราวนี้เพราะรีบหากระดาษทิชชู่ ศอกเลยไปชนกับแก้ว แก้วน้ำส้มเลยหกคว่ำเสียเต็มโต๊ะ
“ว้าย ทำไงดี ทำไงดี”
อึนคังเกือบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“เป็นไรไหมครับคุณนักเขียน”
“ไม่ค่ะ ไม่ ฉันไม่เป็น…ขะ ขอโทษนะคะ ฉันขอโทษจริงๆ”
แค่น้ำส้มหก ต้องขอโทษอะไรขนาดนั้น แถมยังไม่ยอมสบตาจีฮวันอีก
คราวนี้อึนคังที่ก้มหน้าก้มตาวุ่นวายเช็ดโต๊ะกลับทำสมุดตก
สายตาของจีฮวันที่หยิบสมุดขึ้นมาหยุดที่ตัวหนังสือเหมือนเมล็ดงาที่เขียนอยู่ในนั้น รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ลายมือเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยแฮะ
แล้วจีฮวันก็หยิบโพสต์อิทที่ยับยู่ยี่ออกมาจากกระเป๋าเก็บการ์ด เป็นกระดาษที่คนร้ายอึแล้วหนีเอามาติดไว้ ในโพสต์อิทขนาดกว้างสิบเซนติเมตร ยาวเจ็ดเซนติเมตร มีลายมือเล็กๆ เหมือนเมล็ดงาเบียดกันอยู่
ถึงแม้ไม่มีเส้นก็เขียนตรงเป็นระเบียบ ตัวหนังสือก็ไหลลื่น คาดเดาได้ว่าต้องเป็นคนที่คุ้นเคยกับการเขียนโน้ตด้วยปากกา ชอบเขียนในกระดาษแผ่นเล็กๆ ใช่แล้ว อย่างสมุดพกนี่
อึนคังที่กำลังเช็ดโต๊ะค่อยๆ หันหน้ามาช้าๆ ด้วยลางสังหรณ์อันน่าขนลุก หน้าซีด มองกระดาษโน้ตกับสมุดที่อยู่ในมือทั้งสองข้างของจีฮวันสลับกัน
เมื่อสิบวันก่อน เธอคือผู้หญิงหน้าซีดคนนั้นที่เจอที่หน้าห้องจีฮวัน
“ในที่สุดก็เจอกันจนได้นะ ยัยอึ”