บทที่ 28-3 ความแตกต่างระหว่างความจริงกับภาพลักษณ์, การโกหก, ความจอมปลอม / บทที่ 29-1 ไส้พุงของแฟนเก่า
Xiaobei
บทที่ 28-3 ความแตกต่างระหว่างความจริงกับภาพลักษณ์, การโกหก, ความจอมปลอม
สตูดิโอข่าวถูกแทนที่ด้วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า, ห้างสรรพสิค้า, พิพิธภัณฑ์ศิลปะ และโรงพยาบาล จากกล้องที่คอยจับภาพก็แค่เปลี่ยนเป็นสายตาของผู้คน อย่างเช่น พนักงานร้าน, ผู้ป่วย, อาสาสมัครบ้านพักคนชรา
ไม่ว่าจะสมัยเป็นผู้ประกาศข่าวหรือตอนนี้ ก็ต้องเก็บซ่อนสิ่งที่อยู่ในใจ แสดงภาพลักษณ์ที่ผู้คนต้องการให้เห็น
คนคนเดียวที่ราฮีสามารถปล่อยใบหน้าเปลือยเปล่าอย่างคนธรรมดาได้ก็คือจีฮวัน สิ่งที่จีฮวันทนไม่ได้ที่สุดคือการยกย่องเกินความจริง, การโกหก, ความจอมปลอม ซึ่งเป็นสิ่งที่ราฮีทำอยู่ทุกวัน
“คุณผู้หญิงครับ อีกสิบนาทีจะถึงบ้านท่านประธาน”
คำพูดของคนรถคิมทำให้หัวใจเริ่มเต้นรัว แต่งงานมาสองปีแล้ว และแยกกันอยู่กับครอบครัวพ่อแม่สามี แต่ก็เข้าออกที่นี่บ่อยๆ บ้านสามียังคงเป็นสถานที่ที่ทำให้เครียดเหมือนทุกครั้ง
พนักงานรักษาความปลอดภัยเปิดประตูรถให้ ราฮีขึ้นลิฟต์จากที่จอดรถใต้ดินไปยังโถงหลักชั้นหนึ่ง
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศในบ้านที่ไม่ปกติ หน้าทางเดินไปยังห้องนั่งเล่น สาวใช้สามคนกำลังแอบมองภายในห้องนั่งเล่น
“ทำอะไรกันอยู่คะ”
สาวใช้พากันสะดุ้งตกใจเสียงเย็นเยียบของราฮี
ขณะที่สาวใช้อายุหกสิบรับหน้าที่จัดการเรื่องอาหารและดูแลทั้งบ้าน อีกสองคนอายุราวๆ สี่สิบห้าสิบปีก็ดูแลงานบ้านต่างๆ อย่างเช่น ทำความสะอาดและซักผ้า ทุกคนโค้งให้ราฮี แต่แล้วก็ได้ยินเสียงแก้วแตกดัง ‘เพล้ง!’ ดังออกมาจากห้องนั่งเล่น
“นังนี่! ไม่มีตาหรือไง หา?”
จากนั้นก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง พลั่ก, พลั่ก, ตึงตัง เพียะ เพียะ
ราฮีหลับตาแน่นกัดริมฝีปากเบาๆ
เสียงนั่นคือเสียงประธานพัค พ่อสามีของราฮีตบตีคุณนายจาง แม่สามี
บทที่ 29-1 ไส้พุงของแฟนเก่า
ราฮีรีบปิดประตูบานเลื่อนที่กั้นแบ่งระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องรับแขกหลัก
“ต่อไปถ้ามาเสียสติฉอดๆ ไม่คิดอีกครั้งเดียว! จะตะเพิดไปซะเลย!”
เสียงดังสนั่นของประธานพัคพร้อมกับเสียงเดินลงเท้ากับพื้นไม้ตึงๆ อย่างแรงดังลั่นห้องนั่งเล่น
เสียงที่เหมือนแรดวิ่งเข้าใส่ทำเอาบรรดาคนใช้พากันไปแอบตรงโน้นตรงนี้เหมือนแมลงสาบ มีเพียงราฮีเท่านั้นที่ไม่ไปซ่อนตัว เธอเพียงยืนก้มหน้าทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยินอะไร
“นังคนไหนปิดประตูด้านในอีกแล้ว!”
ประตูถูกเปิดอย่างแรงพร้อมเสียงดังปัง! ประธานพัคที่ใส่เพียงเสื้อกล้ามกับกางเกงบ็อกเซอร์ออกมายังห้องรับแขกอย่างไม่สะทกสะท้าน มีแก้วเหล้าวางอยู่หลายแก้ว หน้าและตัวแดงไปหมด
สบตากับพ่อสามี ราฮีรีบโค้งเก้าสิบองศาอย่างนอบน้อม
“มาแล้วเหรอ”
ท่าทางขึงขังของประธานพัคเบาลงเล็กน้อย
“ค่ะ หนูไปเอาสูทคุณพ่อที่โซกงมา มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
ถามว่ามีอะไรหรือเปล่ากับผู้ชายที่เพิ่งตบตีเมียไปเมื่อกี้ ช่างเป็นถ้อยคำแดกดันที่ร้ายกาจ
“ได้ข่าวมีเรื่องที่ร้านเสื้อ?”
ประธานพัคนั่งกางขาเอนตัวพิงโซฟา บ็อกเซอร์ปลิวไสว ราฮีเบือนสายตาจากขาของพ่อสามีที่เต็มไปด้วยขน ตอบอย่างระวัง
“ไม่มีอะไรค่ะ ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องใหญ่”
“พูดเหมือนเป็นคนอื่นไกล ถึงไม่มีอะไรก็ทำให้เหมือนมีเข้า ออกข่าวบ่อยๆ ให้เป็นที่พูดถึง จะได้ช่วยสร้างอิมเมจให้บูกยอง! แต่ละข่าวที่ออกมาจะช่วยกำจัดเสียงน่ารำคาญที่คอยสร้างความไม่น่าไว้วางใจ!”
“ค่ะ หนูจะจำไว้”
ราฮีรีบเห็นด้วย ประธานพัคมองราฮีที่ก้มหัวให้แล้วพูดอย่างมีเมตตา
“นังที่ช่วยทำงานในบ้านนี้ก็มีแต่เธอ”
คำว่า ‘นัง’ ทำเอาราฮีสะดุ้งเฮือกและถึงกับห่อไหล่ ตอนมาทักทายก่อนแต่งงาน ได้ยินคำว่านังจากประธานพัคเป็นครั้งแรกถึงกับช็อก แต่ถึงแม้จะได้ยินมาหลายครั้งยังไงก็ยังไม่ชินเสียที
นังสะใภ้, นังแม่บ้านอายุหกสิบ แม้กระทั่งภรรยาตัวเองที่กำลังจะเจ็ดสิบอยู่วันนี้พรุ่งนี้ก็ยังเป็นนัง ผู้หญิงจะเด็กหรือแก่กว่าตัวเองเป็นนังหมด
คำว่านังที่ประธานพัคพ่นออกมาฟังดูหยาบคาย แต่ราฮีพยายามคิดอย่างใจกว้าง ว่าอาจเป็นเพราะชีวิตของเขาเคยยากลำบากมากมาก่อน
เกิดในป่าเขาจังหวัดคย็องกีที่ยากจนแร้นแค้น หลังจากจบชั้นประถม ก็ย้ายไซด์ก่อสร้างไปเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุสิบกว่า อาศัยพวกนักเลงสร้างบริษัทก่อสร้าง ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาเขาทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด แม้กระทั่งฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อหาเงิน เป็นผู้ชายที่สร้างกลุ่มธุรกิจจนรวยติดอันดับสามสิบของประเทศ
ประธานพัคเป็นเจ้าพ่อแห่งป่าทึบ เป็นใหญ่ในบ้าน เป็นพระเจ้าของกรุ๊ป ใครก็ไม่สามารถขัดขืนหรือไม่เชื่อฟังไม่ได้
“ไม่เหมือนนังนั่น อายุก็มากแล้ว ดีแต่ไร้สาระ คิดแต่เรื่องผลาญเงิน! จิ๊ๆ ก่อนตายจะคิดได้บ้างไหม”
พ่อสามีนินทาภรรยาเสียงดังจนคนใช้ได้ยินกันหมด ราฮีทนดูอีกไม่ไหว รีบเอาสูทที่ถือมาวางลงบนโต๊ะ
“คุณพ่อจะลองใส่ไหมคะ หรือจะให้เอาไปไว้ในห้องแต่งตัว”
“เอาออกมาสิ ไอ้ผ้านี่เท่าไหร่นะ โดนไปซะหลายล้านใช่ไหม ไอ้พวกโจรเอ๊ย”
มือของราฮีที่ค่อยๆ รูดซิปถุงใส่สูทสั่นเล็กน้อยทั้งที่ไม่ได้ทำผิดอะไร
ประธานพัคลุกพรวดขึ้นเดินไปหาราฮี หันหลังแล้วกางแขน หมายความว่าให้ใส่ให้
ราฮีเบือนหน้าหนีพ่อสามีพลางกลั้นหายใจ กลิ่นเหงื่อ, กลิ่นรักแร้, กลิ่นเหล้าผสมกัน กลิ่นเหม็นบูดและกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเหม็นหึ่งอย่างบรรยายไม่ถูก นิสัยกินนอนที่ไซด์ก่อนสร้าง ไม่ชอบอาบน้ำหลายๆ วันทำให้กลิ่นแรง สำหรับประธานพัค การอาบน้ำเกือบจะเรียกว่าเป็นกิจวัตรประจำเดือนก็ว่าได้
“เป็นไงบ้าง”
ประธานพัคที่สวมเสื้อสูทหันมา ราฮีรีบเปลี่ยนจากหน้าย่นเป็นยิ้มแย้มทันที
เพราะรูปร่างคอกับแขนสั้น ไหล่และหลังหนา จึงดูน่าเกลียด เหมือนตาแก่บ้านนอกเอาเสื้อหมื่นวอนจากร้านมือสองมาใส่ เสียราคาเสื้อผ้าตัวละหลายล้านจริงๆ
“เท่ไปเลยค่ะ คุณพ่อรูปร่างดี ไหล่ผึ่งผาย เหมาะมากค่ะ”
“ฉันดูตัวใหญ่หรือเปล่า เฮ้ย! นังพวกนี้ออกมาสิ!”
พวกคนใช้ที่แอบอยู่ปรากฏตัวออกมาทีละคนสองคน
“เป็นไง ดูดีไหม เข้ากับฉันหรือเปล่า”
“อ้า ดูดีมากค่ะ”
“ยังกับนายแบบชุดสูทเลยค่ะ”
“เหมือนหนุ่มๆ สักห้าสิบเลยค่ะ”
ประธานพัคเริ่มเต้นส่ายก้นไปมา อารมณ์ดีกับคำชมที่พวกคนใช้พากันอวย
“อ้า วันเดอร์ฟูล อ้า วันเดอร์ฟูล เยี่ยม เยี่ยม! ชีวิตพ่อ!”
พวกคนใช้ปรบมือสร้างความบันเทิงให้กับประธานพัคที่เต้นไปในชุดท่อนบนเป็นสูทสุดหรู ท่อนล่างเป็นกางเกงในบ็อกเซอร์ ราฮีเดินไปด้านหลังตรงไปยังห้องด้านในที่คู่สามีภรรยาประธานพัคใช้
ตอนที่เดินผ่านทางเดินห้องพัก คุณนายจางก็ออกมาจากห้องอาบน้ำพอดี
“คุณแม่ หนูมาแล้วค่ะ”
ราฮีโค้งเก้าสิบองศาทักทายอย่างนอบน้อม
คุณนายจางแต่งตัวสวยงาม ต่างจากประธานพัคที่ใส่แต่กางเกงในราวกับแก้ผ้าอยู่ในบ้าน
ตีห้าของทุกวัน ช่างเสริมสวยจะมาแต่งหน้าทำผมให้ที่บ้าน และภายในหนึ่งอาทิตย์จะมีสไตล์ลิสต์จากห้างมาจัดชุดให้ใส่ เลือกเครื่องประดับและรองเท้าที่เข้ากับชุดให้
การอยู่ด้วยกันของคุณนายจางที่ขนาดอยู่ในบ้านยังใส่รองเท้าแตะสูงเจ็ดเซนติเมตร จัดกระทั่งสร้อย ต่างหู แหวนกับประธานพัคที่ใส่แต่กางเกงใน ช่างเป็นอะไรที่ไม่เข้ากันเหมือนภาพตัดต่อ
คุณนายจางที่สวมชุดยาวสำหรับใส่อยู่บ้าน ซ่อนรอยฟกช้ำบนใบหน้าจากการถูกสามีตบตีไว้ใต้เครื่องสำอางหนา พันผ้าพันคลุมไหล่ จ้องราฮีอย่างวางท่าถือตัว
“ในบ้านนี้มีแต่เธอช่วยทำงานสินะ”
คุณนายจางเดินผ่านไปพร้อมคำพูดที่มีทั้งความอิจฉาและความรู้สึกรังเกียจ ราฮีถึงกับกัดริมฝีปากแน่น
* * *
จีองที่หลับอยู่บนเก้าอี้โยกกระดกหัวไปยังเสียงตึงตังที่ดังอยู่นอกประตู
ทาสกลับมาแล้ว!
จีองโดดลงจากเก้าอี้ ยืดบิดขี้เกียจรอบนึงแล้วไปนั่งรออยู่หน้าประตู จริงๆ ก็เคืองทาส หายออกไปตั้งแต่เช้า ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ถึงได้คลานกลับมาดึกแบบนี้
“ว้าว จีองนี่นา จีอง!”
ทันทีที่ประตูเปิด มนุษย์ที่วิ่งโซเซเข้ามาไม่ใช่ทาส แต่เป็นผู้หญิงคนนั้นที่เทอาหารให้เมื่อคืน และนั่งบ่นอยู่ข้างๆ ตอนกิน
อี๋ กลิ่นอะไรเนี่ย! จะอ้วก!
จีองหนีไปห้องหนังสือ ส่งสายตามายังอึนคังและจีฮวันตามลำดับ
“อ้าว? จีอง ไปไหนล่ะ! อย่าไปน้า! มาเล่นกันเถอะ น้า?”
“จีองไม่ชอบกลิ่นเหล้า”
“ส่วนจากูของฉันนี่ชอบมาก”
“จะหมาหรือเจ้าของก็เหมือนกัน ไม่รู้ใครขี้เมากันแน่”
“หือ? ใคร ใครกันแน่ขี้เมา ใครไม่ดื่มกลางวัน แต่กระดกโซจูคนเดียวไปสองขวดก่อนพระอาทิตย์ตก ลากคนเพลียไปต่อร้านสอง ร้านสาม”
“แต่คุณนักเขียนเองไม่ใช่เหรอที่จะดื่มเบียร์ล้างปากเป็นอย่างสุดท้าย”
“โซจู, เบียร์, โซจู เรียงมา เพื่อความสมดุลก็ต้องจบด้วยเบียร์สิ!”
“หนวกหู เอาเบียร์ออกมาสิ”
ระหว่างที่จีฮวันไปเตรียมกับแกล้มในครัว อึนคังก็วางกระป๋องเบียร์บนโต๊ะในห้องรับแขก
จีฮวันยกชีสกับผลไม้ออกมา
“กับแกล้มเท่านี้พอไหมครับ”
“แค่นี้ก็พอแล้ว! อ้า น่ากินจัง”