ไม่ชอบที่ข้าเนื้อหนังมังสาน้อย?
ตำหนักที่อยู่บนยอดชั้นหินเริ่มปรากฏ ผู้อารักขาหมาป่าสูงราวแปดเก้าฉื่อถือกระบี่เดินออกมาราวสิบกว่าตัว แยกออกเป็นสองฝั่งหน้าประตูตำหนัก ยังมีกลองที่ใหญ่กว่าโต๊ะกลมตั้งอยู่หน้าประตูกับมือกลองที่แข็งแรงดุจไท่ซาน!
เพียงแค่หมากนี้ ก็ทำให้คนหมดความมั่นใจไปสามส่วน ถึงแม้จีหมิ่นจวินจะเกิดมาในราชวงศ์ มาถึงที่นี่กลับกลายเป็นเหมือนพวกบ้านนอกเข้ากรุง ไม่รู้ว่ามือทั้งสองควรจะทิ้งตัวลงหรือกำไว้ดี แต่ก่อนนางยังเข้าใจไปว่าชิงชิวเป็นเพียงแค่ที่ทุรกันดาร มาถึงตอนนี้ เทียบกับอาณาจักรจื่อจิวของพวกนางแล้วกลับยิ่งใหญ่กว่าไม่ใช่แค่หลายเท่า!
เมื่อเข้าไปด้านใน เห็นทั้งตำหนักเต็มไปด้วยของมีค่าที่แม้แต่ชื่อก็เรียกไม่ถูก หลังคาโค้งสูงไม่อาจเอื้อม ยังมีรูปปั้นสิงสาราสัตว์นานาพันธุ์อยู่รอบด้าน หัวชิงสีหน้าเคร่งขรึม ประสานมือทำความเคารพราชาจิ้งจอกที่นั่งอยู่สูงขึ้นไป “เจ้าสำนักหัวชิงจากสำนักแรกพยับแห่งอาณาจักรจื่อจิว ขอเข้าพบราชาจิ้งจอก” พูดจบก็มองไปที่พวกมู่จิ่วทั้งสามคนทางด้านข้าง
มู่จิ่วได้ยินคำว่าสำนักแรกพยับแห่งอาณาจักรจื่อจิวก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ สำนักแรกพยับไม่ใช่สำนักที่หลินเจี้ยนหรูสังกัดอยู่หรือ? ทำไมถึงเป็นพวกเขา? หลินเจี้ยนหรูล่ะ? นางรีบเงยหน้าขึ้นมองลงไปข้างล่าง ไม่พบหลินเจี้ยนหรู กลับพบใบหน้าที่คุ้นเคย เป็นเหลียงชิวฉานที่เคยมีเรื่องกับนางที่ประตูสวรรค์แดนใต้ตอนนั้น!
ที่แท้ก็เป็นพวกเขา!
แสดงว่าที่หลินเจี้ยนหรูเร่งร้อนกลับไปสำนักก็เพราะเรื่องนี้!
ตอนนี้เหลียงชิวฉานมองนางคราหนึ่ง แต่เพียงประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็นิ่งไป ก่อนจ้องนางอีกคราและจับกระบี่ข้างเอวแน่น
จอมวางท่ายังคิดจะทะเลาะกับนางที่นี่หรือ?
มู่จิ่วตัดสินใจไม่สนใจนางไปก่อน หันหน้าไปมองลู่ยา ใบหน้าเขายากแท้หยั่งถึง ไม่รู้ว่าคิดอะไร แต่ตอนสายตาของนางพาดผ่าน เขาก็ผ่อนคลายสีหน้าลง ดึงนางมาอยู่ด้านข้างเบาๆ จากนั้นก็มองลงไปด้านล่าง
มู่จิ่วใบหน้าพลันซับสีเลือด ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ เขาจะทำอะไรกัน?
เขากลับไม่เปลี่ยนสีหน้า กระทั่งแม้แต่สายตายังไม่กระเพื่อมไหว เพียงกระซิบเบาๆ ข้างหูนาง “เป่ยหมิง[1]มีปลาลายทองสดๆ กินแล้วบำรุงร่างกายอย่างมาก กลับไปข้าทำให้เจ้าสักหลายตัว เจ้าจะได้กินเสริมเนื้อหนังมังสา”
ใบหน้ามู่จิ่วราวกับมีเลือดสูบฉีดออกมา
หรือว่าไม่พอใจที่นางเนื้อหนังมังสาน้อย?
ไม่สิ! นางจะเนื้อหนังน้อยแล้วเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย!
คิดๆ แล้วยังไงก็ยืนห่างจากเขาสักหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ติดโรคบ้า
ตอนที่นางกับลู่ยาแอบร้องงิ้วกันอย่างลับๆ ราชาจิ้งจอกส่งเสียงเยาะเย้ยออกมา ก่อนที่พวกหัวชิงจะเดินเข้ามาในตำหนัก เขาใช้เวทรักษาบาดแผลเสร็จแล้ว เช่นนี้ความน่าเกรงขามจึงยังคงอยู่ เขากวาดสายตามองไปข้างล่างคราหนึ่ง มองอยู่ระดับประตูตำหนักขณะเอ่ยวาจา “ไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
“พวกเราต้องการพบมู่หรงหลิวเย่!” จีหมิ่นจวินชิงตอบก่อน “สามีข้าหลินเซี่ยตายด้วยน้ำมือนาง ข้าต้องการถามต่อหน้านางว่าแท้จริงแล้วสามีข้ากับนางมีความแค้นอันใดต่อกัน! มีความแค้นใดกับชิงชิวของท่าน!”
“เจ้ามีหลักฐานอะไรยืนยันว่าเป็นบุตรสาวข้าทำ?” ราชาจิ้งจอกเค้นเสียงเย้ย
“นี่ไงหลักฐาน!” จีหมิ่นจวินชูขนจิ้งจอกนั้นขึ้นมา กัดฟันพูด “ตอนสามีข้าตายมีขนจิ้งจอกนี้ตกอยู่ที่ริมหมอน หากราชาจิ้งจอกยืนยันได้ว่าไม่ใช่ของมู่หรงหลิวเย่ ข้าจีหมิ่นจวินจะกลับทันที! และยังจะขอขมาพวกเจ้าชิงชิวด้วย!”
ราชาจิ้งจอกมองดูขนสีแดงเพลิงในมือนาง อดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาลุกขึ้นเดินลงจากชั้นหยก เมื่อเข้าไปมองใกล้ๆ สีหน้าก็หนักอึ้งอย่างหยุดไม่ได้ ใต้ผืนฟ้านี้จิ้งจอกแดงมีไม่มากนัก สีผมสีขนของลูกสาวเขา เขาก็สามารถดูออกได้ ขนจิ้งจอกนี้ไม่ใช่ของปลอม
“หลิวเย่ล่ะ?” เขาถาม
ขันทีเสือดาวเดินขึ้นมาข้างหน้าก่อนพูด “กำลังกลับมาแล้วขอรับ”
ราชาจิ้งจอกตอบรับในลำคอ
จีหมิ่นจวินพบเห็นร่องรอยบางอย่าง เห็นสถานการณ์แล้วจึงพูด “มู่หรงหลิวเย่สังหารสามีข้าอย่างไร้เหตุผล ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ราชาจิ้งจอกก็ต้องมีวิธีจัดการ!”
ราชาจิ้งจอกหน้านิ่งมองนาง ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ชิงชิวของข้าสังหารศิษย์ลัทธิฉ่านไปไม่น้อยจริง แต่ศิษย์ลัทธิฉ่านของเจ้าก็สังหารคนของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกไปมิใช่หรือ? ถึงตอนนี้ฆาตกรที่ลงมือในชิงชิวของข้าก็ยังหาตัวไม่พบ เจ้าพูดแต่ละคำก็บอกว่าตัวเองบริสุทธิ์ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่พวกเจ้าทำ? เจ้าคิดจะทวงคืนความเป็นธรรม ก็ยืนยันให้ได้ก่อนว่าตนเองไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย!”
จีหมิ่นจวินถูกขวางจนไร้คำพูดตอบโต้
มู่จิ่วประเมินพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง เดินไปตรงหน้าจีหมิ่นจวินก่อนกล่าว “สามีของเจ้าคือใครในสำนักแรกพยับ? เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือขององค์หญิงหลิวเย่? ถึงแม้พวกเจ้าจะเก็บขนจิ้งจอกมา จะยืนยันได้อย่างไรว่าเป็นนาง?”
จีหมิ่นจวินเห็นว่าเป็นเด็กสาวหน้าละอ่อน ก็ไม่เห็นนางอยู่ในสายตา เหลือบมองแล้วแค่นเสียงเหยียด “ข้าไม่พูดกับเจ้า!”
ลู่ยาที่อยู่ข้างบนยิ้มเย็น “เจ้าก็ยังต้องพูด นางคือเจ้าหน้าที่เซียนจากหน่วยลาดตระเวนที่สวรรค์ส่งมาทำคดีนี้ หากไม่ใช่เพราะนาง เกรงว่าแม้แต่ประตูนี้พวกเจ้าก็อย่าได้คิดจะเข้า”
คนของสำนักแรกพยับล้วนมองมา
ลู่ยาไม่หลบไม่เลี่ยง เสื้อคลุมบนร่างขยับพลิ้วแม้ไร้ลม นัยน์ตาราวกับรวมดวงดาวนับหมื่นพันไว้ คนแบบนี้ ถึงแม้จะยืนอยู่ในมุม ถึงแม้จะไม่พูด ก็ไม่มีทางทำให้คนละเลยได้
คำพูดของเขาทำให้จีหมิ่นจวินสั่นสะเทือน ถึงแม้นางมักจะถือตัวว่ามีฐานะเชื้อพระวงศ์สูงส่ง และเพราะมีวิมานหลีเฮิ่นอยู่เบื้องหลังจึงกล้ามาก่อเรื่องที่ชิงชิวแบบนี้ แต่สำหรับสวรรค์แล้วกลับยังกลัวอยู่หลายส่วน มิเช่นนั้นแล้ว แต่ละสำนักคงไม่กระตือรือร้นในการส่งลูกศิษย์เข้ารับเกณฑ์ทหารหรอก
นางเม้มปากแน่น ความร้ายกาจสลายหายไปหลายส่วน ช่วยไม่ได้ที่ต้องมีมารยาทกับมู่จิ่ว “สามีข้ากับศิษย์พี่สามที่ตายไปถูกจิ้งจอกแดงทำร้าย นี่คือคำพูดที่เขาบอกด้วยตนเองตอนกลับมา! และศิษย์ของสำนักเรายังมีคนเห็นด้วยตาว่าจิ้งจอกแดงพูดว่าต้องการจะตามสังหารเขา ข้ากับชิงชิวไม่มีความแค้นต่อกัน ไม่มีเหตุผลที่จะพูดจาส่งเดช ยิ่งไปกว่านั้นยังมีขนจิ้งจอกนี้เป็นหลักฐาน…”
“ศิษย์สำนักเจ้าเห็นด้วยตาตนเอง?” มู่จิ่วขมวดคิ้ว “คือใคร?” คงไม่บังเอิญขนาดนั้น!
“หลินเจี้ยนหรู” จีหมิ่นจวินได้ยินนางถามแบบนี้ก็สงสัย “หรือเจ้าหน้าที่เซียนรู้จัก?”
มู่จิ่วไม่ได้ตอบนาง ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความสนใจ “แสดงว่าสามีของเจ้าคือหลินเซี่ย?”
หมายความว่าผู้หญิงตรงหน้าคือแม่ของจีหย่งฟาง คู่ชีวิตคนแรกของหลินเซี่ยที่ทำให้หลินเจี้ยนหรูมีชีวิตราวกับอยู่ในน้ำเดือดตลอดสี่ร้อยปีที่ผ่านมานี้?
พูดกันตามตรง นางไม่เห็นด้วยกับเรื่องมือที่สาม และสนับสนุนฐานะของภรรยาที่ถูกต้องอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ตั้งแต่รู้ถึงความเป็นอยู่ของหลินเจี้ยนหรู นางก็ไม่อาจใช้ความคิดสามัญมาพิจารณาสามีภรรยาชั่วช้าอย่างหลินเซี่ยและจีหมิ่นจวินได้ แม่ของหลินเจี้ยนหรูตั้งครรภ์เขา นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางยินดีเป็นมือที่สาม ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่หลินเซี่ยหรือ? แน่นอนว่าเรื่องศีลธรรมต่ำช้าเช่นนี้ก็ไม่พูดถึงแล้ว
สรุปคือจีหมิ่นจวินจะหาเรื่องเอาเป็นเอาตายกับหลินเซี่ย ใครก็ไม่อาจติฉินนางได้ แต่นางกลับมาทำร้ายแม่ลูกแบบนี้จะนับเป็นอะไรเล่า? พวกเขาแม่ลูกเป็นผู้รับเคราะห์ ทว่าคนที่ก่อเรื่องไม่ใช่เจ้าเลวทรามหลินเซี่ยนั่นหรือ? ถ้าเก่งจริงนางควรถีบเจ้าคนแซ่หลินทีหนึ่งหรือจับเขาตอนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!
“เจ้ารู้จักสามีข้า?” จีหมิ่นจวินฉับพลันระแวดระวังขึ้นมา ใช้สายตาที่เหมือนดูปีศาจจิ้งจอกกวาดมองนาง
…………………………………………………………………………….
[1] เป่ยหมิง คือ ทะเลแห่งหนึ่งที่แสงส่องไม่ถึง