มู่จิ่วเดินตามเข้าไป ถึงค่อยปรับสายตาจากแสงด้านในวิหาร เห็นหินสลักน่าเกรงขามทั้งสี่ด้านอย่างชัดเจน ช่วงปลายสุดของวิหารหินปรากฏให้เห็นทางเดินยาวๆ สองฝั่งของทางเดินต่างก็เป็นเสาที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่าสองฉื่อ ไม่รู้ว่าเดินผ่านเสาแบบนี้มาแล้วเท่าไหร่ เดินเลี้ยวมาแล้วกี่ทางแยก เมื่อถึงสุดทางเดินพลันปรากฎผนังหินหยก
ที่แท้ก็เป็นทางตัน!
และพวกเขายังไม่ทันรวบรวมสติกลับมา ด้านหลังพลันมีเสียงดังเปรี้ยงปร้าง มู่จิ่วหันกลับไปอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงเสาสองฝั่งที่เดินผ่านมาเมื่อครู่โยกขยับอยู่เบื้องหน้าเหมือนกับโคมม้าวิ่ง[1]! และยิ่งบีบใกล้เข้ามา เพียงเวลาพริบตาเดียว พลังลมปราณอันกล้าแกร่งขุมหนึ่งก็พุ่งโจมตีเข้ามาราวกับสายน้ำที่พลิกภูเขาคว่ำทะเล!
“จับข้าไว้ให้แน่น!” ลู่ยารีบดึงข้อมือมู่จิ่ว!
ชั่วเวลาสั้นๆ ร่างทั้งร่างของมู่จิ่วพลันไหลตามพลังลมปราณขุมนั้นไปยังตำแหน่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ และยังมีน้ำโอบล้อมรอบตัวนาง…ที่แท้นางไม่ได้เข้าใจผิดไป พลังลมปราณเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำจริง ซ้ำยังกำลังกลืนกินพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม!
ซ่างกวนสุ่นด่าทออยู่ในกระแสน้ำ “ย่ามันเถอะ เจ้าพวกจิ้งจอกร้ายกาจ! รอให้ข้าออกไปได้ก่อนจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”
ลู่ยามือหนึ่งจับมู่จิ่วไว้ อีกมือหนึ่งร่ายคาถาป้องกันน้ำโอบล้อมร่าง จากนั้นก็ลากซ่างกวนสุ่นเข้ามาด้วย
มู่จิ่วนั่งอยู่ในเขตพลัง มองดูกระแสน้ำขุ่นไหลทั้งสี่ด้านแปดทิศ ยังหลงเหลือเศษเสี้ยวความกลัวอยู่ “ข้ายังนึกว่าอย่างมากก็มีสัตว์ปีศาจสักหลายตัวออกมา ไหนเลยจะรู้ว่าจิ้งจอกจะเลวร้ายขนาดนี้! น้ำนี่มาจากไหน? เป็นไปได้หรือไม่ว่าคือพลังน้ำที่ถูกกระตุ้นด้วยพลังไฟเมื่อครู่?”
“นี่คือน้ำจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ถูกผนึกอยู่ใต้พื้น” ตอนนี้ลู่ยาก็ขมวดคิ้วแล้วเช่นกัน “น้ำท่วมครั้งใหญ่สมัยบรรพกาลได้ท่วมมาถึงชิงชิวและวิหารหินนี้ เพราะว่ารอบด้านของชิงชิวสูง ทำให้น้ำไหลออกไปไม่ได้ ก้งกง[2]จึงผนึกน้ำนี้ไว้ใต้ดิน และมอบคาถาให้แก่จิ้งจอกเก้าหาง เพื่อภายหลังชิงชิวจะได้ใช้ต่อกรกับภัยธรรมชาติ”
“มาวันนี้ดูเหมือนน้ำจะถูกผนึกไว้ที่ใต้วิหารเทพนี้ พลังน้ำสีน้ำเงินโปร่งใสเมื่อครู่ไม่ใช่น้ำนี้อย่างแน่นอน พวกเราเพียงแค่ทำให้สัตว์ปีศาจที่รับผิดชอบเฝ้าน้ำตกใจเท่านั้น”
“ตอนนี้มีหนทางที่จะขึ้นไปหรือไม่?” มู่จิ่วถาม
ลู่ยานับนิ้วคำนวณ พูดอย่างจดจ่อว่า “พวกเรามุ่งไปทางทิศตะวันออก ตอนนี้น้ำท่วมไปทั้งวิหาร ขึ้นไปจะเจอยอดหิน”
มู่จิ่วไร้คำพูด
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จึงทำได้เพียงฟังลู่ยาจัดการ
เขตพลังป้องกันน้ำที่เหมือนกับเรือปิดผนึกทุกด้านลอยมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก ถึงแม้จะโยกไหวไปบ้างแต่ก็ยังถือว่าดี เพียงแค่เหลือบสายตาขึ้นมองรอบด้านต่างก็เป็นน้ำสีเหลืองขุ่น ผสมปนเปไปด้วยกระดูกสัตว์จำนวนไม่น้อยกับเศษซากเสื้อผ้าต่างๆ มองไปแล้วรู้สึกโศกเศร้า น้ำนี้คือน้ำจากท่วมครั้งใหญ่เมื่อหลายแสนปีก่อน ในน้ำทั้งหมดยังไม่เปลี่ยน ยังมีหลักฐานของความโหดร้ายจากอุกทกภัยครั้งใหญ่ในตอนนั้น
ไม่รู้ว่าลอยไปนานไหร่ ทันใดนั้นทิศตะวันออกพลันส่องสว่าง ยังไม่ทันให้นางเตรียมตัว ฉับพลันเขตพลังก็ขยับขึ้นลง พวกเขากับเขตพลังร่วงลงสู่หลุมดำสนิทอย่างรวดเร็ว! จากนั้นไม่นานก็ร่วงลงสู่พื้นแล้วหยุดนิ่ง รอบด้านเริ่มมีแสงดาวห้าสีสาดส่อง!
ซ่างกวนสุ่นเด้งตัวขึ้นมา “มาดูเร็ว! เพชรเต็มไปหมดเลย!”
การมองเห็นของนกย่อมดีกว่าคนเป็นธรรมดา มู่จิ่วได้ยินเขาพูดจบ กว่าจะมองเห็นชัดเจนก็ใช้เวลาอยู่นาน ตอนนี้ที่ที่พวกเขาอยู่คือถ้ำหิน ด้านบนโค้งงอ ด้านล่างปกคลุมไปด้วยหินงอกหินย้อยหลากสี
และด้านหน้าห่างออกไปไม่ไกลก็มีชั้นหินปีนขึ้นไปด้านบน เหมือนกับสกัดมาจากหินก้อนใหญ่โดยตรง ผนังหินสองข้างมีเพชรเม็ดใหญ่ๆ เล็กๆ มากมายฝังตัวอยู่เต็มไปหมด เมื่อโดนไข่มุกราตรีที่มีอยู่ทุกๆ สามก้าวส่องกระทบ จะส่องแสงบางเบาล้อมรอบทั้งสี่ทิศราวกับดาวล้อมจันทร์!
“ไม่ผิด ที่นี่คือแท่นหอมหมื่นลี้!” ลู่ยาพูดอย่างมั่นใจ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินขึ้นชั้นหินไป
“ให้ข้าขึ้นไปก่อน!” ซ่างกวนสุ่นนำขึ้นชั้นหินไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ร้องเสียงหลง “รีบดึงข้าเร็ว! ข้าติดอยู่!”
มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นมอง อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง
เห็นเพียงนกยักษ์ที่แต่เดิมช่างกล้าแกร่งช่างอวดเบ่ง ยามนี้ถูกผนังหินแคบๆ บีบอัดจนเป็นแผ่นแป้งรูปนก…
“หัวเราะอะไร! รีบมา!” ซ่างกวนสุ่นระเบิดอารมณ์พูด
มู่จิ่วกลอกตา อดไม่ได้เดินไปเคาะหัวเขา “เจ้าเปลี่ยนเป็นร่างคนจะตายหรือไร!” พูดจบก็ไม่สนใจเขา เดินข้ามหัวผ่านไป
หลังจากผ่านอันตรายมาใจก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก ไหนเลยจะเหมือนอยู่ในหลุมอันมืดดำนี่
ซ่างกวนสุ่นแม้จะรู้สึกเจ็บปวดแต่กลับตอบโต้ไม่ได้ ทำได้เพียงถึงตาใส่นาง พูดว่า “พวกมนุษย์จะมาสู้รูปร่างอันสูงส่งของพวกเรานกต้าเผิงได้อย่างไร…เอ้ย เจ้าอย่าเพิ่งไป! รอข้าก่อน!” พูดจบก็รีบหดร่างพุ่งไปข้างหน้า โซเซจนเกือบจะล้มคว่ำลงอยู่หลังส้นเท้าลู่ยา
มู่จิ่วรู้สึกเพียงด้านหลังมีลมเกิดขึ้น จึงหมุนตัวไปตามสัญชาตญาณ ก็เห็นเบื้องหน้ามีเด็กหนุ่มอายุราวสิบห้าสิบหกหน้าหยกปากแดงเพิ่มขึ้นมา
เด็กหนุ่มใช้มือจับผนังหินพยุงร่างที่เอนไปข้างหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความอึดอัด ระหว่างคิ้วมีจุดสีแดง นัยน์ตาซ่อนความดื้อรั้น ขอบเสื้อคลุมสีเงิน เผยให้เห็นอาภรณ์ส่วนล่างสีขาวหิมะกับรองเท้าผ้าสีดำมะเมื่อม ผมสีดำทั้งหมดรวบไว้กลางศีรษะ ข้างเอวเหน็บหินหยกงดงามก้อนหนึ่ง หากพบเจอข้างนอกต้องถูกเข้าใจไปว่าเป็นลูกหลานราชวงศ์ไหนเป็นแน่
“ร่างมนุษย์ของเจ้านี่ดูดีมากไม่ใช่หรือ!”
มู่จิ่วมองดูเขาขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นก็ถามลู่ยา “เจ้าว่าอย่างไร?”
ลู่ยากวาดสายตามองอย่างเย็นชา ทำให้คำพูดที่ซ่างกวนสุ่นคิดจะต่อว่าออกมาต้องกลืนกลับลงไป ซ่างกวนสุ่นสะบัดก้น สลัดพวกเขาทิ้ง แล้วเดินขึ้นไปข้างหน้า
มู่จิ่วหัวเราะเสียงดังก่อนเดินหน้าต่อ
ชั้นหินวนขึ้นเป็นวงกลม ระหว่างทางมองไม่เห็นสิ่งใด
เดินมาตลอดไม่รู้ว่ากี่ร้อยขั้น ห่างจากพื้นประมาณสิบจั้งได้ ซ่างกวนสุ่นที่เดินอยู่ข้างหน้าพลันร้อง ‘ว้า’ ขึ้น ก่อนกระเด็นกลับลงมา ดีที่ลู่ยามือเร็วตาไว ยกเท้าขึ้นยันช่วงหลังเอวเขาไว้ได้ จึงไม่ทำให้เขากลิ้งออกจากถ้ำหินไป!
มู่จิ่วตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงเบื้องหน้าชั้นหินมีปราการเซียนชั้นสีขาวลอยอยู่ ที่แท้ก็เป็นเขตพลัง!
แต่เดิมเข้าใจว่าหลังจากผ่านด่านน้ำแล้วตลอดทางจะราบรื่น คิดไม่ถึงว่ายังมีด่านอีก
ตอนนี้ไม่พูดถึงว่าพลังของเขตพลังมากถึงขนาดดันซ่างกวนสุ่นให้ถอยกลับมาได้ ถึงแม้พวกเขาจะมีวิธีทลายมัน แต่เขตพลังนี้เพียงขยับไหว ราชาจิ้งจอกจะต้องรู้ตัว ถ้าราชาจิ้งจอกรู้ตัวแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องพวกเขาจะดูร่างของจิ้งจอกน้อยเลย แม้แต่ออกจากชิงชิวโดยสวัสดิภาพก็อย่าได้คิด!
“เจ้ามีวิธีหรือไม่?” นางมองลู่ยา แต่ที่จริงในใจไม่ได้มีความหวังอะไรอยู่แล้ว สุดท้ายทั้งหกภพใช่ว่าจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา
ลู่ยาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยื่นมือไปแตะด้านนอกเขตพลังเบาๆ การแตะนั้นทำให้เกิดเสียงดังหึ่งๆ เป็นเสียงกึกก้องทว่าไม่แข็งกระด้าง เหมือนเสียงพิณแต่ไม่อ่อนช้อยขนาดนั้น
“เจออะไรหรือไม่?” มู่จิ่วถาม
ลู่ยาพลันชักมือกลับมา หัวคิ้วผูกกันแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบกระเรียนกระดาษออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากใส่พลังฤทธิ์เข้าไปแล้วก็ให้มันเข้าใกล้ช่องแคบที่พื้นเพื่อบินเข้าไปในเขตพลัง
กระเรียนกระดาษบินเข้าไป หมุนรอบหนึ่ง ก่อนร่อนลงสู่พื้นอย่างไร้รอยขีดข่วน
เขตพลังกลับไม่มีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย!
เรื่องที่ยิ่งทำให้คนพูดไม่ออกคือ เขตพลังนี้ยังมีช่องแคบให้ลมผ่านด้วย…
ลู่ยาสะบัดแขนเสื้อพูด “ข้ารู้สึกมาตลอดว่าเหมือนเป็นกับดัก”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง…กับดัก?
กับดักอะไรลู่ยากลับไม่ได้พูด แต่จ้องมองเขตพลังนั้นไม่ขยับ ราวกับบนนั้นมีสาวงามอยู่เต็มไปหมด