“หงิงหงิง….” อาฝูแอบอิงอยู่บนแขนเขา ร้องออกมาอย่างเศร้าสร้อย
อาฝูร้องพลางยื่นอุ้งเท้าออกไปตะกุยผมบนไหล่เขา ก็ไม่รู้ว่ากลิ่นไก่ย่างในปากที่เพิ่งกินเข้าไปจะรบกวนอีกฝ่ายหรือไม่…อู่เต๋อเจินจวินจะทันระวังเสือขาวน้อยที่แม้แต่บ้านตัวเองยังจำไม่ได้ได้อย่างไร? ตะกุยไปหลายทีแบบนี้ เส้นผมสองเส้นก็พันติดอุ้งเท้ามา
อาฝูที่ทำเสร็จสิ้นแล้วรีบเก็บอุ้งเท้าไว้กับอก หมอบอยู่บนเข่าของเขาด้วยท่าทางเชื่องหาใดเปรียบ
อู่เต๋อคงทนน้ำหนักของอาฝูไม่ได้ ไม่นานก็ลูบศีรษะเขาแล้ววางเขาลงไป
มู่จิ่วแสร้งทำท่าทางไม่สบายใจ รีบขึ้นไปข้างหน้าเพื่อย้ายตัวอาฝูมา และเก็บเส้นผมสองเส้นเข้าไปในแขนเสื้ออย่างเงียบเชียบ
ตลอดการดำเนินการ หลิวจวิ้นก็คอยหลอกล่ออู่เต๋อเจินจวินให้พูดคุย จนกระทั่งอู่เต๋อเจินจวินไม่ใส่ใจมู่จิ่วเลยสักนิด กระทำการได้ราบรื่นอย่างมาก!
หลิวจวิ้นพูดอยู่นาน เห็นมู่จิ่วไม่มีการเคลื่อนไหวอีก มองดูท้องฟ้าไม่เช้าแล้ว หากอยู่ต่ออาจทำให้คนสงสัยได้ จึงลุกขึ้นขอลา
“รบกวนเจินจวินนานขนาดนี้ วันหลังหากมีเวลาเชิญไปดื่มชาที่บ้านข้าได้”
หลิวจวิ้นอยู่ในแวดวงราชการมานาน อารมณ์เหมือนกับประทัดที่ดับแล้ว ทว่าวิธีรับรองเหล่านี้กลับทำได้ชำนาญ
อู่เต๋อเจินจวินปฏิเสธพลางเดินไปส่งถึงหน้าประตูใหญ่ มองจนพวกเขาที่อยู่ห่างไกลหายไปแล้วจึงค่อยหมุนตัวกลับมา สายตาที่มองกำแพงอิ่งปี้[1]ช่างลุ่มลึก
“หลีเปิงล่ะ?”
สิงโตเขียวก้าวขึ้นมาพูด “รออยู่ในห้องขอรับ”
ฟากมู่จิ่วกับหลิวจวิ้นออกจากที่พำนักของอู่เต๋อ หันหลังกลับไปมองก็ไม่เห็นเงาแล้ว จึงหยุดเท้าลงพูด “ขอบคุณใต้เท้ามากที่พาข้ามา ข้ากลับไปจัดการก่อน ภายหลังหากมีความคืบหน้าใหม่ๆ ข้าจะไปรายงานใต้เท้าอีก”
ตั้งแต่ต้นจนจบหลิวจวิ้นไม่เห็นนางทำอะไร จากที่พำนักของอู่เต๋อก็ไม่เห็นนางสืบข่าวที่มีประโยชน์อะไรได้ จึงถามว่า “เจ้าทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่?”
มู่จิ่วหัวเราะก่อนตอบ “ภายหลังค่อยบอกใต้เท้า! ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ!”
พูดจบก็เรียกอาฝูให้วิ่งกลับหอวิหคแดงไปด้วยกัน
หลิวจวิ้นด่าไปประโยคหนึ่ง “เจ้าเด็กไม่มีมารยาท” ก่อนจะเลี้ยวกลับไปยังบ้านของตนเอง
หนึ่งคนหนึ่งเสือเดินเข้าหอวิหคแดง มุ่งตรงไปลานจื่อหลิง ลู่ยารู้ว่านางกลับมาแล้วจึงรอรับอยู่ที่ระเบียงทางเดิน เห็นนางวิ่งจนหายใจติดขัด จึงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อให้นาง จากนั้นค่อยเอ่ย “ค่อยๆ พูด”
มู่จิ่วหยิบเส้นผมของอู่เต๋อเจินจวินออกมา “อาฝูสร้างผลงานใหญ่ไว้!” พูดจบจึงเล่าเรื่องการไปครั้งนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ และพูดกับราชาจิ้งจอกว่า “ท่านพูดได้ไม่ผิดแม้แต่น้อย อู่เต๋อเจินจวินมีเสน่ห์อย่างมาก ไม่เพียงแต่หน้าตาหล่อเหลา ยังได้รับการอบรมมาดียิ่ง เปรียบเทียบกับตนแล้วรู้สึกอับอายนัก!”
นางพูดอย่างจริงจัง ราชาจิ้งจอกกับซ่างกวนสุ่นกลับเพียงจ้องนาง
ขณะกำลังมึนงง ลู่ยาที่มีสีหน้าคล้ำเอียงเข้ามาใกล้ “ที่แท้จะหน้าตาดีขนาดไหนกันเชียว?”
นาง “…..”
ลู่ยาจ้องนางอย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง จากนั้นยกเข่าข้างหนึ่งขึ้นบนตั่ง หยิบเส้นผมวางบนโต๊ะ ส่งพลังฤทธิ์เข้าไป ทั้งโต๊ะกลายเป็นกระจกบานหนึ่ง ภายในค่อยๆ สะท้อนภาพทิวทัศน์กับคนชัดเจนขึ้น
ภาพนั้นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับโคมม้าวิ่ง แรกสุดแสดงให้เห็นภาพภูเขาเขียวชอุ่มสูงใหญ่ และที่พำนักเซียนที่ซ่อนอยู่ในป่าไผ่บนภูเขา ยอดเขามีเมฆปกคลุม แสงทองสาดส่อง เพียงเห็นก็รู้ว่าคือที่อยู่อาศัยของเซียนผู้สูงศักดิ์
และด้านหลังยังมีร่างสูงสวมเสื้อเขียวปรากฏอยู่ในภาพ ใบหน้าราวกับหยกสลัก มีความเจ้าสำราญโดยธรรมชาติ ทำให้ความสนใจตกไปอยู่บนร่างเขาอย่างรวดเร็ว
ราชาจิ้งจอกพูด “นี่คือชิงผิงซิงจวิน!”
ลู่ยาเหลือบมองมู่จิ่วคราหนึ่ง เห็นนางใช้มือทั้งสองเท้าคางมองอย่างสนอกสนใจ ก็ทนไม่ได้ ทำให้ภาพกระโดดข้ามไป
รูปร่างหน้าตาแบบนี้ทำให้นางรู้สึกละอายตัวเอง? เช่นนี้เรียกว่าหน้าตาดี? ตอนเขายังเยาว์วัยก็เอาชนะฝ่ายนั้นสิบคนได้แล้วรู้หรือไม่? …ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่แก่ ทำไมทำให้นางทอดถอนใจเสียแล้ว?
มาตรฐานของนางช่างต่ำนัก
ภาพยิ่งหมุนไปข้างหน้า พลันมีหญิงสาวนางหนึ่งโผล่ออกมาแล้ว
หญิงสาวเสื้อแดงหมอบอยู่ข้างทาง สีหน้าเหลืองซีด ลมหายใจรวยริน แต่ใบหน้าดูไปแล้วกลับงดงามอย่างมาก โดยเฉพาะดวงตาที่ปิดแน่นทั้งคู่ ทำให้คนอดคาดเดาไม่ได้ว่าภายหลังลืมตาขึ้นมาแล้ว พวกมันจะงดงามน่าตื่นตะลึงเพียงใด
เมื่อดูภาพต่อไป ในที่สุดก็ถึงยามที่หญิงสาวฟื้นขึ้น ชิงผิงกับความทรงจำอันเจ็บปวดเหล่านั้นมาถึงกลางทางแล้ว ภาพก็ถูกตัดลง กลายเป็นความว่างเปล่า…
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่จิ่วถามอย่างตกใจระคนสงสัย
ลู่ยาขมวดคิ้ว “ความทรงจำของเขาถูกลบไป!”
มู่จิ่วงุนงง นางรู้ว่าความทรงจำที่ลู่ยาดึงมาจากเส้นผมล้วนเป็นความทรงจำที่ค่อนข้างส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเจ้าของเส้นผม เมื่อครู่ดูแล้วก็เป็นเช่นนั้น ทว่าทำไมความทรงจำของอู่เต๋อจึงถูกตัดลงถึงตรงนี้? ทำราวกับกลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าคนผู้นี้คือใคร…
“หากข้าเดาไม่ผิด คนที่ลบความทรงจำคงจะเป็นสามีของเฟยอี!” ราชาจิ้งจอกพูด
“เป็นไปได้” ลู่ยาถอยร่างไปนั่งอยู่ริมตั่ง เอ่ยพึมพำว่า “ฝ่ายตรงข้ามไม่ต้องการให้เขาจำได้ รู้ว่าเขาต้องกลับมาสวรรค์ เพื่อป้องกันเหตุร้ายภายหลัง ดังนั้นจึงลบความทรงจำช่วงนี้ของเขาไป และเพราะเหตุที่ว่า หลายพันปีมานี้สวรรค์จึงไม่มีเหตุการณ์ภายหลังของเรื่องนี้ออกมา”
มู่จิ่วจ้องภาพแสงสีขาวตรงกลางโต๊ะกลม นั่งลงไปเช่นกัน
“หากพวกเจ้าคาดเดาไม่ผิด แสดงว่าคนผู้นี้ชาติก่อนอาจทำเรื่องผิดต่อเขา ดังนั้นจึงอาศัยโอกาสนี้ลบความทรงจำ ยังมีอีก ทำไมเฟยอีต้องกลับไปกับสามีของนาง? ในเมื่อกลับไปแล้ว ทำไมถึงต้องกระโดดแท่นประหารเซียนในวันที่เดียวกันด้วย? ชิงผิงลงไปเกิดเป็นกษัตริย์ แล้วเฟยอีเล่า? นางมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่?”
ครั้นนางเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมา ลู่ยากับราชาจิ้งจอกก็ชะงักไป ไม่ผิด สิ่งที่พวกเขาเห็นคือความทรงจำเซียนในชาติก่อน แต่ความทรงจำเกี่ยวกับอู่เต๋อที่โลกมนุษย์กลับไม่มี บางทีประเด็นสำคัญอาจปรากฏตอนเขาอยู่โลกบนมนุษย์หลายปีนั้น?
เกือบจะเวลาเดียวกัน พวกเขายืนขึ้นมา ส่งพลังทำให้ภาพเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง เป็นภาพขาวอยู่เนิ่นนาน นานจนทุกคนแทบไม่หวังแล้ว แต่ในที่สุดก็ปรากฏเรือนหลังหนึ่งขึ้นมา ในความหรูหรางดงาม หมอตำแยและสาวใช้ เหล่าคนทั้งแก่และสาวล้วนจ้องไปยังห้องทางตะวันออกที่ปิดม่านลงมาด้วยใจร้อนดุจดั่งไฟ
ไม่นานก็มีเด็กทารกถูกอุ้มออกมา เครื่องหน้างดงามหมดจด มีส่วนคล้ายคลึงอู่เต๋อเจินจวินราวหกเจ็ดส่วน
จากนั้นเด็กทารกก็เติบโตอย่างรวดเร็ว เรียนวิชาฝึกการต่อสู้ และค่อยๆ เติบโตขึ้น อาจารย์ตั้งชื่อให้เขาว่าเจ้าเค่อ
เจ้าเค่อโตถึงอายุสิบสามปี พลันถูกกลุ่มทหารฆ่าล้างตระกูล ทั้งบ้านราวสามร้อยชีวิตล้วนถูกคุมตัวไปตัดศีรษะที่ตลาด
เพชรฆาตเคยติดหนี้บุญคุณบิดาเจ้าเค่อไว้ ตอนสังหารเจ้าเค่อใบมีดแฉลบไป ฟันลงบนไหล่ของเขาดาบหนึ่ง จากนั้นซ่อนไว้ในกองศพ เพชรฆาตอาศัยตอนกลางคืนลอบพาเขาออกมาซ่อนอยู่ในหลุมหลายวัน จากนั้นฉวยโอกาสตอนกษัตริย์ผู้กำจัดขวากหนามออกจากเมืองไปตากอากาศ พาเจ้าเค่อออกไปจากเมือง