แต่เสียงร้องอดกลั้นนั้นกลับดังเข้ามาในหูอย่างชัดเจน!
นางชักกระบี่ออกมา กระโดดเข้าไปหลังฉากกั้นลมทันที จุดที่ปลายกระบี่ชี้ไปกลับมีคนกุมท้องนอนนิ่งอยู่บนพื้น ใบหน้าซีดขาวเป็นสีหน้าตื่นตกใจ เสื้อขาวบนร่างกับช่วงอกด้านขวากลับเปื้อนเลือดสีแดงไปแถบหนึ่ง…
“อ๋าวเจียง?!” มู่จิ่วตกตะลึงจนแม้แต่ทักทายยังไม่สนใจ!
อ๋าวเจียงบนพื้นก็ตกใจจนหน้าถอดสี ร่างกายแข็งทื่อเหมือนเห็นผี
“เจ้ามาได้อย่างไร!”
เขาพูดพลางมองไปด้านหลังนาง ด้านหนึ่งดึงผ้าม่านมาปิดช่วงเอว ชัดเจนว่าท่าทางไม่อยากให้นางเข้ามาใกล้
มู่จิ่วก็ไม่อยากถาม แต่นางเป็นพลอารักขาของวังเทียมบูรพา เจ้านี่ได้รับบาดเจ็บ ต่อไปอ๋าวเชินถามขึ้นมานางคงพูดได้ไม่เต็มปาก! โชคดีที่นางสังเกตเห็นและเข้ามาพอดี เข้าใจหรือไม่? วันนั้นนางไม่ได้ยุแหย่เขา เขาก็สามารถมอบโทษชนเขาให้นางได้ หากนางไม่เข้าไป เขากลับคำกัดฟันพูดว่านางอารักขาไม่ดี หรือพูดตรงๆ ว่านางลงมือทำร้ายเขาจะทำอย่างไร?
คบค้าสมาคมกับคนเหล่านี้ ไม่อาจไม่ระมัดระวังได้
คิดถึงตรงนี้นางไม่พูดพร่ำทำเพลง ฉีกผ้าม่านบนร่างเขาออกมา อ๋าวเจียงตกใจจนกลิ้งเข้าไปใต้เตียง คิดจะตะโกนด่าแต่กลับไม่กล้า คิดจะด่าทอก็มีท่าทางไม่กล้าส่งเสียง เหมือนภรรยาน้อยที่ถูกลักพาเข้าไปยังถ้ำลมทมิฬ[1]!
มู่จิ่วไม่รู้สึกว่าตนเองเหมือนคนชั่ว เจ้าคนหน้าตางดงามหลายส่วนผู้นี้ไม่เข้าตานาง!
แต่ยุ่งกับเรื่องมากมายไม่ไหว นางต้องรักษาบาดแผลของเขาก่อนจะมีคนเข้ามา ไม่อาจให้เขามีโอกาสใส่ร้าย!
“เจ้าบาดเจ็บได้อย่างไร?” นางนั่งยองลงดูบาดแผลของเขา
“ไม่ต้องให้เจ้ายุ่ง!” อ๋าวเจียงถลึงตาใส่นาง พลิกตัวดิ้นรนไปปีนโต๊ะข้างหัวเตียง
แต่ในเมื่อถึงขนาดตะเกียกตะกาย แสดงว่าบาดแผลต้องไม่เบาแล้ว
มู่จิ่วเดินเข้าไปช่วยเขาเปิดลิ้นชัก หยิบขวดข้างในทั้งหมดมาวางไว้ตรงหน้าเขา “อันไหนเป็นยาห้ามเลือด?”
ถึงแม้นางมียาติดตัวอยู่ แต่บางทียารักษาแผลของพวกเขาวังมังกรอาจจะยอดเยี่ยมกว่า? และยารักษาแผลของนางล้วนเป็นหลิวหยางทำขึ้นเอง ก่อนนางกลับไปหงชางใช้เม็ดหนึ่งก็น้อยไปเม็ดหนึ่ง ไม่คู่ควรที่นางจะใช้กับร่างเจ้าปีศาจชั่วช้าไม่มีมารยาทนี่
อ๋าวเจียงอ้าปากกว้างสูดลมหายใจเข้าไป ยื่นมือไปทางขวดสีน้ำเงินขณะนิ้วมือสั่นเทา ยังไม่ทันพูดออกมาก็อ่อนแรงไปแล้ว
มู่จิ่วคว้ามันมา หยิบยาออกมาให้เขากิน
นางไม่รู้ว่าเลือดหยุดหรือไม่ เสื้อของเขาบังบาดแผลไว้ และมู่จิ่วก็ไม่อาจให้เขาถอดเสื้อเพื่อรักษาบาดแผลให้
แต่สีหน้าของเขาผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ทั้งร่างจากที่ต่อต้านมู่จิ่วก็ค่อยๆ ปรับตัว เขาพูด “ข้าอยากดื่มชา”
มู่จิ่วอดกลั้นรินให้เขาแก้วหนึ่ง จากนั้นหยิบอ่างทองแดงที่มุมห้องใส่น้ำส่งให้เขา
บาดแผลอยู่บนซี่โครงด้านบน ไม่แปลกที่เจ็บจนร้องออกมา
มู่จิ่วเปิดเสื้อตรงบาดแผลดู เห็นเลือดไม่ไหลแล้ว แต่ปากแผลกลับยังไม่สมาน
ดูแล้วยารักษาบาดแผลของวังมังกรก็ไม่เท่าไหร่!
“หากเจ้ากล้าพูดออกไป ข้าจะฆ่าเจ้า!”
นางกำลังขมวดคิ้วสำรวจอยู่ อ๋าวเจียงที่ฟื้นคืนกำลังขึ้นหน่อยพลันพูดกับนางอย่างดุดัน
มู่จิ่วมองเขาตาขวางอย่างเย็นชา วางเสื้อลงไป
“เจ้าทำเรื่องอะไรที่ให้คนรู้ไม่ได้หรือ?”
ช่างเป็นสุนัขแว้งกัดเสียจริง นางช่วยเขานู่นนี่ กลับได้รับคำข่มขู่ของเขากลับมา!
“เจ้าไม่ต้องรู้!” เขาก็จ้องกลับมาอย่างเย็นชา งอตัวลงไปบรรเทาอาการเจ็บปวดของร่างกาย
มู่จิ่วไม่ได้ชอบหาเรื่องใส่ตัว ไม่มีอะไรทำจะไปนินทาว่ามังกรน้อยทะเลาะกับคนเขาอย่างไรหรือ?
แต่พูดตามเหตุผลแล้ว ไปต่อสู้ข้างนอกอย่างไรต้องนำยารักษาบาดแผลไปด้วย เจ้านี่อะไรก็ไม่เอาไป ดูแล้วคงไม่ได้ออกไปก่อเรื่องบ่อย แต่ในเมื่อไม่ชอบก่อเรื่อง ทำไมเขาถึงทำร่างกายบาดเจ็บกลับมาได้? และเขายังพูดว่ากลัวถูกคนเห็นด้วย เขาไปทะเลาะกับใคร? หรือปกป้องใคร?
เรื่องนี้ถึงแม้ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง แต่ความปลอดภัยของเขาคือภารกิจของนางในตอนนี้ นางต้องรู้ให้ชัดเจน
“หากเจ้าไม่พูดถึงคนที่ทำร้ายเจ้า เช่นนั้นข้าจะไปรายงานพ่อเจ้า” นางทำหน้าเคร่งขรึม ทั้งร่างล้วนดูจริงจังขึ้นมา
“พูดแล้วว่าไม่เกี่ยว…”
พูดยังไม่จบ มู่จิ่วก็ลุกขึ้นเดินจากไป
เขารีบตามไป “เจ้ากลับมา!”
มู่จิ่วหมุนตัว เขาจ้องนางอย่างแค้นเคือง ทำลมหายใจให้นิ่งก่อนพูด “ข้าพูดไปเจ้าก็ไม่รู้จัก”
“ข้าเพียงรู้ชื่อก็พอแล้ว” มู่จิ่วไม่ปล่อยไปง่ายๆ
เขากัดฟัน ถลึงตาใส่นาง “อวิ๋นซี”
มู่จิ่วฟังไม่ชัด “อะไรนะ?”
“ข้าบอกว่าอวิ๋นซี! คนที่สี่แห่งตระกูลอวิ๋นบนทิวเขาริ้วหยก!” หน้าของอ๋าวเจียงดูบิดเบี้ยวเพราะกัดฟันจนแน่นเกินไป “เคยได้ยินชื่อตระกูลอวิ๋นมาก่อนหรือไม่? เจ้าเป็นเพียงหัวเสินที่อยู่มาได้สองพันปี ต้องไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่!”
มู่จิ่วอึ้งไป
คนที่สี่ของตระกูลอวิ๋นแห่งทิวเขาริ้วหยก ทิวเขาริ้วหยกนี้ ไม่ใช่ที่อยู่ของตระกูลหงส์เพลิงชู้รักของอ๋าวเชินหรือ? นางแซ่อวิ๋น? อ๋าวเจียงไปมีเรื่องกับคนของเขาแล้ว? แต่นี่สิถึงจะปกติ อ๋าวเจียงเป็นบุตรชายของราชินี มีเหตุผลที่จะเข้าหน้าไม่ติดกับพวกตระกูลอวิ๋น มิน่าละเขาถึงไม่อยากให้คนรู้เรื่องที่ทะเลาะกับคนที่สี่แห่งตระกูลอวิ๋น
แต่ที่สำคัญคือแม้แต่นางที่สังหารเฉินผิง อ๋าวเจียงก็มองอย่างเคียดแค้น นี่ทำให้คนไม่เข้าใจ!
หากอ๋าวเจียงมีจุดยืนเหมือนราชินี ทำไมเขาต้องแค้นนางด้วย?
หากเขาอยู่ข้างอ๋าวเชิน โกรธแค้นตระกูลอวิ๋นก็ไม่สมเหตุผล
ไม่สิ…ตระกูลอวิ๋นหงส์เพลิง?
หลายคำนี้ทำไมคุ้นหูขนาดนี้?
ใช่แล้ว นางนึกออกแล้ว!
งานเลี้ยงของนางวันนั้นที่เชิญหลิวจวิ้นกับสหายร่วมงานไป เคยได้ยินเถ้าแก่หงส์กำลังนินทาถึงตระกูลอวิ๋นอยู่ที่ภัตตาคารหงส์ระบำ หรือว่าจะเป็นชู้รักหงส์เพลิงของอ๋าวเชิน? นางจำได้ เถ้าแก่หงส์พูดว่าตระกูลอวิ๋นจำต้องผ่านเคราะห์สวรรค์เพื่อให้ได้นิพพาน ดังนั้นถึงตอนนี้จำนวนคนในเผ่ายังคงไม่มาก ยังมีแม่นางที่เป็นภรรยาน้อยเขาอีก หรือกำลังพูดถึงแม่ของเฉินผิง?
“เจ้าจะเปิดเผยความลับหรือไม่?”
อ๋าวเจียงเห็นนางไม่พูดอะไรอยู่นาน จึงอดถามไม่ได้
มู่จิ่วก้มหน้ามองเขา เห็นเพียงหน้าเขายังคงดุร้าย แต่กลับเจือไปด้วยความกังวล แสดงว่าไม่อยากให้อ๋าวเชินรู้จริง
นางพูด “ข้าไม่สนใจเรื่องเจ้า เพียงเจ้าไม่เปลี่ยนวิธีมาจัดการข้าก็พอแล้ว”
อ๋าวเจียงถลึงตาใส่นาง แต่กลับปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้
มู่จิ่วประเมินเขาอยู่ครู่ ก่อนพูดอีก “ข้าสามารถช่วยเจ้าปกปิด แต่เจ้าจะปิดบังแผลนี้ไว้อย่างไร?”
เขาจ้องผ้าม่านที่ฉีกขาดอย่างเหม่อลอยอยู่สักครู่ แล้วเอ่ย “ข้าบอกได้ว่ามีเรื่องไม่เหมาะ ตอนนี้ไม่ออกหน้า”
มู่จิ่วยิ้มเยาะ เขาทำเหมือนพ่อเขากับหมอในวังมังกรโง่? เหตุผลพื้นๆ แบบนี้กลับคิดออกมาได้
ช่างเถอะ เพื่อไม่ให้อ๋าวเจียงถือเอาเรื่องนี้เป็นปฏิปักษ์กับนาง นางก็อดกลั้นส่งยาเซียนให้เขาเม็ดหนึ่งแล้วกัน
นางหยิบยาสร้างเนื้อมาวางบนโต๊ะสองเม็ด “กินเถอะ”
อ๋าวเจียงจ้องยาสีขาวสองเม็ดพลางขมวดคิ้ว “นี่คืออะไร?”
………………………………………………………………