นางเดินไปถึงหน้าต่าง อ๋าวเจียงพลันปล่อยแขนที่กอดแน่น เม้มปากมองนาง กัดฟัน จากนั้นจึงตามไป
“ข้าขอเตือนเจ้า เจ้าอย่าก่อเรื่องลำบากอะไรให้ข้า” เขาปีนหน้าต่างไปพลาง ขมุบขมิบปากไปพลาง
มู่จิ่วเหลือบมองเขา “เจ้าพอได้แล้ว กลัวก็อย่ามา ถึงเวลาอย่าให้ข้าช่วยเก็บกวาดก็พอแล้ว”
อ๋าวเจียงโกรธมาก กลับไม่อาจไม่ก้มหน้าก้มตาตามไป
อวิ๋นเฉี่ยนอยู่ที่วังชิวอู๋ถนนตะวันออก เรื่องนี้อ๋าวเจียงรู้จากคำพูดตามปกติของอ๋าวเชินนานแล้ว
มู่จิ่วคลุมชุดซ่อนเซียน อ๋าวเจียงใช้เวทอำพรางร่าง ผ่านทางเดินที่คดเคี้ยวไปมาอย่างรวดเร็วก็ถึงวังชิวอู๋ ตอนนี้งานเลี้ยงเลิกแล้ว อ๋าวเชินใบหน้าแดงก่ำนั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งดิ้นทอง ในห้องกลิ่นหอมลอยอบอวล อวิ๋นเฉี่ยนนั่งคุกเข่าชงชาอยู่ตรงข้ามอ๋าวเชิน ความรู้สึกอ่อนโยนในสายตาเหมือนกับสามารถทะลุผ่านระยะทางสิบจั้งพุ่งตรงเข้าหน้าคนได้เลย
ทั้งสองคนกลั้นลมหายใจ เลือกยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นกล้วย
มู่จิ่วแต่เดิมตั้งใจให้อ๋าวเจียงเข้าใกล้อีกหน่อย พอหันไปเห็นหน้าบึ้งตึงของเขาก็ปิดปากไปอย่างรู้ตัว
เรื่องแบบนี้ไม่อาจโทษเขา ให้ใครมาเห็นพ่อของตนเองใกล้ชิดรักใคร่อยู่กับผู้หญิงคนอื่นต้องไม่ดีใจอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังโดนทุบตีอยู่ในบ้านของผู้หญิงคนนี้ด้วย
หน้าต่างถูกเปิดไว้เพื่อทำให้สร่างเมา ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์ให้พวกเขาแอบมอง
อ๋าวเชินดื่มชาที่อวิ๋นเฉี่ยนชงกับมือ กระดูกอาจจะกรอบไปแล้ว ในตาคู่โตก็เหมือนอ่อนโยนจนสามารถหยดน้ำออกมาได้ เขาจับมืออวิ๋นเฉี่ยนวางไว้บนหัวใจ พูดเสียงเบาบางว่า “เจ้ากลับใจร้ายนัก บอกว่าไม่พบข้าก็ไม่พบข้า ในครึ่งปีนี้รู้ไหมว่าข้าอยู่ได้อย่างไร? เฉินผิงตายแล้วใจข้าก็เจ็บปวดไม่น้อยกว่าเจ้า เจ้าไม่มาพบข้า ทำให้ใจข้ายิ่งเจ็บปวดขึ้นอีกสามส่วน”
“องค์ราชา…” อวิ๋นเฉี่ยนถอนหายใจ ก้มหน้ามองพื้น “ท่านก็ไม่ใช่ไม่รู้จักข้า ไหนเลยจะใจร้ายจริง? เพียงแค่โกรธเท่านั้น เรื่องต่างๆ ในบ้านนี้บวกกับเรื่องเฉินผิง ท่านดูข้าสิ เหมือนแก่ขึ้นมาก”
“ในใจข้าเจ้ายังคงเป็นเจ้าคนนั้น! ไม่แก่เลยแม้แต่น้อย!” อ๋าวเชินแสดงออกอย่างร้อนรน
มู่จิ่วขนลุกแล้ว นางมองอ๋าวเจียง เจ้าเด็กนี่ยิ่งหนักกว่า องค์ชายน้อยหน้าหยกอับอายจนหน้าเขียวคล้ำ
นางทำให้คอโล่งแล้วดูต่อ
สองคนกอดกันพูดเรื่องในใจสักครู่ ตอนอวิ๋นเฉี่ยนลุกขึ้นความอาลัยอาวรณ์เต็มใบหน้า ที่จริงมู่จิ่วมีภูมิคุ้มกันขึ้นมาบ้างแล้ว คิดๆ ดูพวกเขาทั้งสองตอนอยู่ต่อหน้าคนนอกล้วนอยากรีบฉีกเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกทันที ตอนนี้ไม่มีคนอยู่ ไม่แน่ว่าพวกเขาจะทำอะไร นางเป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ขณะดูไปก็เตรียมตัวถอยออกทุกเมื่อ
“ผู้หญิงคนนี้เป็นปีศาจจิ้งจอกจอมปลอม!” อ๋าวเจียงพูดอย่างโกรธเคือง
มู่จิ่วเข้าใจความรู้สึกเขา กำลังจะให้กำลังใจเขาสักสองประโยค ในห้อง หลังจากอวิ๋นเฉี่ยนพูดกับอ๋าวเชินหลายประโยค กลับค่อยๆ ลุกขึ้นหมุนตัวเดินออกประตูไป
และหลังจากออกไปแล้ว อวิ๋นเฉี่ยนหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งบนระเบียงทางเดิน แสงโคมส่องใบหน้านางเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง แต่ถึงแม้แสงโคมสั่นไหว ก็ทำให้คนจับรอยยิ้มและความอาลัยอาวรณ์บนใบหน้าที่หายไปในพริบตาได้อย่างแม่นยำ…
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไปบ้าง
นางดูผิดหรือ?
มือที่สามโดยแท้คนนี้กลับสามารถเผยใบหน้าอันเปราะบางแบบนี้? และยังตั้งใจทำตอนหันหลังให้อ๋าวเชิน?
ไม่รอให้นางมีการเคลื่อนไหว หญิงรับใช้รีบร้อนเข้ามาพูดอะไรสักอย่างข้างหน้าอวิ๋นเฉี่ยน สีหน้าของนางทะมึนเล็กน้อย โบกมือ และเดินไปข้างหน้าต่อ ย่างก้าวนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แผ่นหลังผอมบางกลับเผยความไร้สง่าราศีหลายส่วน
ไม่ใช่เรื่องโกหก!
มือที่สามแซ่อวิ๋นผู้นี้กลับไม่ได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวทุกเวลา!
ใจของมู่จิ่วขึ้นมาอยู่บนคอ นางไม่เคยมีความรัก แต่นี่กลับไม่เป็นอุปสรรคให้นางดูออกว่าอวิ๋นเฉี่ยนแบบนี้กับก่อนหน้านี้เป็นคนละคนกันอย่างชัดเจน! แต่ก่อนอวิ๋นเฉี่ยนเป็นมือที่สามผู้ก้าวร้าวโดยแท้ ทว่าตอนนี้ดูไปแล้วเหมือนกับคุณหนูใหญ่ท่าทางปกติในตระกูลมีชื่อ เป็นลูกหลานตระกูลกษัตริย์ในเผ่าเทพโลกเซียน กิริยาล้วนมีระดับ ท่าทางไม่เอาไหนเหล่านั้นเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันกับนางเลย
นี่เกิดอะไรขึ้น?
มู่จิ่วงุนงง
ท่าทางนางแบบนี้แสดงว่ามีเรื่องอะไรกวนใจ แต่ดูจากความหลงมัวเมาของอ๋าวเชิน ไม่ว่านางมีเรื่องกวนใจอะไรบอกกับเขาก็พอแล้วมิใช่หรือ? ทำไม่ต้องฝืนยิ้มยินดีต่อหน้าเขา ลับหลังกลับเจ็บปวดอย่างเงียบเชียบ? หรืออ๋าวเชินก็ช่วยนางไม่ได้? แต่กำลังอำนาจของเผ่ามังกรก็ไม่น้อย ตระกูลอวิ๋นของนางมีเรื่องอะไรที่แม้แต่ตระกูลอ๋าวยังยื่นมือมายุ่งไม่ได้?
ถึงแม้อ๋าวเชินทำไม่ได้ หรืออ๋าวก่วงก็ยังไม่ได้ด้วย? อ๋าวเชินไปร้องขอเขาไม่ได้หรือ? ถึงแม้อ๋าวก่วงโทษว่าลูกทำให้ผิดหวัง แต่หากเกี่ยวพันถึงตระกูลอวิ๋นจริง เช่นนั้นคงเรื่องไม่ธรรมดาเพียงแค่อ๋าวเชินเลี้ยงภรรยารองแล้ว เพื่อรักษาความสัมพันธ์สองตระกูล อ๋าวก่วงคงต้องพิจารณาบ้าง?
หรือเป็นเพราะการตายของเฉินผิง?
หากมาถึงขั้นนี้ก็ยิ่งไม่มีเหตุผล เฉินผิงเป็นลูกของเขาทั้งสองคน มีเหตุผลอะไรให้แม่ที่เจ็บปวดเรื่องลูกชายด่วนจากไปต้องฝืนยิ้มยินดีต่อหน้าพ่อที่เจ็บปวดกับการตายของลูกเหมือนกัน?
“ตระกูลอวิ๋นต้องมีความลับ!” นางสรุปทันที
อ๋าวเจียงชัดเจนว่าเห็นภาพเมื่อครู่เหมือนกัน เขาครุ่นคิดก่อนพูด “หากเป็นแบบนั้น ตระกูลอวิ๋นต้องมีเรื่องอะไร”
“ไม่ผิด” มู่จิ่วพยักหน้า “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ยินที่อวิ๋นเฉี่ยนพูดเรื่องในครอบครัวนั้นหรือ? เรื่องนี้คาดว่าไม่เล็ก ดังนั้นนางไม่เพียงไม่มีเวลาบอกพ่อเจ้า แม้แต่จัดการเรื่องการตายของเฉินผิงยังทำไม่ได้ แต่ข้ากลับคิดไม่ออกว่ามีเรื่องอะไรต้องให้นางแบกรับแบบนี้ ถึงแม้จะสุดวิสัย ก็ไม่มีเหตุผลต้องแสร้งเป็นคนอ่อนโยนต่อหน้าพ่อเจ้า”
“นางเข้าใกล้พ่อข้าต้องมีเป้าหมาย!” อ๋าวเจียงหลุดปากพูด
ถึงแม้มู่จิ่วก็คิดแบบนี้ แต่นางกลับแย้ง “แต่ความสัมพันธ์อันดีของนางกับพ่อเจ้าไม่ใช่วันสองวัน แต่เป็นพันปี คงไม่ใช่ว่าพันปีก่อนนางก็วางแผนไว้แล้ว?” เช่นนั้นต้องวางหมากล่วงหน้าขนาดไหน! และยังให้กำเนิดเฉินผิงเพราะเรื่องนี้…
อ๋าวเจียงเพียงแค่นเสียงเยาะเย้ย ก่อนออกจากวังไป
มู่จิ่วมองอ๋าวเชินที่เอนกายอยู่ในห้องอีก ก่อนถอยออกไปเช่นกัน
กลับถึงตำหนักหอมกำจาย อ๋าวเจียงยังคงโกรธ ยืนอยู่ข้างโต๊ะชา ท่าทางโกรธเหมือนกบ
มู่จิ่วพูด “เจ้าจับตาดูตระกูลอวิ๋นมาหลายปี ไม่มีเบาะแสอะไรจริงหรือ?”
อ๋าวเจียงหันมาถลึงตาใส่นาง นั่งลงไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
มู่จิ่วกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าปัญหาอยู่ที่ลำดับสองตระกูลอวิ๋น” พูดจบก็พูดอีก “เจ้าว่าที่จริงลำดับสองตระกูลอวิ๋นป่วยมานานเท่าไหร่แล้ว?”
เรื่องทั้งหมดดูเหมือนกับสมเหตุสมผล แต่เมื่อตอนไม่ควรผิดปกติกลับพบเรื่องผิดปกติ จากความใส่ใจที่อวิ๋นซีมีต่อลำดับที่สองของตระกูลอวิ๋น ความกังวลบนใบหน้าอวิ๋นเฉี่ยน ตระกูลอวิ๋นไม่ยอมปล่อยมือจากกุญแจจันทราและอื่นๆ ความสำคัญของเรื่องหากไม่อยู่กับลำดับที่สองตระกูลอวิ๋น ยังมีความเป็นไปได้อื่นอีกหรือ? และหากระยะเวลาที่เขาป่วย…
“อย่างน้อยพันปีแล้ว” อ๋าวเจียงมึนตึงอยู่ครู่ สุดท้ายก็พูด “ข้าจำได้ ตอนเรื่องพ่อข้ากับคนต่ำช้าแซ่อวิ๋นแพร่งพรายออกมา พวกเขาอยู่ด้วยกันมาสองร้อยปี ตอนนั้นเฉินผิงเกิดแล้ว เพราะเขาเกิดเรื่องถึงได้แดง และตอนนั้นที่พี่น้องแม่ข้ามาเอาเรื่องที่ทิวเขาริ้วหยก ลำดับที่สองแห่งตระกูลอวิ๋นออกมาทักทายยังต้องให้คนพยุง”
…………………………………………………………