เหมยอิงอบอุ่นและจิตใจดี ตั้งแต่มู่จิ่วเป็นผู้บัญชาการ จำนวนครั้งที่มาวังหลิงเซียวเยอะขึ้นมาก บางครั้งก็อ้อมไปยังวังของนางเพื่อพูดคุยกับอิ่นเสวี่ยรั่ว เหมยอิงได้ยินมาว่านางคือผู้สืบสวนคลี่คลายคดีชิงชิว ก็มีใจรักในคนมีความสามารถ ไปๆ มาๆ จึงรู้จักนางแล้ว
มาพูดถึงบ้านสกุลกัว สองเดือนที่พวกมู่จิ่วไม่อยู่ เสี่ยวซิงเบื่อหน่ายยิ่งนัก แม้แต่การทำอาหารที่นางชอบที่สุดก็หมดสิ้นความสนใจไปมาก ตอนแรกอาฝูยังเล่นกับนกน้อยเหล่านั้นได้อย่างสนุกสนาน แต่ผ่านไปหลายวันมองไปทางไหนก็ไม่เห็นมู่จิ่ว ทำให้เขาไม่มีต้นขาให้กอดทุกวัน จึงเศร้าซึมเช่นกัน
ซ่างกวนสุ่นกับมู่จิ่วที่จริงแล้วไม่ได้ชอบหน้ากันนัก ดังนั้นจึงเฉยๆ ทว่าบ้านที่แต่เดิมเหมาะสำหรับห้าคนพอดี พวกเขาพลันหายไปสองคน กลับเห็นชัดเจนว่าว่างเปล่าขึ้นมาเป็นพิเศษ
เขาเป็นคนชอบความคึกคัก ตอนนี้งานบ้านลดลงไปมาก ทำให้ทุกวันเขาว่างจนไปตีนกอยู่ที่สวนด้านหลัง ซึมเซาไปเหมือนกัน
ตอนเช้าเขาล้างชามและทำความสะอาดห้องตนกับห้องอาฝูเสร็จแล้ว เห็นต้นเสาเย่าตรงกำแพงทางใต้งอกเงยออกมาเกินไปจึงตัดออก ขณะกำลังนั่งยองๆ บนระเบียงทางเดิน ดูปลาหลี่สองตัวกินอาหารในกระบวยหินที่ใช้รับน้ำจากคันทวยตามปกติ ก็ได้ยินมู่เซี่ยวซิงตะโกนเรียกเขาจากในห้องตะวันตก “เจ้าช่วยข้าตักน้ำมาสองถังที ข้าจะซักผ้าห่มให้จิ๋วจิ่ว”
ถึงแม้เขาลุกขึ้น แต่กลับเดินไปพลางนิ่งเฉยไปพลาง ก่อนพูด “วันก่อนเพิ่งซัก วันนี้ซักอีก นางก็ไม่กลับมาหรอก!”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางจะไม่กลับมา?” เสี่ยวซิงจ้องเขาอย่างอารมณ์ไม่ดี “นางไม่ได้พูดหรือว่าถ้ามีเวลาจะกลับมาเยี่ยม? ปากเสีย!”
ซ่างกวนสุ่นหน้าเคร่งเชิดคางขึ้นฟ้า กอดผ้าห่มเดินจากไป
เสี่ยวซิงได้ยินเสียงหัวเราะดีใจจากนอกกำแพงก็ถอนหายใจ เสียงนี้คุ้นหูนัก ทำไมฟังแล้วเหมือนมู่จิ่วกลับมาแล้วจริง
น่าเสียดายนี่เป็นเพียงภาพมายา นางรู้
ในสองเดือนนี้นางเป็นแบบนี้บ่อย หลังจากตื่นนอนมักรู้สึกว่าอาจิ่วซ้อมกระบี่อยู่ในลานบ้าน ตอนกินข้าวก็รู้สึกว่านางจะเปิดประตูเข้ามา ซ่างกวนสุ่นบอกว่าหากนางคิดต่อไปคงไม่อาจสำเร็จเป็นเซียน กลับจะเป็นโรคจิตเสียก่อน นางตีเขาคนปากร้าย ตั้งแต่รู้จักกันมายังไม่เคยได้ยินเขาพูดเข้าหูสักประโยค!
แต่ความจริงในแต่ละครั้งยืนยันว่ามันล้วนเป็นจินตนาการของนางโดยแท้ ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงแบบนี้อีกนางจึงไม่รู้สึกแปลกประหลาดแล้ว
“หงิงหงิง…หงิงหงิง…”
กำลังจะหมุนตัวเข้าไปเช็ดโต๊ะ ตอนนี้อาฝูที่อยู่ตรงระเบียงทางเดินกลับพลันตื่นเต้นขึ้นมา ส่ายก้นอ้วนๆ จนเหมือนกังหันลม สองตาจับจ้องไปยังนอกประตู ไม่รู้ดูอะไร
นางกำลังยื่นมือออกไปกดเขาให้นั่งลง ลมสายหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาจากนอกประตู “เสี่ยวซิง! อาฝู! ข้ากลับมาแล้ว!”
มู่เสี่ยวซิงใจเต้นจ้องมองไปทันที สาวน้อยเสื้อเขียวร่างเล็กเหมือนกับนกกระจาบฝนกระโดดเข้าประตูมา นี่ไม่ใช่อาจิ่วแล้วจะเป็นใคร?
มารดาเจ้า! ครั้งนี้กลับไม่ใช่ภาพมายา!
เสี่ยวซิงตื่นเต้นจนสั่นเทา เกือบเปลี่ยนเป็นจรวดพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า “จิ๋วจิ่ว!” จากนั้นกระโจนเข้าไปหามู่จิ่วแล้วกอดนางไว้ “เจ้ากลับมาแล้วจริงๆ!”
“เป็นข้าเป็นข้า! เป็นข้าแน่นอน!” มู่จิ่วสบายใจเพราะเจอเรื่องน่ายินดี แม้แต่เสียงหัวเราะยังดังกว่าปกติมาก กอดเสร็จนางก็รีบรับอาฝูที่พุ่งเข้ามา ไม่นึกเลยว่าในสองเดือนอาฝูเติบโตขึ้นอีก ก้อนเนื้อกลมใหญ่ขนาดนี้พุ่งเข้ามา นางก็รับไม่ไหว ทำได้เพียงต้องกอดเขากลิ้งไปบนพื้น
ซ่างกวนสุ่นก็รีบเร่งออกมารับ เมื่อเห็นลู่ยา สองเท้าก็รีบเข้าไปใกล้เพื่อทำความเคารพเขา ก่อนชี้อาฝูที่ดีใจไม่หยุดอยู่บนพื้น “รีบขึ้นมารีบขึ้นมา! เจ้าดูซิ เจ้าจะอ้วนเป็นหมูแล้ว ไม่รู้ตัวหรือ?”
อาฝูสะบัดก้นใส่เขา งับมือมู่จิ่วเบาๆ แล้วดึงนางขึ้นมา จากนั้นเดินไปนั่งลงตรงหน้าลู่ยาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม เลียประจบเอาใจเบาๆ ที่กางเกงเขา ก่อนเลียอุ้งเท้าอย่างเชื่องๆ
เขาเรียนรู้ความสามารถมากมายกับลู่ยา พูดกันตามเหตุผล ที่จริงเขาเป็นอาจารย์ของอาฝู แน่นอนว่าเจ้าเสือขาวควรสงบเสงี่ยมหน่อย
ลู่ยาลูบหัวเขา รับผ้าเช็ดหน้าจากซ่างกวนสุ่นมาเช็ดหน้า ยากที่จะปกปิดความดีใจบนใบหน้าได้ ถึงแม้บนฟ้าใต้พื้นพิภพทุกที่ล้วนเป็นบ้าน แต่ลานเล็กๆ แห่งนี้ให้ความรู้สึกพิเศษยิ่งแก่เขา
มู่จิ่วกับเสี่ยวซิงมีเรื่องในชีวิตประจำวันให้คุยกัน
ซ่างกวนสุ่นช่างเป็นภรรยาผู้เพียบพร้อม พวกนางเพิ่งนั่งเรียบร้อยเขาก็นำผลไม้สดหั่นเป็นชิ้นๆ มาวางแล้ว วางเสร็จก็รีบนำอีกจานไปแสดงความกตัญญูต่อลู่ยาทางทิศตะวันออก
ในบ้านกลับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีคนกล้ามาหาเรื่องถึงประตูง่ายๆ ยังมีหลิวจวิ้นใช้ข้ออ้างว่าให้ของอาฝูมาคุยเล่นที่บ้านบ่อยๆ ยิ่งตอนนี้ผู้สนับสนุนของอาฝูมีมาก นอกจากเหล่านกน้อยแล้วยังมีสิงโตเสือน้อยเพื่อนบ้านอีก ใครยังกล้ามาหาเรื่องถึงประตู?
“แต่หลินเจี้ยนหรูมาหาครั้งหนึ่ง” เสี่ยวซิงพูดไปพลาง ปอกส้มให้นางไปพลาง “หลังจากพวกเจ้าไปแล้วสองวัน เขามาถามว่าเจ้าไปทะเลสาบน้ำแข็งจริงหรือไม่ ข้าตอบว่าใช่ จากนั้นเขาทุบก้อนหินในลานบ้านพวกเรา บอกว่าเป็นเขาทำร้ายเจ้า ต่อมาเขาก็จากไปโดยไม่ได้พูดอะไร”
มู่จิ่วเกือบลืมเขาแล้ว ได้ยินก็รีบพูด “ช่วงนี้เขาเป็นอย่างไร?”
“ไม่รู้” เสี่ยวซิงส่ายหน้า “ช่วงหลังข้าไม่ได้พบเขาอีก แต่หลายวันก่อนข้าเห็นเหลียงชิวฉาน นางผอมลงไปมาก แต่สีหน้าผิวพรรณดูแล้วกลับไม่เลว ทว่าข้ายังได้ยินข่าวมาอีก บอกว่าจีหย่งฟางตายแล้ว”
“ตายแล้ว?”
มู่จิ่วอึ้งไป ในสมองพลันมีใบหน้าอันดุร้ายถือดีของจีหย่งฟางผุดขึ้นมา คิดอย่างละเอียดยังเจอสองคนนั้นตอนไปสืบคดีกับซ่างกวนสุ่นที่ประตูสวรรค์แดนเหนือ ตอนนั้นนางยังอ้าเขี้ยวง้างกรงเล็บ ทำไมตายไปกะทันหันเสียแล้ว?
“ไม่ผิด” เสี่ยวซิงพยักหน้า “ได้ยินว่าทำผิดกฎในสำนัก จึงถูกเจ้าสำนักของพวกเขาส่งเข้าหลุมตัดวิญญาณไป”
มู่จิ่วกลั้นหายใจอยู่นานค่อยผ่อนแรงคืนกลับมา จีหย่งฟางยโสโอหังเป็นเรื่องจริง อยู่ที่สำนักแรกพยับของพวกเขาคงสร้างเรื่องอะไรไว้ไม่น้อยเป็นธรรมดา แต่ถึงแม้นางสร้างเรื่องมาก หากมีจีหมิ่นจวินอยู่ ยังไงก็ไม่สามารถปลิดชีวิตนางได้ ทำไมถึงถูกหัวชิงสังหาร?
นางทำผิดเรื่องอะไรที่มองข้ามไม่ได้กันแน่?
“ยังเช้าอยู่ เจ้าพักสักหน่อย ข้าจะไปซื้อกับข้าวสักหลายอย่างกลับมา”
เสี่ยวซิงดีใจอย่างมาก ไม่เก็บปฏิกิริยาของนางมาใส่ใจ มองดูพระอาทิตย์ด้านนอกก่อนหิ้วตะกร้า ความสดใสที่หายไปนานสองเดือนกลับเข้าร่างพร้อมกับการกลับมาของมู่จิ่ว นางหมุนตัวไปประตูสวรรค์แดนใต้เพื่อซื้อผักผลไม้
มู่จิ่วมองไปทางห้องตรงข้าม เห็นลู่ยากับซ่างกวนสุ่นคุยกันอยู่ จึงล้างมือเปลี่ยนเสื้อผ้าไปหน่วยลาดตระเวน นางกลับมาก่อน ยังไงต้องรายงานหลิวจวิ้นถึงจะถูกต้อง
ฝั่งห้องทางตะวันตก ลู่ยาถามซ่างกวนสุ่น “ข้าให้เจ้าคอยฟังข่าวจากจิ้งจอกเฒ่า ข่าวล่ะ?”
ซ่างกวนสุ่นอยู่ต่อหน้าเขาช่างสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ “มีข่าวราชาจิ้งจอกมารอบหนึ่ง แต่ก็เดือนกว่าแล้ว บอกคร่าวๆ ว่าตอนนี้ยังไม่มีหนทางกลับมา ขอท่านเทพโปรดทำใจสงบรอฟังข่าวดี”
…………………………………………………………………