เหลียงชิวฉานเม้มริมฝีปากมองหลินเจี้ยนหรู สายตาทอดไปยังกลีบดอกท้อซึ่งตกลงมาบนไหล่เขาเมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ ก่อนเอ่ยว่า “ไปทำธุระที่ไหนมาถึงได้มีดอกท้อ?”
หลินเจี้ยนหรูมองไหล่ ปัดมันออกไปราวกับไม่มีเรื่องอันใด “หากศิษย์พี่ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้ากลับเรือนก่อนล่ะ”
เหลียงชิวฉานเดินขึ้นมาขวางหน้าเขาอีก “เจ้าเป็นอะไรกับกัวมู่จิ่วกันแน่?!”
กับมู่จิ่ว?
แววตาของหลินเจี้ยนหรูเย็นชาทันที
เขาหันกลับมา “เจ้าต้องการพูดอะไรกันแน่?”
“เมื่อครู่ข้าเห็นเต็มตาว่าเจ้ากับกัวมู่จิ่วออกไปด้วยกัน!” เหลียงชิวฉานชี้ประตูพลางพูด “หลายวันนี้เจ้าไม่สนใจข้า เป็นเพราะนางใช่หรือไม่?!”
หลินเจี้ยนรู้สึกเพียงนางไร้เหตุผลนัก
“ข้าเป็นอะไรกับนาง แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
สีหน้าของเหลียงชิวฉานซีดขาว “หลินเจี้ยนหรู!”
หลินเจี้ยนหรูจดจ้องนาง ปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง “ศิษย์พี่หญิงฉาน หากเมื่อก่อนข้าทำสิ่งใดผิดต่อเจ้า ขอให้เจ้าอภัยข้าด้วย เสื้อผ้าของเจ้าข้าเอาไปคืนให้ได้ แต่ขอให้เจ้าอย่าคิดเรื่องเกินเลยกับข้าอีก ข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนต้อยต่ำทั้งยังเป็นลูกนอกสมรส ไม่คู่ควรให้เจ้ามารัก”
แต่เดิมเขาคิดใช้นางจัดการกับสำนักแรกพยับก็จริง แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว เขาไม่อยากทำเช่นนี้
จิตต้นกำเนิดของอู่หลานเอ๋อร์กลับมาสมบูรณ์แล้ว ต่อไปภายภาคหน้านางก็สามารถเป็นคนปกติไปได้ทุกชาติภพ
เขาไม่กังวลว่าเขาจะช่วยนางไม่ทันอีกต่อไป และยิ่งไม่อยากให้คำทำนายของชายชุดเขียวเป็นจริง…เขารู้สึกว่าตนเองพิสูจน์ให้ชายชุดเขียวเห็นได้
ดังนั้นสำหรับเหลียงชิวฉานแล้ว ไม่ว่าความรู้สึกที่นางมีต่อเขาจะจริงหรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งควรจบลงตรงนี้
“หลินเจี้ยนหรู!”
เหลียงชิวฉานตะโกนใส่ พุ่งตรงเข้าไปคว้าจับเขาไว้ “ข้าทำผิดอะไรกันแน่!”
ใบหน้าของนางมีคราบน้ำตา ความว่างเปล่าในดวงตาราวกับจะดูดคนเข้าไปได้
หลินเจี้ยนหรูเคยคิดว่าสิ่งที่เขาอยากเห็นมากที่สุดคือน้ำตาของเหลียงชิวฉานและพวกของนาง แต่เมื่อเห็นเข้าจริงกลับไม่ใคร่ดีใจนัก
“ศิษย์พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด” เขาบอก “เพียงแต่ข้ารู้ตัวว่าข้ามองศิษย์พี่เป็นพี่สาวแท้ๆ มาตลอด แต่ตอนนี้เห็นศิษย์พี่เข้าใจผิดบางอย่าง ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้ศิษย์พี่ยิ่งถลำลึก ต่อไปขอให้ศิษย์พี่ไม่ต้องสนใจเรื่องของข้าอีกแล้ว”
พูดจบเขาก็เดินอ้อมนาง จากไปไกลบนระเบียงโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
เหลียงชิวฉานยืนอยู่ที่เดิม โอนเอนเล็กน้อย ก่อนทรุดนั่งลงไป
เมื่อมู่จิ่วกลับมาถึงบ้าน ลู่ยายังไม่นอน
ในหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เห็นเขากำลังนั่งเขียนคัมภีร์ เมื่อเห็นนางที่ยืนอยู่ใต้ต้นดอกท้อ มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
พอมู่จิ่วผลักประตูเข้าไป เขาก็เอ่ยถาม “ทำธุระเสร็จแล้ว?”
นางพยักหน้า นั่งลงข้างเขา ดื่มชาของเขาไปพลาง เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังไปพลาง “อู่หลานเอ๋อร์กลับถึงตระกูลอู่ เกรงว่ายังคงมีชีวิตที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ดีกว่าถูกขังไว้ในหอบรรพชนตลอดชีวิต ในเมื่อนางปกติดีแล้วก็ควรจะแต่งงาน ตระกูลอู่เป็นขุนนาง ย่อมไม่อาจให้นางแต่งออกไปแย่นัก คู่ครองไม่อาจบอกได้ว่าเป็นคนแบบใด อย่างไรเรื่องปัจจัยสี่คงไม่ต้องกังวล”
“เจ้าคิดแทนนางได้รอบคอบนัก” ลู่ยาหยิบลำไยสองลูกส่งให้นาง “นางใช้ชีวิตอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงสิบเจ็ดปี ไม่เคยได้รับการศึกษามาก่อน และก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไหนเลยจะสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้ง่ายถึงเพียงนั้น?…หลินเจี้ยนหรูไปปรโลก ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?” ตอนสุดท้ายเขาเปลี่ยนเรื่องไป
มู่จิ่วชะงัก “ไม่มี ไม่เห็นเขาพูดอะไร”
ลู่ยาพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก
มู่จิ่วกลับถาม “เจ้าทำนายอะไรได้หรือ?”
ลู่ยาครุ่นคิดก่อนพูด “บนผังดวงชะตามีปัญหาเล็กน้อย แต่มองไม่ค่อยออก เขาคงพบเจอเรื่องอะไรบางอย่าง แต่ในเมื่อไม่มีอะไร เจ้าก็ไม่ต้องกังวล” อย่างไรผังดวงชะตาของเขาก็ไม่ได้กระทบนาง ลู่ยาไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดกังวลเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง
มู่จิ่วหวนนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ ไม่ได้รู้สึกว่าหลินเจี้ยนหรูมีอะไรผิดปกติ จึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป
วันคืนช่างสงบอย่างแท้จริง
แต่ก่อนไม่ว่าว่างหรือไม่นางก็มักจะออกไปเดินเล่นนอกสวรรค์ ตอนนี้ตามปกติกลับไปมาเพียงสองที่ วนเวียนอยู่ในสวรรค์
วันถัดมาหลังเลิกงานนางก็นำกุญแจจันทราไปคืนทะเลสาบน้ำแข็ง ได้เจออ๋าวเจียงที่กลับมาวังพอดี ไม่ได้เจอกันหลายเดือน อ๋าวเจียงกลับมาสดใสร่าเริงอย่างเดิมแล้ว แต่ในส่วนลึกของดวงตายังมีร่องรอยของความลุ่มลึกเพิ่มขึ้นมา ตอนขากลับเขาเชิญนางไปเกาะเป่ยอี๋ มู่จิ่วก็ไปด้วย เห็นเพียงอาคารเซียนเพิ่มขึ้นมาบนเกาะรกร้าง ใช้วัสดุบนเกาะ วิจิตรงดงามดูน่าสบาย ทั้งยังเลี้ยงสัตว์วิเศษไว้หลายตัว ดูแล้วน่าพึงพอใจยิ่งนัก
ตอนจากไป อ๋าวเจียงได้ให้หญ้าเซียนนางกลับสวรรค์ไปหลายต้น นางใช้สิ่งเหล่านี้น้อยจึงมอบมันให้ลู่ยาไป
แต่ผ่านไปไม่กี่วัน ในบ้านกลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยไปทั่ว นางถึงได้รู้ว่าหญ้าเซียนนี้มีสรรพคุณเช่นนี้ด้วย
อิ่นเสวี่ยรั่วรู้ว่าช่วงนี้นางไม่ออกไปไหน จึงมากินข้าวด้วยที่บ้านบ่อยๆ ลานจื่อหลิงไม่มีการทะเลาะกันแล้ว แต่ละคนที่อยู่ในลานนั้นล้วนเป็นพวกรสนิยมสูงแต่ไร้กำลังทั้งนั้น ไม่มีใครทำอาหารเป็น หากอยากจะกินอาหารดีๆ นอกจากไปภัตตาคารแล้วก็ทำได้เพียงไปโลกมนุษย์ อิ่นเสวี่ยรั่วได้กลิ่นหญ้าเซียนที่อ๋าวเจียงให้มาก็สนใจยิ่งนัก ขอมู่จิ่วไปปลูกด้วยต้นหนึ่ง
ตอนมู่จิ่วส่งนางกลับไปก็ถามอีกฝ่าย “ระหว่างเจ้ากับหยางอวิ้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“จะเป็นอย่างไรได้? นางยังจะทำอะไรข้าได้อีก?” แม่นางอิ่นไม่กล้าโอ้อวด นางเพียงไม่ได้มองหยางอวิ้นอยู่ในสายตาเลย
มู่จิ่วยิ้มกล่าว “เจ้าเก่งนัก”
“ข้าไม่นับว่าเก่ง หากข้าเก่งคงผูกให้สุนัขชายหญิงคู่นั้นอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต!” นางเย้ยหยันก่อนเอ่ยอีก “ต่อไปเจ้ากับลู่หยาก็เหมือนกัน ในเมื่อหมั้นหมายกันแล้วก็อย่ารอนาน รอนานไปไม่มีผลดี ถึงแม้ความรู้สึกของพวกเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าทองคำ แต่ก็อาจมีคนเข้ามาแทรกได้เสมอ ท่าทางเขาไม่เลว เจ้า…”
นางยังไม่ทันพูดคำที่เหลือจบ แต่มู่จิ่วก็รู้ว่านางอยากจะพูดอะไร
มู่จิ่วโบกมือพลางพูด “ตอนนี้ข้ามุ่งมั่นอยู่กับการสะสมบุญกุศลเท่านั้น ข้าสำเร็จเป็นเซียนไม่ได้หากข้าบุญกุศลไม่พอ และหากไม่สำเร็จเป็นเซียนข้าก็แต่งงานไม่ได้”
“นั่นก็ใช่” อิ่นเสวี่ยรั่วกอดกระถางดอกไม้พลางพยักหน้า
จื่อจิ้งถูกปล่อยตัวหลังจากถูกเผาอยู่หนึ่งเดือนเต็ม ตอนออกมาหน้าซีดผ่ายผอม ยามเดินยังต้องเกาะกำแพง
รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูยกถาดเนื้อไปวางตรงหน้าเขาด้วยความเห็นใจ เขาน้ำตานอง นั่งขัดสมาธิบนพื้น กอดถาดเนื้อไว้แล้วด่าทอลู่ยาตลอดบ่ายทั้งน้ำตา พวกอาฝูฟังกันจนหูชา คิดจะจากไปอย่างเงียบเชียบ จื่อจิ้งกลับตะโกนเรียกพวกเขากลับมาเสียอย่างนั้น ทั้งสองจนปัญญา จึงใช้อุ้งมือปิดหูแล้วฟังต่อไป
เมื่อในที่สุดจื่อจิ้งพูดจนเหนื่อยแล้ว กำลังจะกินเนื้อเพิ่มพละกำลัง ไหนเลยจะรู้ว่าเนื้อยังไม่ทันเข้าปาก เขาก็ถูกลู่ยาลากกลับห้อง “ถามอะไรเจ้าหน่อย”
จื่อจิ้งอยากจะลากเขาไปลงนรกพร้อมกันเสียจริง!
“ข้าถามสักหน่อย ทำไมตอนนั้นข้าโดนคำสาปของเจ้า แต่ทำไมอยู่กับอาจิ่วที่นี่กลับไม่เป็นอะไรเลย?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร!” เขามองลู่ยาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ไม่รู้?” ลู่ยาขึ้นเสียงสูง “ข้ายังไม่ได้ดับเตาไฟในห้องเจ้า”
จื่อจิ้งเบือนหน้าวิ่งเข้ากองไฟ “ท่านเผาข้าให้ตายเลยดีกว่า!”
……………………………………