“ยามนั้นพวกเจ้าแต่ละคนล้วนดูแคลนข้า ด่าว่าข้า…แกล้งข้าเพื่อความบันเทิง แม้ข้าเคยคิดจะ…เอาคืน แต่ก็ไม่เคยคิดจะเอาชีวิต”
“คนเรามักจะจดจำความเจ็บปวดได้ลึกซึ้ง เจ้าไม่มีทางทำให้ข้ามีใจกตัญญูต่อสำนักแรกพยับได้ ที่ผ่านมาข้าสูญเสียมามากแล้ว ข้าเบื่อหน่ายชีวิตที่ลวงหลอกและอันตราย ข้าต้องการใช้ชีวิตเคียงคู่กับหญิงจิตใจดีงามผู้หนึ่งชั่วชีวิต อาศัยอยู่ในบ้านไม้ไผ่ ให้กำเนิดลูกชายลูกสาว ศึกษาธรรมบำเพ็ญเป็นเซียน ชีวิตแบบนี้เจ้าทำให้ข้าไม่ได้”
เหลียงชิวฉานกำลูกกรงแน่น น้ำตาหลั่งริน แต่กลับพูดไม่ออก
นี่เป็นคำพูดที่หลินเจี้ยนหรูพูดกับนางยาวที่สุด และลึกซึ้งที่สุด
แต่ไหนแต่ไรนางไม่รู้ว่าในใจเขาเป็นอย่างไร นางแน่ใจว่าเขาต้องเกลียดสำนักแรกพยับแน่ ดังนั้นนางจึงระแวดระวังเขาในตอนแรก แต่นางไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาต้องการคือชีวิตสงบสุข และสิ่งที่ทำให้นางเจ็บปวดใจที่สุดคือ เขาบอกว่านางไม่อาจให้ชีวิตแบบที่เขาปรารถนาได้อย่างนิ่งเฉยเช่นนี้!
ก่อนหน้านี้เคยได้ยินคำพูดที่โหดร้ายกว่านี้มาแล้ว และแต่ก่อนนางก็ยังไม่ได้ลุ่มหลงจนถึงขาดเขาไม่ได้
แต่เขาในตอนนี้กลับทำให้ใจนางสั่นไหวเป็นครั้งแรก ราวกับทลายสิ่งกีดขวางที่ขวางอยู่บนตัวเขา ทำให้นางเข้าถึงตัวตนจริงๆ ของเขาได้ในพริบตา…นางพลันกระจ่างแจ้งแก่ใจ ตลอดมานางไม่เคยเข้าถึงใจเขาเลย ความอ่อนโยนเอาใจใส่ของเขาล้วนเป็นเรื่องลวงหลอก แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยมองนางเป็นคนของเขามาก่อน!
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าทำให้เจ้าไม่ได้?” นางกัดฟันตัวสั่น ใจไม่ยอมรับ
“เพราะคนที่ข้าต้องการไม่ใช่เจ้า” เขายังคงสงบนิ่ง แหงนหน้ามองพื้นคุกเหมือนกับปลานอนหงายท้อง
ในคุกหินมีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ของเหลียงชิวฉาน
นี่ทำให้หลินเจี้ยนหรูรู้สึกอยากบอกลาโลกนี้ทันที
แต่ตอนนี้ความปรารถนาของเขาสำเร็จแล้ว ที่จริงตายไปก็ไม่กระไร อย่างน้อยเขาก็ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองแล้วครั้งหนึ่ง ได้ทำตามใจปรารถนาแล้ว
ตั้งแต่ชิงเสียส่งข่าวมา ใจอันห่อเหี่ยวของมู่จิ่วก็พองฟูขึ้นมา ถึงแม้รู้ว่าไม่อาจได้รับข่าวเพิ่มเติมมาอีกในเร็ววันนี้ แต่ก็ยังกำชับพวกเสี่ยวซิงไว้ว่าหากมีของส่งมาถึงนางหรือมีคนมาหา ทางที่ดีที่สุดให้แจ้งนางทันที แน่นอนว่าหากหานางไม่พบก็สามารถบอกลู่ยาแทนได้
สองวันนี้ลู่ยายุ่งอยู่กับการวิเคราะห์เรื่องจื่อเย่าเจินเหรินกับหลิวหยาง แน่นอนว่าสำหรับตอนนี้เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น หลิวหยางไม่ทิ้งเส้นผมไว้สักเส้น ทั้งยังมีฤทธิ์เดชสูง และเข้าใจศัตรูมาก ไม่ง่ายเลยหากต้องการตามหาเบาะแสเขาภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แต่เพราะตอนนี้เรื่องที่พวกเขาอยู่แห่งหนไหนไม่สำคัญนัก ดังนั้นจึงยังดีอยู่ อย่างไรก็ไม่ร้อนใจเท่าตอนแรก
ตั้งแต่ได้ยินเรื่องของหลินเจี้ยนหรูกับเหลียงชิวฉานด้วยตัวเอง มู่จิ่วเย็นชาต่อเขามาก หลายวันมานี้ไม่ได้สนใจเขาอีก แต่ยามที่ใจกระหวัดนึกถึงคมดาบของเหลียงชิวฉานซึ่งทำร้ายเขาก็รู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้าง อย่างไรนี่ก็เป็นการเข้าใจผิด อันที่จริงนางสามารถพูดกับเหลียงชิวฉานให้เข้าใจได้
แต่สุดท้ายนางก็ล้มเลิกความคิด
เวรกรรมระหว่างพวกเขา คิดดูแล้วก็เป็นชะตาลิขิต เพราะเขาเหลียงชิวฉานถึงได้มาถามนาง ย่อมต้องมีความรู้สึกลึกซึ้ง และคำปฏิเสธเด็ดขาดของหลินเจี้ยนหรูก็แสดงว่าไม่ได้รู้สึกสิ่งใดต่อนางโดยแท้จริง ตอนนี้เขาตัดสินใจตัดสัมพันธ์กับนาง ย่อมมิใช่ไม่ใช่เรื่องดี เรื่องยุ่งยากนี้นางอยากแบกไว้ก็แบกเถิด ถึงแม้แผ่นหลังของนางจะฉีกขาดก็ช่าง อย่างไรก็แค่ไม่ต้องเข้าไปพัวพันด้วย
ช่วงเช้าหลายวันมานี้ไม่เห็นเขาปรากฏตัว นางก็ไม่ประหลาดใจ
อาการบาดเจ็บนั้นไม่เบานัก พลังบำเพ็ญเขาน้อยถึงเพียงนั้น ยังไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะฟื้นตัวได้
เขาพูดได้รุนแรงขนาดนั้น ดาบของเหลียงชิวฉานแทงมาด้วยความบอบช้ำ ย่อมต้องไม่อาวรณ์เขาแน่นอน
แต่ถึงแม้เป็นเช่นนี้ มู่จิ่วก็ไม่มีความคิดจะไปหาเขา
แม้นางจะใจอ่อนกว่านี้ ก็ยังไม่อาจยอมทนต่อการหลอกลวงของเขาได้ ถึงแม้เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะให้สัตย์สาบานว่าจะไม่กระทำชั่วอีกกับนาง แต่ในความเป็นจริงคำสาบานก็ผูกมัดตัวเขาเอง คนที่ได้รับผลประโยชน์ย่อมเป็นเขา จะดีจะร้ายก็เป็นตัวเขาเลือกเอง นางจะมีกำลังไปบังคับเขาให้เลือกได้อย่างไร?
วันนี้อยู่เวรรอบเช้า นางเข้าประตูหน่วยลาดตระเวนไปกลับพบว่ามีคนหน้าใหม่อยู่ในห้องเพิ่มขึ้นมาอีกคน ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นสหายร่วมงานคนใหม่ กำลังจะเข้าไปทักทาย หลิวจวิ้นกลับเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางผู้คน “นี่คือคนที่จะมาแทนหลินเจี้ยนหรูชั่วคราว นามว่าซูเจ๋อ รอจนหลินเจี้ยนหรูมาแล้วค่อยกลับไป”
มู่จิ่วถึงได้รู้ว่าหลินเจี้ยนหรูไม่ได้อยู่ในทัพทหารสวรรค์แล้ว
นางอดไม่ได้ถาม “เขาไปไหน?”
“กลับสำนักไปแล้ว เจ้าสำนักเขามาแจ้งข่าว” หลิวจวิ้นตอบ
กลับสำนักแรกพยับ? หัวชิงมาส่งข่าว?
มู่จิ่วนึกถึงตอนที่เหลียงชิวฉานหุนหันออกจากเรือนไป พลันรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว
ทางนี้ยังไม่ทันได้เอ่ยคำ ตอนกลับบ้านไปกินข้าวเที่ยง นางก็ถามเสี่ยวซิง “หลายวันมานี้เจ้าเห็นเหลียงชิวฉานหรือไม่?”
เสี่ยวซิงส่ายหน้า “ไม่เจอเลย”
มู่จิ่วครุ่นคิดก่อนเอ่ย “เจ้าพาอาฝูไปเดินเล่นที่หอวิหคแดง ทำเหมือนไปหาเสวี่ยรั่ว แล้วไปสืบข่าวมาเสียหน่อย”
เสี่ยวซิงลุกขึ้นมา พาอาฝูเดินออกไป
มู่จิ่วเพิ่งเดินหมากกับลู่ยาได้เพียงครึ่งกระดาน พวกเขาก็กลับมาแล้ว เสี่ยงซิงบอก “เหลียงชิวฉานไม่อยู่ นางกลับสำนักแรกพยับ ไปได้สักหกเจ็ดวันแล้ว”
หกเจ็ดวัน? นับดูแล้วมิใช่หลังจากที่ทะเลาะกับหลินเจี้ยนหรูหรือ?
ลู่ยาเท้าคางถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือ?”
มู่จิ่วเล่าเรื่องให้ลู่ยาฟัง ก่อนเอ่ย “ข้าคิดว่าหัวชิงต้องไม่ได้มาสวรรค์เพียงเพื่อขอลาพักแทนหลินเจี้ยนหรู ต้องเป็นเพราะเหลียงชิวฉานแน่ๆ หลินเจี้ยนหรูกลับไปครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตกลับมาหรือไม่”
ลู่ยาขยับหมากเล็กน้อย แล้วจึงกล่าว “มีความเสี่ยงอยู่บ้าง”
มู่จิ่วยื่นหน้าเข้ามา แต่นางไม่เคยเห็นดวงชะตาที่ทำนายมาจากการเดินหมากมาก่อน “ถึงตายหรือไม่?”
“อย่างน้อยตอนนี้ยังไม่ตาย” ลู่ยาเลิกคิ้ว “แต่หลังจากนั้นไม่อาจรู้ได้”
“เหลียงชิวฉานล่ะ?”
“ข้าไม่รู้จักคนผู้นั้น ไม่อาจตรวจดูได้” ลู่ยาพูดตามตรง
มู่จิ่วชะงัก และไม่ได้พูดสิ่งใดอีก
เหลียงชิวฉานดูไม่ใช่หญิงเขลาที่วิ่งเข้าหาความตาย ถึงแม้นางจะกลับไปสำนักแรกพยับ ย่อมต้องปลอดภัยดี
ในขณะที่หลินเจี้ยนหรูล้มลุกคลุกคลานอยู่ในสำนักแรกพยับแต่เด็ก มีหนทางเอาตัวรอด ในเมื่อไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาในหลายวันนี้ เช่นนั้นคงจะไม่เกิดอันตรายอะไรขึ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาสังหารหลินเซี่ยกับจีหย่งฟางแดงออกมาหรือยัง?
ใจของนางถึงว้าวุ่นสองครา สุดท้ายก็วางใจลง
อย่างไรนางก็บอกไว้แต่แรกแล้วว่าจะไม่เข้าไปยุ่ง ไม่มีใครตายก็ดีแล้ว
แต่พูดตามจริง นางหวังอย่างยิ่งว่าหลินเจี้ยนหรูจะพบหญิงที่จริงใจกับเขา ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ลำบากมามากแล้ว หากเขาพบคนที่ใช่ มีคนใส่ใจดูแล บางทีอาจจะต่างออกไปจากนี้ มนุษย์มิใช่ล้วนเป็นแบบนี้หรือ ใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวัง แต่ก่อนเขาอยู่เพื่อมารดา ตอนนี้สมปราถนา ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่เพื่อใครแล้ว
……………………………………………….