เบื้องหน้าสายตาพลันสว่างขึ้น
ห้องนี้มีทั้งหน้าต่างและประตู!
ใจนางเต้นระรัว กระทั่งรองเท้าก็ยังไม่ได้สวม ยื่นมือไปผลักหน้าต่างเปิดออก ภายใต้ฟ้ามืดและดวงดาว ห้องที่ทั้งเย็นและสูงใหญ่พลันปรากฏแสงอ่อนๆ ที่แท้นี่เป็นคฤหาสน์ใหญ่หลังหนึ่ง!
ถึงแม้ฟ้ามืดทำให้มองเห็นไม่หมดทั้งหมด แต่เมื่อมองจากความแข็งแรงของฐานประตูแล้ว ที่นี่ต้องเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่มากแน่ เพียงแต่กลับแห้งแล้งนัก กระทั่งร่องรอยของหญ้าสักต้นก็ไม่มี หากบอกว่าเป็นคฤหาสน์ มิสู้บอกว่าเป็นหลุมศพเสียมากกว่า
ที่นี่คือที่ไหน?
นางขมวดคิ้วครุ่นคิด จากนั้นสำรวจรอบๆ อย่างละเอียด ในห้องก็หรูหราอยู่ แต่กลับดูไม่เข้ากับยุคปัจจุบัน พูดอย่างชัดเจนคือมันดูโบราณกว่า จึงยิ่งชวนให้หวาดกลัว และยิ่งเหมือนกับอาคารโบราณที่อยู่ในความทรงจำนางอย่างมาก
ครั้นหันไปมองที่ประตู ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ถือไข่มุกราตรีเดินเข้าไป
มู่จิ่วกลั้นหายใจรวบรวมสติ พอลองดึงประตู ประตูห้องก็เปิดออก ประตูที่กว้างราวหกฉื่อสร้างขึ้นจากเหล็กสำริด ด้านบนหลอมรูปสัตว์บกสัตว์ปีกวิเศษไว้มากมาย เมื่อมองออกไปข้างนอก สิ่งที่ปรากฏสู่ครรลองสายตาคือกำแพงล้อมรอบและประตู คานแต่ละอันใหญ่ราวแขนหนึ่งโอบได้ สูงอย่างน้อยราวแปดก้าวจั้ง บนยอดหลังคามีมังกรหยกหงส์หยก ชายคาแต่ละอันมีหลายแบบแตกต่างกัน สวยงามยิ่งนัก ประณีตและงดงาม ทำให้รู้สึกเกรงขาม
ตัดเรื่องที่ไม่มีต้นไม้และสิ่งมีชีวิตออกไป อันที่จริงก็นับได้ว่ายิ่งใหญ่ทรงอำนาจ
ใจของนางสั่นด้วยความตื่นเต้น เดินออกจากประตูไป
นางมุ่งไปทางตะวันออกจนพบกับประตูที่ปิดแน่น ไปทางตะวันตกกลับเจอระเบียงทางเดินที่ทอดยาว
มู่จิ่วถือเอาหลักรอบคอบระมัดระวัง เลือกไปทางตะวันออก
สงบยิ่งนัก
ไม่มีเสียงใบไม้ไหว ไม่มีเสียงแมลงในต้นหญ้า ถึงแม้จะมีอากาศไหลเวียน แต่ยังไม่ถึงกับเกิดลมขึ้นได้
โลกทั้งใบราวกับมีเพียงเสียงเสียดสีของเสื้อผ้านางเท่านั้น นางรู้สึกราวกับอยู่ในช่วงเวลาคู่ขนาน
ปลายสุดของระเบียงทางเดินมีประตูพับอีกบานหนึ่ง
ประตูนั้นปิดอยู่ ด้านในไม่มีแสง ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร
นางไม่รู้ว่าจะเปิดประตูออกดูดีหรือไม่
“ทำไมไม่สวมรองเท้า?”
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่ ด้านหลังพลันมีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมา
นางหันกลับไปทันที หลังชนเสาระเบียง ด้านหน้ามีคนอยู่ผู้หนึ่ง มือซ้ายถือรองเท้าไหมปักลาย มือขวาทิ้งอยู่ข้างตัวตามธรรมชาติ มองนางอย่างจนปัญญาเล็กน้อย
คนเบื้องหน้าผู้นี้ร่างสูงโปร่ง ผมดำจรดเอว ใบหน้างดงามจนยากจะบรรยาย ไม่ว่ามองมุมไหนก็ไร้ข้อตำหนิ เพียงแต่คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยเท่านั้น แววตาก็เจือความจนปัญญา หากเขาไม่ใช่ชายชุดเขียวที่แกะส้มให้นางใต้พื้นพิภพของถิ่นทุรกันดารทางเหนือ แล้วจะเป็นใครไปได้อีก?
ทว่ามู่จิ่วไม่อาจไม่รู้สึกอะไรเหมือนครั้งก่อนได้อีกแล้ว
ตัวเขาน่าสงสัยเกินไป คดีมากมายขนาดนั้น พลังเสวียนหมิง ทั้งยังดูคุ้นเคยกับนาง ไหนจะเป้าหมายของเขาอีก ทุกสิ่งล้วนเตือนนาง ก่อนที่จะรู้กระจ่างชัดต้องไม่วางใจเด็ดขาด
นางชักกระบี่ออกมาทันที พูดอย่างดุดันว่า “เป็นเจ้านี่เอง!”
ลู่ยาเลิกคิ้วไม่พูดไม่จา เห็นนางดุเช่นนี้ ความหนักใจที่ซ่อนอยู่ในใจก่อนหน้าก็พลันมลายหายไปบ้าง
ก่อนที่จะเผยตัวออกมาเขายังกังวลยิ่งนัก กลัวว่าตนเองจะทนไม่ไหวจนเข้าไปกอดนางเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เช่นนั้นความต้องแตกแน่ ยังดีที่นางทำให้เขาเบาใจได้ แต่ละคำพูดและการกระทำทำให้ใจเขาสงบลง
เขาเดินเข้ามา คุกเข่าลงแล้วยกเท้านางขึ้นมาข้างหนึ่ง
มู่จิ่วตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ให้เขามีโอกาส ดังนั้นจึงยืนนิ่งไม่ขยับ กระบี่ในมือยังชี้ไปยังลำคอของเขา “ทำไมถึงมาขวางข้าทำคดี!”
ลู่ยามองกระบี่ที่ส่องประกายภายใต้แสงไข่มุกราตรี ก่อนเอ่ย “หากข้าไม่เข้าไปขวาง มิใช่ว่าเจ้าตัดสินใจจะฆ่าหลินเจี้ยนหรูให้ได้หรือ?”
มู่จิ่วหน้าตึง ไม่ขยับเขยื้อน
ชั่วขณะนั้น นางคิดจะฆ่าเขาจริง นางก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนที่เห็นเขาที่บ้าคลั่ง จึงรู้สึกอยากจะฆ่าเขานัก แต่ตอนนี้ อาจเป็นเพราะสงบลงแล้ว อารมณ์ของนางเลยไม่เดือดพล่านเช่นนั้นอีก
กระต่ายที่ถูกกดดันก็กัดคนได้ ไม่ว่าใครที่ถูกกดดันถึงขั้นนั้น ก็ต้องแสดงสันดานเดิมออกมากระมัง?
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า? หรือเจ้าคิดจะใช้ประโยชน์จากเขาก่อกวนหกภพ?”
นางยื่นกระบี่ไปข้างหน้าอีกสองชุ่น
แน่นอน นางรู้ว่าตัวเองฆ่าเขาไม่ได้ แต่หรือเพราะฆ่าไม่ได้ กระทั่งกล่าวโทษจึงยังไม่กล้า?
พูดชัดๆ ก็เพราะเขา หลินเจี้ยนหรูถึงได้เดินมาถึงวันนี้ หากไม่ใช่เพราะเขาให้พลังแก่หลินเจี้ยนหรู เขาก็ไม่อาจเป็นแบบนั้นได้เอง!
มู่จิ่วยังจำตอนที่เขาสาบานกับนาง จำตอนที่เขาล้มเลิกความคิดที่จะหลอกใช้เหลียงชิวฉานได้ ไม่ผิด นางเคยเข้าใจเขาผิด แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายเขา และก็ไม่เคยให้เขาไปหลอกคนที่แรกพยับ ทำให้เขากับแรกพยับเป็นศัตรูกัน คนที่นำเขาเข้าสู่หนทางนี้คือเจ้าคนระยำตรงหน้านี่! เขาสิถึงจะเป็นต้นตอของความชั่วร้ายทั้งหมด!
“ถึงเขาจะตายในเงื้อมมือข้า แต่คนที่เป็นต้นเหตุจริงๆ ก็คือเจ้า!”
นางถลึงตาจ้องเขาอย่างเย็นชา ไม่ไว้ไมตรี
ลู่ยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง วางรองเท้าไว้หน้าเท้านางแล้วยืนขึ้น “เจ้าใส่เองเถอะ”
มู่จิ่วกัดฟันพลางสวมรองเท้า ทั้งยังจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตายไปด้วย
“นี่เป็นชะตาชีวิตของเขา หากเขาไม่เดินเส้นทางนี้ เรื่องราวมากมายอาจเปลี่ยนไปได้ เพื่อให้เป็นไปตามบัญชาของฟ้า ข้าก็ไม่มีหนทางอื่น”
ลู่ยาพยายามอธิบายให้นางฟัง
“หุบปาก!” มู่จิ่วพูดอย่างโกรธเคือง “ข้าว่าเจ้าคิดใช้เขาเป็นหุ่นเชิดออกหน้า จากนั้นก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่เบื้องหลัง! หลินเจี้ยนหรูเป็นคนบอกว่าเจ้าให้พลังแก่เขา ทำให้เขากลายเป็นมาร! ไม่มีพลังของเจ้าเขาจะกลายเป็นมารได้อย่างไร? อีกทั้งเจ้ายังแอบหลอมหกวิญญาณ! หากไม่มีแผนร้าย เจ้าจะทำเรื่องเหล่านี้ทำไม!”
“ข้าย่อมต้องมีเหตุผลของข้า” ลู่ยาตอบ
“เช่นนั้นข้าก็มีเหตุผลของข้าเหมือนกัน!” มู่จิ่วยกกระบี่ชี้ไปที่อกเขาอีก
ลู่ยาไร้คำจะพูด คิดถึงความหัวรั้นของนาง เกรงว่าคงจะพูดไม่รู้เรื่องกัน
คิดแล้วจึงถอยออกไปสองก้าว เดินผ่านนางไปผลักประตูพับที่ด้านข้างออก
โคมในห้องจุดติดขึ้นมา เผยให้เห็นห้องนอนที่กว้างขวางสวยงาม แสงสว่างยังทำให้ด้านนอกสว่างขึ้นส่วนหนึ่ง
มู่จิ่วชะงักเล็กน้อย “ที่นี่คือที่ไหน?”
ลู่ยาหันหลังให้นาง “บ้านของข้า”
บ้านของเขา?
มู่จิ่วหรี่ตามองอย่างสงสัย
นางกวาดตามองไปรอบด้าน มองเพดานที่ว่างเปล่าไม่มีกระทั่งโคม ก่อนเอ่ย “เจ้าเป็นผีหรือ? ทำไมกลิ่นอายวังเวงถึงได้รุนแรงนัก?”
เขายืนหันหลังให้นางอยู่นานถึงค่อยหันกลับมา “ข้าไม่ใช่ผี เหตุที่กลิ่นอายวังเวงเด่นชัด เพราะที่บ้านยังไม่มีนายหญิง เจ้าน่าจะรู้ บ้านที่ไม่มีนายหญิงคอยดูแลมักจะดูไม่เข้าทีเท่าไหร่”
ถึงแม้เขาจะพูดเช่นนี้ แต่อากัปกิริยากลับไม่มีความกังวลของชายโสดให้เห็น ท่าทางเช่นนี้ทำให้รู้สึกคุ้นเคยนัก
มู่จิ่วคิดไม่ออกว่าความคุ้นเคยนี้มาจากไหน และก็ไม่รู้ว่าควรเชื่อเขาหรือไม่ แต่เมื่อสบตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง…คิดดูแล้วก็เชื่อเถอะ เพราะหากไม่เชื่อ นางก็เหมือนจะไม่มีหนทางอื่นแล้ว
“เจ้าลักพาตัวข้ามา มีเป้าหมายอะไร?” นางถาม “เพียงแค่กันไม่ให้ข้าฆ่าหลินเจี้ยนหรู?”
“ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการลักพาตัว” ลู่ยานั่งลงบนธรณีประตู ปอกเปลือกลูกสนที่ไม่รู้เอามาจากไหนพลางเอ่ย “ครั้งนี้ที่พาเจ้ากลับมาก็เพราะว่าพลังวิญญาณในร่างเจ้าสูญเสียการควบคุม เพื่อไม่ให้เจ้าถูกพลังวิญญาณตีกลับ ข้าเลยพาเจ้ากลับมา”
…………………………..