“จิ๋วจิ่ว รุ่ยเจี๋ยพาอาฝูไปเดินเล่น ส่วนลู่ยากำลังนั่งสมาธิ เจ้าไปพักผ่อนสักพักก่อนเถอะ จะกินข้าวตอนนี้ยังเร็วไปนัก”
เสี่ยวซิงถือถาดเดินมาพูดกับนาง
“ข้ารู้แล้ว” มู่จิ่วโบกมือ
นางชอบความเรียบง่ายเป็นกันเองเช่นนี้ ทุกวันตื่นมาเจอหน้าคนที่คุ้นเคย ทิวทัศน์ที่คุ้นตา ชีวิตประจำวันที่เหมือนเดิม กระทั่งมีลู่ยาเทพชั้นสูงจากสวรรค์ชั้นฟ้าลงมาอยู่ข้างกาย ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลก เหมือนกับทุกอย่างสมบูรณ์แบบไปหมด มากเกินไปส่วนหนึ่งก็รู้สึกยุ่งยาก น้อยเกินไปส่วนหนึ่งก็รู้สึกว่างเปล่า
แต่หากลู่ยาคือชายชุดเขียว เช่นนั้นทุกอย่างคงเปลี่ยนไป
เหตุที่นางรู้สึกว่าบ้านสงบสุขนั้น เป็นเพราะว่าเรื่องที่เกิดข้างนอกไม่ส่งผลกระทบถึงที่นี่ ไม่ว่านางจะเจอเรื่องอันตรายและแปลกประหลาดขนาดไหนจากข้างนอก บ้านนี้จะให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่นางมากที่สุด รวมถึงความรู้สึกที่เป็นจริงด้วย เหมือนกับว่าหากมีวันหนึ่งนางประสบเข้ากับปัญหาใหญ่จริง อยากจะละทิ้งไม่ทำแล้ว เพียงกลับมาที่นี่ก็สามารถสงบสุขได้เหมือนเดิม
แต่หากลู่ยาเป็นเป็นชายชุดเขียวที่มีแผนการไม่ชัดเจน ที่นี่จะยังสงบสุขอบอุ่นเหมือนเดิมหรือไม่?
นางกลับเข้าห้อง ซุกหน้าลงกับฝ่ามือ รู้สึกกำลังเผชิญหน้ากับทางเลือกที่ยากลำบาก
ตามเหตุผลแล้ว ชายชุดเขียวไม่ทำร้ายนางแน่นอน ถึงแม้ลู่ยาเป็นเขาก็ไม่ส่งผลกระทบกับความรู้สึกระหว่างพวกเขาทั้งสอง แต่หากพูดตามความคิดตัวเองอย่างเห็นแก่ตัว คนรักก่อเรื่องมากมายขนาดนี้ก็เพราะหวังดีต่อเจ้าเท่านั้น นี่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเรื่องหนึ่ง
แต่นางกลับไม่อาจรู้สึกเช่นนั้นได้
นางเชื่อว่าลู่ยาไม่ใช่คนทำร้ายคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่นางก็ไม่มีหนทางทำให้ตนเองเชื่อว่ากลิ่นไม้กฤษณาที่นางได้กลิ่นจากชายชุดเขียววันนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปเอง
ตั้งแต่พาเฟยอีไป…ใช่แล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ที่อยู่ของเฟยอี…ชายชุดเขียวหลอกใช้ความบาดหมางระหว่างหลีหังและอู่เต๋อลามไปถึงชิงชิว จากนั้นก็เป็นความเกี่ยวข้องของตระกูลอวิ๋นและตระกูลอ๋าว ก่อนจะเป็นการแยกจากของซื่ออินและเหลียงจี บางทีเรื่องเหล่านี้อาจไม่นับเป็นความสูญเสียที่นักหนา เพราะล้วนคลี่คลายหมดแล้ว
แต่ความเจ็บปวดในใจก็คือความเจ็บปวด หากเขาทำเรื่องเหล่านี้เพราะนาง อย่างไรนางก็รับไม่ได้
ทว่าหากทำเพื่อหกภพ เหมือนกับที่เขาบอกไว้ว่าช่วยวิญญาณทั้งหกข้ามผ่านด่านเคราะห์ ทำไมถึงต้องซับซ้อนเช่นนี้?
นางปฏิเสธชายชุดเขียวโดยไม่รู้ตัวแต่ยอมรับลู่ยา เป็นเพราะพฤติกรรมของชายชุดเขียวที่นางรู้จักนั้นฝังแน่นอยู่ในหัวนาง นางรู้สึกว่าลู่ยาไม่น่าใช่คนแบบนั้น หากบอกว่าพวกเขาเป็นคนคนเดียวกันจริง เช่นนั้นก็เปรียบดั่งลู่ยาเป็นด้านสว่าง ในขณะที่ชายชุดเขียวเป็นด้านดำมืด
มู่จิ่วไม่มีหนทางยอมรับได้
นางไม่ชอบความเห็นแก่ตัวแบบนี้
ใช้พลังอันแข็งแกร่งของตนเองไปชักใยผู้บริสุทธิ์ที่ไม่สมควรถูกทำร้าย เพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง หรือนี่ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว?
ลู่ยาอยู่ใกล้แค่เอื้อม
เพียงแค่เงยหน้าขึ้นนางก็มองเห็นเขาที่นั่งอยู่ด้านในหน้าต่างฝั่งตรงข้าม
แต่มู่จิ่วก็ไม่รู้ว่าจะไปถามเขาอย่างไร ควรเริ่มต้นอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นคนได้ประโยชน์ นางจะเอาฐานะอะไรไปบอกเขาว่าเขาผิด? มิใช่ว่านางกลายเป็นคนที่ได้ประโยชน์แต่ทำเหมือนเสียประโยชน์หรอกหรือ?
แต่ไหนแต่ไร นางไม่เคยไม่อยากเจอเขาเหมือนตอนนี้มาก่อน
นางรู้สึกว่าระหว่างนางกับเขาราวกับมีพรมแดนขวางกั้น ไม่รู้ว่าข้ามไปอย่างไรถึงจะดี
นางยกชาเย็นชืดบนโต๊ะขึ้นดื่มหนึ่งอึก
เห็นดอกโบตั๋นเสาเย่ายังคงบานสะพรั่งอยู่ในแจกัน นิ้วมือยื่นเข้าไปสัมผัสโดยไม่รู้ตัว
บางทีนางควรไปที่คลื่นจิตพสุธาอีกทีเพื่อหาคำตอบ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางไม่ควรให้การคาดเดาอันเลื่อนลอยมาทำลายความเชื่อใจระหว่างนางและลู่ยา…
เมื่อคิดดังนี้ก็รู้สึกราวเลือดลมพุ่งพล่านขึ้นมาในอก นางลุกขึ้นทันที มองกระจกพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนหมุนตัวออกจากประตูไป
เมื่อมาถึงระเบียงทางเดิน นางเรียกเสี่ยวซิงที่กำลังยกเก้าอี้ตัวเล็กไปให้ซ่างกวนสุ่น “ใต้เท้าหลิวสั่งให้ข้าไปจัดการธุระที่แรกพยับ ข้าไม่กลับมากินอาหารเย็นนะ ไม่รู้จะได้กลับมาคืนนี้หรือไม่ พวกเจ้าไม่ต้องรอข้า”
เสี่ยวซิงรู้ว่าช่วงนี้นางยุ่ง ไหนเลยจะสงสัยเป็นอื่นได้? แน่นอนว่าต้องปล่อยนางไป
มู่จิ่วออกจากบ้าน
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ลู่ยาสงสัย นางจึงไปที่หน่วยก่อน เมื่อออกจากหน่วยแล้วค่อยไปประตูสวรรค์แดนใต้ ก่อนจะไปสำนักแรกพยับ
เมื่อมาถึง พูดคุยกับสหายร่วมงานที่นั่นเสร็จ ก็หันหลังไปทิศทางตรงข้าม มุ่งไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เลียบไปตามทิวภูเขาแม่น้ำอันเขียวขจี แต่ก่อนเคยชื่นชมอย่างเบิกบานใจ ตอนนี้กลับไม่มีกะจิตกะใจแล้ว
ในความเป็นจริงนางก็ไม่รู้ว่าคลื่นจิตพสุธาอยู่ตรงไหน ครั้งก่อนนางกลับออกมาเร็วเกินไป ความเร็วของเมฆสูงมาก ย่อมต้องมองสภาพโดยรอบไม่ชัด แต่นางจำตอนที่มาตามหาเหลียงจีกับลู่ยาและซื่ออินได้ เขาเคยชี้ตำแหน่งคร่าวๆ ของคลื่นจิตพสุธาให้ เพียงแค่ไปหาดูหน่อย ไม่น่าจะหาไม่เจอ
ตอนนี้ตะวันกำลังตกดิน เงาต้นไม้บนพื้นทอดยาว ไม้เตี้ยๆ ซ่อนตัวไปในเงามืดเรียบร้อย ผืนดินที่อยู่ถัดจากภูเขาจิตอสุนีบาตล้วนทุรกันดาร แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องลงมาตรงๆ ดูอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก
นางเดินทางเลียบไปรอบด้านหนึ่งรอบ ไปตามทางจนถึงทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แต่กลับไม่มีวี่แววของวังในวันนั้นเลยแม้แต่น้อย
เมื่อตกค่ำนางก็สำรวจถิ่นทุรกันดารทางเหนือจนทั่วแล้ว ทว่าไม่พบเป้าหมาย
นี่แปลกนัก ชัดเจนว่าวันนั้นนางออกมาจากถิ่นทุรกันดารทางเหนือ และมั่นใจว่ามีวังขนาดใหญ่อยู่ จะหายไปได้อย่างไร?
นางครุ่นคิดก่อนหยิบขลุ่ยล่าเซียนออกมาเป่า
ขลุ่ยนี้เอาไว้ตามหาเซียน ในคลื่นจิตพสุธาก็มีวิญญาณเซียนอยู่ หากโชคดีอาจจะใช้ได้?
เมื่อเป่าออกไปท่อนหนึ่ง เสียงขลุ่ยค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่ว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นางครุ่นคิด ขึ้นไปยังเนินทรายที่สูงที่สุดแล้วลองใหม่อีกครั้ง
ผ่านไปเช่นนี้ครึ่งเค่อ เสียงขลุ่ยทางทิศตะวันออกเฉียงใต้กลับกลายเป็นแหลมบาดหู! ยังไม่ทันที่นางจะเก็บขลุ่ยกลับไป ขลุ่ยหยกขนาดหนึ่งฉื่อก็แหลกเป็นท่อนๆ!
ทิศตะวันออกเฉียงใต้!
นางเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงพื้นราบกว้างใหญ่ เหนือพื้นนั้นว่างเปล่า มีลมเย็นพัดจากกึ่งกลางไปยังทุกทิศทาง ลมนี้อบอุ่นและสดชื่น ชวนให้รู้สึกราวกับลมฤดูใบไม้ผลิ แต่เมื่อพิจารณาดูดีๆ ที่แท้นี่เป็นพลังวิญญาณอันหนาแน่น! นางไม่เคยเห็นพลังที่อบอุ่นและหนาแน่นเช่นนี้มาก่อน หรือนี่จะเป็นคลื่นจิตพสุธา?!
ใจของนางเต้นรัว ถอยไปหลายจั้งโดยไม่รู้ตัว
แต่ ‘ลม’ นั้นกลับเหมือนกำลังตีโค้ง โอบล้อมรอบตัวนาง ไม่เพียงนางจะไม่รู้สึกไม่สบาย แต่ยังรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งยิ่งนัก!
ตอนที่นางกำลังตกใจ ก็เห็นว่าบริเวณที่พลังวิญญาณผุดขึ้นมาค่อยๆ มีการเคลื่อนไหว แสงที่เหมือนจะแผ่ออกไปทั่วทิศโผล่มาจากพื้นในพริบตาเดียว จากนั้นค่อยๆ ลอยสูงขึ้น ส่องสว่างไปทั่วทั้งฟ้าดิน ไอมงคลปรากฏขึ้นอย่างสวยงาม เสียงดนตรีลอยมาแผ่วเบา รอจนแสงนี้หยุดนิ่งทีละน้อย ประตูสูงตระหง่านหลายจั้งรวมสามบานก็เผยขึ้นมาตรงหน้า!
“วังคลื่นจิตพสุธา?”
นางพึมพำอ่านตัวอักษรบนป้าย ป้ายนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
ใจของนางสั่นไหวเล็กน้อย เลือกเดินเข้าไปยังประตูใหญ่ตรงกลาง
…………………………………