บุตรคนที่สี่ของตระกูลหลี่รองราชเลขาแห่งเมืองหลวงมีโรคติดตัวแต่กำเนิด โตจนอายุห้าขวบยังต้องนอนติดเตียงตลอดทั้งปี
มารดาของบุตรชายคนที่สี่ร้องไห้ทั้งวัน กังวลว่าจะเลี้ยงไม่รอด
หลี่ฮูหยินเจ็บปวดแทนลูกหลาน จึงไปยังวัดของอาณาจักรข้างเคียงเพื่อเสี่ยงเซียมซีทำนาย นักบวชผู้อ่านใบทำนายบอกนางว่าคุณชายสี่ใช่ว่าไม่มีทางช่วย เพียงแต่ต้องดูว่าผู้มีพระคุณของเขาจะปรากฏตัวมาหรือไม่ ฮูหยินรีบถามว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ไหน นักบวชตอบว่า สามวันให้หลังเวลาเช้าตรู่ให้พาคุณชายสี่เดินออกมาทางประตูตะวันออกมุ่งไปทางตะวันออก หากเจอคนที่รวบผมด้วยเชือกสีแดงก็คือคนนั้น
หลี่ฮูหยินรับคำสั่ง กลับบ้านไปบอกลูกสะใภ้
วันนี้เวลาเช้าตรู่ ฮูหยินตระกูลหลี่จูงคุณชายสี่ออกจากประตูตะวันออกไป เมื่อผ่านตรอกเล็กๆ ก็พบคนที่รวบผมด้วยสีแดงจริง แต่กลับเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่คุกเข่าหายใจรวยรินอยู่มุมกำแพง เด็กน้อยน่าจะอายุราวๆ สามสี่ปี ฟันยังขึ้นไม่ครบ เสื้อผ้าขาดวิ่น เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นเด็กกำพร้าเร่ร่อน
ฮูหยินลังเลยิ่งนัก ไม่รู้ว่าว่าเด็กหญิงคนนี้คือผู้มีพระคุณของคุณชายสี่หรือไม่ เมื่อพิจารณาที่รัดผมหลวมๆ สกปรกนั่นอีกที ถึงได้กัดฟันพานางกลับจวนมา
เพราะบอกว่าเป็นผู้มีพระคุณของคุณชายสี่ ตระกูลหลี่ถึงได้ดูแลเด็กหญิงอย่างดี เลี้ยงนางอย่างลูก ทั้งยังตั้งชื่อให้นางว่าฝูอิน ตั้งพ้องเสียงกับฝูอินที่แปลว่าข่าวดี อย่างไรตระกูลหลี่ก็ทำการค้ารุ่งเรือง เลี้ยงเด็กหญิงสักคนก็ไม่เป็นปัญหา แต่นอกจากอ่านหนังสือคัดอักษรเย็บปักแล้ว ฝูอินยังต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนคุณชายสี่ด้วย
คุณชายสี่เป็นหลานคนเล็กสุดในบ้าน ได้รับความเอ็นดูจากคู่สามีภรรยาราชเลขาตระกูลหลี่ที่สุด เพื่อให้เขาเติบโตขึ้นอย่างสงบ ปกติมีฝนเล็กน้อยก็ไม่ให้เขาออกนอกบ้าน คุณชายสี่อายุถึงห้าขวบ เรื่องที่พบเจอในโลกยังไม่ถึงครึ่งของเด็กเร่ร่อนอย่างฝูอิน
ตั้งแต่นั้นมา ฝูอินก็เป็นเหมือนกระบอกเสียงของเขา ยามฝนตก นางก็จะให้คนจับเป็ดมาวางไว้ในสระน้ำ ให้เขาดูเป็ดว่ายน้ำที่ริมหน้าต่าง ยามลมพัด นางจะไปเก็บดอกไม้ที่ร่วงโรยในสวนมาพรมกลิ่นบนเสื้อเขา
ฤดูใบไม้ผลินางไปสวนเก็บใบหลิว ฤดูร้อนนางไปเก็บแห้วที่แม่น้ำ ฤดูใบไม้ร่วงนางก็ไปเก็บใบเฟิงที่ลานบ้าน ในฤดูหนาวนางจะกอดเตาเล็กๆ มา ให้คนรับใช้เอาเนื้อสดมาปิ้งกินกับผัก พลางมองหิมะขาวโพลนตกจากริมหน้าต่าง
เมื่อมีฝูอิน คุณชายสี่ร่าเริงสดใสขึ้น เขาเริ่มไม่สนใจว่าพี่ชายน้องสาวเขาจะมาหาเขาหรือไม่ เขาต้องการเพียงฝูอินก็พอแล้ว แต่เขาก็ไม่อาจให้นางอยู่ข้างกายได้ตลอดเวลา บางครั้งเมื่อเห็นเหล่าพี่สาวน้องสาวออกไปหมด เขาก็ให้นางออกไปเดินเล่นบ้าง นางไม่อยากไป เขาจึงจะอ้างให้นางช่วยออกไปดูบรรยากาศข้างนอกแทนเขาหน่อย หรือให้นางซื้ออะไรมาให้
ฝูอินก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ เห็นเขาพูดอย่างจริงใจจึงออกไป
คุณชายสี่จะถือชารอว่านางจะกลับมาเมื่อไหร่ เพราะมีความหวัง ดังนั้นกระทั่งยามรอคอยยังหอมหวานเป็นพิเศษ
จะว่าไปก็แปลก เป็นแบบนี้มาสามสี่ปี ร่างกายของคุณชายสี่กลับแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนต้องนอนอยู่บนเตียงถึงสิบเดือนในหนึ่งปี ตอนนี้นอกจากฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวที่ไม่สามารถออกไปนอกบ้านได้แล้ว นอกนั้นก็แทบเคลื่อนไหวได้ไม่มีปัญหา เขากินยาน้อยลง ร่างกายไม่แบบบางอย่างแต่ก่อน เวลาว่างยังอยากอ่านหนังสือ และหนังสือที่เขาอ่านก็เป็นหนังสือที่ปกติฝูอินเรียนอยู่
ตระกูลหลี่เห็นดังนั้นก็ยินดีอยู่ในใจ ตั้งแต่นั้นมาก็เชื่อในคำของนักบวชผู้นั้นโดยไม่สงสัย และยิ่งใจกว้างกับฝูอินมากขึ้น
กระทั่งหลี่ฮูหยินยังมีความคิดที่จะตบแต่งเป็นอนุคอยดูแลคุณชายสี่ในห้อง
แต่ฝั่งสะใภ้ยังไม่เคยรับปาก
เรื่องนี้ไม่รู้ไปเข้าหูฝูอินได้อย่างไร
ฝูอินเงียบลงไปหลายวัน ถึงแม้นางยังเด็ก แต่เพราะตระกูลหลี่ ตอนนี้นางถึงรู้ความไม่น้อย การเป็นอนุมีจุดจบอย่างไรทำไมนางจะไม่รู้ ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตนี้คนที่นางใกล้ชิดที่สุดคือคุณชายสี่ หากต่อไปยกนางให้คนอื่นก็แล้วไปเถิด หากนางรั้งอยู่ข้างกายคุณชายสี่ก็ต้องแบ่งปันเขากับคนอื่น สำหรับนางแล้วมิใช่การทรมานอย่างหนึ่งหรือ?
แต่ตระกูลหลี่มีบุญคุณเลี้ยงดูนางมา นางสามารถอยู่กับพวกเขาได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ทำไมถึงต้องคิดมากไปด้วยเล่า?
ได้เป็นอนุภรรยาของเขาก็ดี อย่างน้อยก็อยู่ข้างกายเขาได้
วันถัดมา นางก็กลับมาเป็นเช่นเดิม
แต่ไม่รอดพ้นสายตาของคุณชายสี่
ในโลกของคุณชายสี่ ฝูอินสำคัญที่สุด ในสี่ปีนี้เหมือนเขากับนางเติบโตมาด้วยกัน ทุกการกระทำของนาง ความคิดเล็กน้อย เขาสามารถรับรู้ได้ทั้งนั้น
วันนี้ด้านนอกมีลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน คุณชายสี่พลันจูงมือนางแล้วเอ่ยว่า “พวกเราไปเยี่ยมเคารพท่านย่ากันเถิด”
ฝูอินประหลาดใจนัก เพราะเขาไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมเคารพท่านย่า แต่หลี่ฮูหยินดีกับนางมาก ให้นางไปเคารพเพียงวันแรกของทุกเดือนพอ
คุณชายสี่จูงมือนางไปตลอดทางจนถึงห้อง ทุกคนล้วนอยู่ด้วย เขาก็ยังไม่ปล่อยมือ ดึงนางไปคุกเข่าตรงหน้าหลี่ฮูหยิน
“ฝูอินเป็นผู้มีพระคุณของข้า นางไม่อาจเป็นอนุได้ นางเป็นได้เพียงภรรยาของข้าเท่านั้น”
เมื่อเอ่ยคำนี้ออกไป ทั้งห้องล้วนตกใจ ฝูอินก็ตกใจจนเกือบเป็นลมไป!
เขาออกมาข้างนอกน้อยมาก รู้จักคนน้อยมาก แต่ไหนแต่ไรในกฎก็ไม่เคยห้ามพูดเรื่องอะไรบ้าง แต่เรื่องนี้เขาไม่อาจพูดได้!
หลังจากเงียบไปแล้ว ก็เห็นใบหน้าโกรธขึ้งจากฮูหยินได้ดังคาด
นางมองฝูอิน สายตาไม่เอ็นดูใกล้ชิดเหมือนเดิมอีกแล้ว
เรื่องแบบนี้ เปลี่ยนเป็นใครก็ต้องคิดว่านางยุยงคุณชายสี่
หลี่ฮูหยินไม่สนใจเหตุผล สั่งลงโทษโบยนาง
นางยอมรับไม่คัดค้าน ก้มลงโขกศีรษะแล้วออกไปรับโทษ
นางยังไม่ทันออกจากประตู เขาก็ตามไป อายุเพิ่งสิบขวบเท่านั้น ร่างเล็กๆ ดึงนางมาไว้ข้างหลัง พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ไม่ใช่นางหลอกข้า เป็นข้าตัดสินใจไว้นานแล้วว่าจะให้นางเป็นภรรยาของข้า”
“หลายปีมานี้นางทำให้ชีวิตข้าสมบูรณ์ เป็นนางที่ทำให้ข้ามีชีวิตอยู่มาถึงทุกวันนี้ ถึงแม้ข้าไม่เคยเข้าเรียน แต่ก็รู้จักการทดแทนบุญคุณ หากพวกท่านเก็บนางไว้เพียงเพื่อให้ข้าแต่งกับคนอื่น นั่นมิสู้ส่งนางออกไปให้เร็วหน่อย รอจนข้าตายแล้วค่อยกลับมาชดใช้คืนให้นางชาติหน้า”
ทั้งห้องโถงตกใจ
หลี่ฮูหยินระเบิดโทสะ แต่กลับไม่รู้ว่าจะจัดการเขาอย่างไร
ฝูอินคุกเข่าลง ไม่พูดอะไร เพียงหันไปโขกศีรษะให้เขา
นางขอร้องให้เขาหยุดพูดเสีย
ทุกคำพูดยิ่งทำให้นางตกเข้าสู่เหวลึกอีกก้าว
นางรู้ความตั้งใจของเขา แต่ไม่อยากให้เขาเจ็บปวดเพราะนาง นางอยากอยู่ข้างกายเขา ยิ่งอยากให้เขามีความสุข นางเป็นอนุของเขา เป็นคนรับใช้ของเขา เขามีความตั้งใจเช่นนี้ นางจะทำอะไรก็คุ้มค่า
“เอาละ ลุกขึ้นเถอะ” หลี่ฮูหยินถอนหายใจ “อย่างกับใครเคยบอกว่าห้ามพวกเจ้าแต่งงานกัน”
พวกเขาตกตะลึง
เหล่าสะใภ้หลายคนยิ้มน้อยๆ รีบดึงพวกเขาลุกขึ้นมา
“วันถัดมาหลังจากแม่เด็กน้อยฝูเข้ามา ย่ากับสะใภ้ใหญ่ก็ไปหานักบวชที่อาณาจักรข้างเคียง เขาบอกว่าหากคุณชายสี่แต่งกับแม่หนูฝูจะมีชีวิตถึงแปดสิบเก้าปี มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าย่าจะเลี้ยงนางมาอย่างบุตรีในไส้ได้อย่างไร ทั้งยังรับปากให้นางเฝ้าอยู่ที่ห้องเจ้าทุกเช้าค่ำ แล้วก็ไม่ได้พานางออกมาสั่งสอนเรื่องกฎด้วย? ครั้งนี้เพียงแค่อยากดูว่าพวกเจ้ารู้สึกเช่นไรเท่านั้น”
ฝูอินกับคุณชายสี่หน้าแดงทันที
ก่อเรื่องอยู่นาน ที่แท้ก็ไม่ได้เป็นอนุภรรยา แต่เป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงไว้เพื่อจะเป็นสะใภ้นี่เอง….
………………………………………
(จบบริบูรณ์)