ตอนที่ 65 ต้องรบกวนเธออีกแล้ว
หลินหยางเดินเข้าไปหยิบขวดยาบำรุงสามขวดออกมาจากห้องนอนของตน หลินหยางฉีกพลาสติกที่หุ้มขวดอยู่ออกพลางมองดูสิ่งที่บรรจุอยู่ในขวดที่เขาเรียกกันว่าโคลนพิศุทธ์ นอกจากจางเยว่แล้วคนอื่นๆ ต่างพากันตะลึงงันไปชั่วขณะ
“หลินหยาง นายเอาครีมยาที่ฉันสั่งไว้ในขวดนี้น่ะหรือ?” เซี่ยหลินหลินเลิกคิ้วขึ้นถาม
“พอดีผมหาขวดที่เหมาะสมที่จะใส่มันได้ไม่ทันการน่ะครับ แต่ด้านในเองก็ถูกผนึกไว้อย่างดี ไม่กระทบต่อประสิทธิภาพของมันแน่นอน ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมเอาตัวยาที่เหลือบรรจุในขวดกระเบื้องให้ครับ” หลินหยางเปิดฝาขวดกระเบื้องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะออกพลางดมกลิ่นด้านในก็พบว่าไม่มีกลิ่นอะไรแปลกๆ
“ขวดพวกนี้ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตร้าไวโอเลตมาแล้ว รับรองว่าไม่มีปัญหาแน่นอน” เซี่ยหลินหลินพูดเตือน
“ดีมากครับ เหมาะสมแล้ว” หลินหยางแอบขอร้องให้เซี่ยหลินหลินช่วยทำให้อย่างเงียบๆ จากนั้นเขาก็หยิบช้อนเล็กๆ ขึ้นมาทำความสะอาดแล้วก็เปิดฝาขวดยาออก ทันใดนั้นกลิ่นที่หอมและสดชื่นก็พวกพุ่งออกมาจากขวดนั้นทันที
ทุกๆ คนเองที่อยู่ในเหตุการณ์ที่ได้กลิ่นก็ต่างสูดดมกลิ่นหอมนั้นอย่างหิวกระหาย
“โคลนพิศุทธ์ที่ผมเตรียมในคราวนี้ทั้งคุณภาพแล้วสีของมันก็ดีกว่าครั้งก่อนมากโข หากใช้มันเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่ผิวจะขาวมากขึ้นแต่ยังช่วยชะลอความแก่และไม่เกิดรอยย่นอีกด้วยครับ” หลินหยางพูดไปด้วยพลางบรรจุครีมในขวดด้วย
ถึงแม้ทุกคนจะไม่รู้ว่าสิ่งที่หลินหยางพูดนั้นจริงหรือหลอก แต่ในใจของทุกคนก็ยังยินยอมและเชื่อมั่นว่ามันคือเรื่องจริง หลินหยางพลางบรรจุไปทีละขวดจนเต็ม หลินหยางจึงค่อยๆ นับทีละขวดจนได้เป็นจำนวนยี่สิบห้าขวดพอดิบพอดี
“ยี่สิบขวดนี้เป็นของที่คุณสั่งเอาไว้ครับ ส่วนอีกขวดนึงนี้เป็นค่าตอบแทนที่ป้าจางช่วยเป็นธุระให้ผม” หลินหยางแบ่งโคลนพิศุทธ์ทั้งยี่สิบเอ็ดขวดส่งให้อีกฝ่ายนึงไป นัยน์ตาของจางฟางก็ฉายแววดีอกดีใจเป็นยกใหญ่ ถ้าหากว่ามีแค่เธอกับหลินหยางแล้วล่ะก็เธอคงเข้าไปทำตัวสนิทชิดเชื้อกับหลินหยางตั้งนานแล้ว
“ป้ารบกวนหลานมากไปหรือเปล่า?” จางฟางพูดอย่างเกรงใจ
“ป้าจาง เขาให้มันกับป้าป้าก็เก็บไว้เถอะ เสื้อผ้าพวกนี้จะซื้อเปล่าๆ โดยไม่มีของตอบแทนได้อย่างไร อ้อ ใช่แล้ว ข้างในกระเป๋าถือที่อยู่ตรงนั้นคือเสื้อผ้ากับรองเท้านะ” เซี่ยหลินหลินพูดพลางชี้ไปที่กระเป๋าถือที่วางไว้ข้างกำแพง “ฉันซื้อมาสามชุดให้ผู้หญิงคนนั้นเพื่อแลกกับโคลนพิศุทธ์ขวดหนึ่งนายคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร” หลินหยางเหลือบดูกระเป๋าถือใบนั้นก็พบว่าเป็นของมีแบรนด์ พอลองคำนวณเสื้อผ้ากับรองเท้าเข้าไปด้วยราคารวมกันคงทะลุหมื่นเป็นแน่
“ถ้าอย่างนั้นอีกสี่ขวดที่เหลือก็ขายให้ฉันหมดเลยเป็นยังไง” เซี่ยหลินหลินพูดขึ้นทันควัน
“ท่านปู่…” หลินหยางที่กำลังจะตอบกลับไปก็ได้ยินฉีเยียนเอ๋อร์ที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอดกระซิบเสียงเบากับฉีหวนเบาๆ
ฉีหวนมองดูหลานสาวของตัวเองก็รู้ความหมายของเธอขึ้นได้ทันใด สำหรับร่างกายหลานสาวที่โดนโรคประหลาดรุมเร้าแล้วนั้นฉีหวนรักใคร่และเอ็นดูเป็นอย่างมาก แล้วกับแค่คำขอร้องนี้เขาจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร เขามองดูยาสี่ขวดที่เหลือบนโต๊ะของหลินหยางพลางข่มใจพูดขึ้นว่า “คุณเซี่ย น้องชาย ยาที่เหลือนี้…จะขายให้ข้าสักขวดได้หรือไม่?”
“ราคาของโคลนพิศุทธ์นี้…ค่อนข้างสูงนะครับ” หลินหยางพูดอย่างลังเล
“ฮ่าฮ่า เสี่ยวหยางเอ๋ย วางใจเรื่องราคาเถอะ ผู้เฒ่าฉีคนนี้เงินไม่เคยขาด อย่าเข้มงวดไปนักเลย ภายภาคหน้าไม่มีโอกาสดีดีแบบนี้แล้วนะ” หานเทียนอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพูด
“นี่เจ้าพูดแทนคนแก่หรืออย่างไรกันฮึ?” ฉีหวนจ้องหานเทียนอวิ๋นพร้อมพูดอย่างขำขัน
“ถ้าหากว่าลุงฉีต้องการล่ะก็ผมจะไปนำมาให้ครับ” หลินหยางหัวเราะพลางหยิบขวดยาออกมาหนึ่งขวด
“ลุงมาขอให้เจ้าช่วยรักษา แล้วไหนจะมาเอาของเจ้าทั้งที่ยังไม่จ่ายเงินอีก แบบนี้จะเหมาะสมได้อย่างไร คุณเซี่ย โคลนพิศุทธ์ขวดนี้ถ้าเธอเอาออกขายทอดตลาดคาดว่าขวดนึงจะได้ประมาณเท่าไหร่กัน?” ฉีหวนมองเซี่ยหลินหลินแล้วถามขึ้น
“ต้นทุนของโคลนพิศุทธ์ที่ข้าได้มาต้นทุนไม่น้อยเลยนะแต่วัตถุดิบข้างในนั้นล้ำค่ามากเลย ปริมาณก็มีจำกัด และยังต้องไปขายให้กับพวกระดับสูงอีก ดิฉันคงรับประกันขั้นต่ำที่จะออกจำหน่ายก็คือห้าแสนหยวน ถ้าหากประสิทธิภาพดีแล้วล่ะก็…อาจจะปรับราคาขึ้นก็เป็นได้” เซี่ยหลินหลินพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา
ถึงแม้ว่าทุกคนจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายแต่พอได้ฟังราคาห้าแสนแล้วใจก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม โดยเฉพาะหลินหยางใจของเขาตอนนี้เหมือนกับม้าเป็นหมื่นๆ ตัววิ่งกันขวักไขว่ “เซี่ยหลินหลิน ราคานี้ขายแค่สองขวดก็ได้ต้นทุนคืนมาแล้วนะ หากขายสามขวดก็จะได้ทุนที่ผมใช้ยารักษาคุณกลับคืนมา ยิ่งไปกว่านั้นหากขายหมดแล้วล่ะก็กำไรล้นหลามแน่ๆ”
จากที่หลินหยางชั่งใจอยู่พักหนึ่ง ยาที่สามารถขายขวดล่ะเป็นหมื่นเป็นแสนได้สองขวดถือว่ากำไรแล้ว หากว่ามีคนอื่นที่สามารถขายได้มากกว่านี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องของคนอื่นแล้ว
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เป็นลูกหลานคนร่ำคนรวย ราคาห้าแสนสำหรับผู้เฒ่าฉีแล้วก็ไม่ได้มากมายอะไร เขาหยิบมาหนึ่งขวดแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ห้าแสน พรุ่งนี้ช่วงบ่ายข้าจะโอนเงินให้ รบกวนเจ้าบอกหมายเลขบัญชีธนาคารให้ลุงด้วย”
“ฉันก็จะซื้อด้วยหนึ่งขวด!” จู่ๆ หานซิ่นก็พูดโพล่งขึ้นมา
“ท่านลุงฉีซื้อไปเพื่อนำไปให้หลานสาว นายเป็นเพียงชายฉกรรจ์ตัวคนเดียวจะเอามันไปทำอะไร? คงไม่ได้จะเอาไปหลอกลวงหญิงสาวตระกูลไหนหรอกนะ?” เซี่ยหลินหลินพูดล้อเลียนขึ้นมา
“ถึงตัวฉันจะไม่มีลูกสาว แต่ฉันก็ยังมีภรรยาอยู่นะ” เขาตอบเซี่ยหลินหลินจากนั้นก็หันไปมองหลินหยางแล้วพูดขึ้น “น้องชาย ไม่รู้ว่าขวดยาของฉันนั้น…”
“อยู่นี่ครับ คุณได้เอาขวดมาหรือเปล่า?” หลินหยางเองก็หยิบเหยือกจากในห้องนอนออกมาแล้วถามขึ้น
“ฉันนำมาด้วย ดูสิ…อยู่ที่นี่หมดแล้ว” หานซิ่นรีบเปิดกระเป๋าที่ตัวเองนำเอามาด้วย ข้างในกระเป๋าเรียงรายไปด้วยขวดกระเบื้องน้อยใหญ่ที่ดูปราณีตเป็นอย่างมาก
หลินหยางหยิบขวดที่ดูค่อนข้างใหญ่ออกมาขวดหนึ่งจากนั้นก็เทเม็ดยาลงไปสามเม็ดแล้วพูดขึ้น “ยาอายุวัฒนะสามเม็ดนี้คุณเอากลับไปกินคืนนี้ก่อนหนึ่งเม็ด ส่วนที่เหลือให้กินสามวันหนึ่งครั้ง หลังจากผ่านไปเก้าวันคุณก็จะฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม”
“พูดเรื่องจริงหรือ?” สายตาหานซิ่นฉายประกายดีใจจนเนื้อเต้น ถ้าหากสิ่งที่หลินหยางพูดเป็นเรื่องจริงล่ะก็ หลังจากผ่านไปเก้าวันแล้วร่างกายตัวเองก็จะกลับมาเป็นชายชาติทหารเหมือนเดิม
“แน่นอนครับ ถ้าหากคุณทำตามที่ผมพูด แล้วก็ภายในเก้าวันอย่าเพิ่งไปมีปฏิสัมพันธ์กับใครนะครับ ถ้าหากครบเก้าวันแล้วยังไม่เกิดผลใดๆ ผมไม่คิดเงินครับ” หลินหยางหัวเราะอย่างสุภาพ
“ฉันเชื่อใจ หลังจากที่ฉันกลับไปถึงแล้วจะรีบโอนเงินเข้าบัญชีของเธอทันที” หานซิ่นพยักหน้าตอบ
“น้องชาย สิ่งนั้นคือยาอะไรอย่างนั้นหรือ?” ลุงฉีส่งเสียงถามออกมาอย่างประหลาดใจ
“หลักๆ แล้วยานี้มีส่วนช่วยในการบำรุงกับผู้คนที่ขาดสมดุลในร่างกาย หากใช้แล้วก็จะกลับมาเป็นปกติได้ สำหรับประเภทคนที่นกกระจอกไม่ทันกินน้ำนั้น ก็มีประโยชน์ในการรักษาที่ดี สมดุลในร่างกายของหานซิ่นตอนนี้ร้ายแรงนัก แถมช่วงก่อนยังกินยาที่มีโทษต่อร่างกายทำให้อวัยวะภายในเสียหาย แต่หากกินยานี้แล้วก็จะมีแต่ประโยชน์ต่อร่างกายแน่นอนครับ” หลินหยางยิ้มพลางอธิบาย
“ยังมีอีกอย่างหนึ่ง…แล้วประสิทธิผลที่พูดกับฉันก่อนหน้านั้น…จะมีผลรึเปล่า?” เพราะมันเกี่ยวข้องกับความสุขของตนภายหลัง หานซิ่นจึงกัดฟันถามออกไป
หลินหยางเข้าใจความหมายของหานซิ่นได้ทันที จึงยิ้มแล้วพยักหน้าตอบ “อาจจะยืดเยื้อสักหน่อย แต่วางใจเถอะครับ ถ้าไม่พอใจผมไม่คิดเงินครับ”
“เงินน่ะเรื่องเล็กน้อย ขอแค่ผลลัพธ์ดีก็พอ ฮ่า ฮ่า…ถ้าอย่างนั้นฉันขอขอบคุณหมอหลินก่อนเลยละกัน” หานซิ่นยิ้มแล้วพยักหน้าตอบ
หลังจากเขาพูดคุยกับคนอื่นๆ อีกไม่กี่ประโยคหานซิ่นก็เดินออกไปอย่างตื่นเต้น หลังจากหลินหยางส่งหานซิ่นออกไปแล้ว เขาก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาหน่อย เขาพลางมองดูไปรอบๆ ก็เห็นคนในหมู่บ้านต่างพากันมาเฝ้ามองดูไม่น้อยเพราะคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่บ้านของหลินหยาง
มีผู้ชายบางกลุ่มชี้มาที่รถทั้งสามคันด้วยความตื่นเต้นและตกตะลึง
“หมอหลิน ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อน” หานซิ่นบอกลาหลินหยางก่อนที่จะกลับ
“เดินทางปลอดภัยครับ”
หานซิ่นพยักหน้ารับ เขาเปิดประตูรถแล้วสตาร์ทรถบึ่งออกไป
“เสี่ยวหยาง คนที่มาพวกนี้เป็นใครกันหรือ?” พอหานซิ่นขับออกไปได้สักพัก จางฮุ่ยชุ่ยที่กำลังดูอยู่ก็เดินเข้ามาถามเสียงดัง
ผู้คนรอบๆ ต่างรอฟังเขาตอบกันหูผึ่งแล้วพากันมองหลินหยางอย่างสนอกสนใจ เพราะทุกๆ วันในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องน่าเบื่อหรือไม่ก็เรื่อเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่วันนี้กลับมีรถหรูสามคันมาจอดอยู่ในหมู่บ้าน เป็นธรรมดาที่ทุกคนในหมู่บ้านจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ
“เป็นคนที่มาให้ช่วยรักษาไข้น่ะครับ เมื่อไม่กี่วันก่อนผมได้บังเอิญไปพบกับคนไข้สองคนในเมืองพอดี เมื่อดูอาการแล้วต้องมีการตระเตรียมยาจึงให้พวกเขามารับเองในวันนี้ครับ” หลินหยางอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
พอได้ฟังผู้คนต่างๆ ในหมู่บ้านก็เหมือนได้พบทางสว่าง คุณลุงจางเองก็ชูนิ้วโป้งให้พลางพูด “เสี่ยวหยางคนนี้ช่างมีฝีมือการแพทย์ที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ถึงขนาดสามารถทำให้คนที่อยู่ในเมืองมาขอรับการรักษาถึงในชนบทนี้ได้”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ฝีมือของเสี่ยวหยางยอดเยี่ยมสุดๆ ขนาดเซี่ยผิงเลือดกำเดาไหลออกมาเสียเยอะแยะมากมาย เขาแค่ฝังเข็มไม่กี่เข็มเลือดก็หยุดไหลทันทีเลย” ผู้คนในหมู่บ้านต่างพากันสนทนาถึงหลินหยางไม่หยุด หลินหยางเองก็พลางเดินคุยกับพวกชาวบ้านสักครู่หนึ่งจึงกลับเข้ามาในบ้านของตน
พอกลับเข้ามาในบ้านหลินหยางนั่งลงพลางมองไปที่ฉีเยียนเอ๋อร์ ผมอันยาวสลวยของฉีเยียนเอ๋อร์ที่ยาวประบ่าคล้อยลงมา เธอสวมชุดสีน้ำตาลอ่อนๆ ผิวที่ขาวดุจดั่งหิมะ นัยน์ตาดำนิลมันเงา คิ้วคู่ที่โค้งมนรับกับใบหน้าอันสวยงามของเธอ พร้อมกับที่เธอนั่งอยู่เงียบๆ อย่างสุขุมนั้นทำให้เธอดูเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ที่ออกมาจากภาพวาดอย่างไรอย่างนั้นเลย
หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่งเขาก็สังเกตสิ่งผิดปกติในร่างกายของฉีเยียนเอ๋อร์ได้ ถึงแม้ว่าจากที่เล่ามาทั้งหมดอาจจะดูสุขภาพดี แววตาก็ดูมีประกาย แต่สำหรับความเห็นด้านการแพทย์ของหลินหยางแล้วเขาก็ยังคงเห็นปัญหาบางอย่างได้อยู่ดี เขารู้ดีว่าแววตาที่เป็นประกายของฉีเยียนเอ๋อร์นั้นกำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ ปกติแล้วคนทั่วไปไม่มีทางสัมผัสมันได้ แต่สำหรับหลินหยางก็ยังคงรู้สึกได้ถึงแววตาของเธอกำลังฉายแววบางอย่างออกมา
“หมอหลิน ไม่ทราบว่าจะดูอาการของเยียนเอ๋อร์ได้เมื่อใดหรือ?” ฉีหวนถามขึ้นอย่างเกรงใจ
หลินหยางเองก็ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วฉีหวนต้องการที่จะทำอะไรกันแน่แต่พอสังเกตดูลักษณะท่าทางของสองปู่หลานที่นั่งอยู่แล้วสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาทำให้รู้สึกถึงความกดดันแปลกๆ หน่อยๆ คนที่ร่ำรวยเงินทองและฉีหวนที่เมื่อก่อนเป็นถึงนักลอบสังหารแต่มาตอนนี้ดูภายนอกแล้วช่างเหมือนคนเฒ่าคนแก่ธรรมดาทั่วไปแถมยังมาขอความช่วยเหลือหลินหยางแบบนี้อีกด้วย ช่างเป็นคนที่มีจิตใจที่คำนึงถึงผู้อื่นเสียจริง
หลินหยางพลางมองไปที่เซี่ยหลินหลินกับจางฟางที่แม้จะได้ของที่ต้องการไปแล้วแต่ก็ยังไม่มีทีท่าที่จะกลับไป เขาจึงยิ้มขึ้นพูด “คุณเซี่ย พวกคุณไม่มีธุระอะไรใช่หรือไม่? หากไม่รีบแล้วล่ะก็ผมจะขอตรวจดูอาการของคุณฉีก่อนนะครับ”
“นายไปดูอาการให้น้องเยียนเอ๋อร์ก่อนเถอะ ผืนฟ้าแผ่นดินกว้างใหญ่ แต่ชีวิตนั้นยิ่งใหญ่กว่า ขอชื่นชมฝีมือแพทย์ของเจ้าอย่างละเอียดหน่อยเถอะ” เซี่ยหลินหลินพลางโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องรีบร้อน
ฉีหวนส่งสายตาคล้ายจะยกย่องให้เซี่ยหลินหลินพลางมองไปที่หลินหยางแล้วพูดขึ้น “หมอหลิน ครั้งนี้ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ คุณฉี ยื่นแขนออกมาหน่อยครับ” หลินหยางมองฉีเยียนเอ๋อร์แล้วพูดขึ้น
ฉีเยียนเอ๋อร์เองได้รับการรักษามาไม่น้อย แพทย์แผนจีนที่มีชื่อส่วนใหญ่มักจะวัดชีพจรของตนก่อน แต่กับหลินหยางที่เป็นหมอตอนอายุน้อยขนาดนี้เธอแทบไม่มีความสนใจใดๆ ถึงแม้ว่าความสามารถด้านการแพทย์ตะวันตกจะแข็งแกร่งแต่สำหรับแพทย์แผนจีนแล้วไม่เพียงแค่ต้องการความรู้เท่านั้นแต่ยังต้องการประสบการณ์และทัศนะวิสัยกว้างไกลอีกด้วย
หลินหยางอายุน้อยขนาดนี้แถมอายุเพิ่งจะยี่สิบและยังมีความรู้ด้านแพทย์จีนแบบผิวเผินแบบนี้ ไม่รู้ว่าทำไมคุณปู่ถึงเชื่อปู่เซียวแล้วมาที่นี่กัน ถึงแม้ฉีเยียนเอ๋อร์จะไม่เชื่อฝีมือการแพทย์ของหลินหยาง แต่คุณปู่อยากจะให้เธอมามากเธอจึงไม่กล้าคัดค้านอะไรคุณปู่ของเธอ คิดซะว่ามาที่เมืองเจียงหลิงนี้เพื่อมาเที่ยวเมืองติดชายทะเลก็ไม่เลวนักหรอก
ฉีเยียนเอ๋อร์จะคิดอะไรอยู่นั้นหลินหยางมิอาจรู้ได้ และถึงแม้ว่าจะรู้ก็พูดอะไรมากไม่ได้อยู่ดี ตนเองรู้ว่าอายุของตนยังน้อย จะมีคนที่ไม่เชื่อก็ไม่น่าใช่เรื่องแปลกอะไร
นิ้วมือของเขาแตะไปที่ข้อมือของฉีเยียนเอ๋อร์จับวิถีโคจรพลังบริสุทธิ์ในร่างกาย พลันพลังชี่อย่างเบาบางก็ปรากฏที่นิ้วมือของเขาแล้วก็พุ่งเข้าสู่ร่างกายภายในของฉีเยียนเอ๋อร์ทันที
ฉีเยียนเอ๋อร์รู้สึกได้ถึงพลังชี่ของหลินหยางที่พุ่งผ่านเข้ามา จากตอนแรกที่เขาดูเหมือนคนหนุ่มธรรมดาทั่วไปแต่ตอนนี้กลับเหมือนต้องมนต์ นัยน์ตาที่นิ่งสงบมองหลินหยางด้วยความประหลาดใจแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ผู้คนต่างจ้องมองหลินหยางอย่างตึงเครียด หลินหยางพลันปิดตาลงพลางซึมซับความรู้สึกในร่างกายของฉีเยียนเอ๋อร์อย่างละเอียด
พลังชี่ที่เหมือนเส้นด้ายเล็กๆ เส้นหนึ่งไหลเวียนอยู่ในร่างกายของฉีเยียนเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว หลินหยางเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน