ผู้อาวุโสทั้งสามต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาทุกคนกำลังรอคอยตำตอบของลู่โจวอยู่
ฝานลี่เทียนเป็นคนที่พูดต่อมา “โดยปกติแล้วการที่ผู้ฝึกยุทธจะฝึกฝนเคล็ดวิชาที่มีมากขึ้นจะทำให้พวกเขาฝึกฝนตัวเองให้ก้าวหน้าช้าลงไปด้วย ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่มักจะฝึกฝนเคล็ดวิชาจนเชี่ยวชาญแค่หนึ่งถึงสองเคล็ดวิชาในช่วงชีวิตได้เท่านั้น”
ลู่โจวไม่ได้เห็นด้วยไปซะทีเดียว ตัวเขาลูบเคราก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าพูดถูกแล้วล่ะ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับผู้ฝึกยุทธแต่ละคนด้วย ทักษะของเต๋าล่องหนเป็นเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับความว่องไว ในวิถีแห่งเต๋ามีวิธีการฝึกตนมากกว่าหลายร้อยหลายพันวิธี แม้ว่าการฝึกฝนหลายทักษะพร้อมกันอาจจะทำให้เกิดความสับสนก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังสามารถใช้ข้อดีของแต่ละทักษะทำให้เกิดข้อดีข้อใหม่ขึ้นมาได้ อันที่จริงทุกคนล้วนแต่มีพลังอยู่ในขีดจำกัด ดังนั้นการที่จะฝึกฝนตนตามหลากหลายวิธีจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาใดเคล็ดวิชาหนึ่งให้เชี่ยวชาญไปนั่นเอง…แต่ไม่ว่าจะยังไงวิถีทางของคนธรรมดาทั่วไปคงจะไม่เหมาะกับศิษย์สาวกของข้า ศิษย์ของข้าแตกต่างจากคนอื่นๆ” ลู่โจวไม่จำเป็นเลยที่จะต้องอธิบายรายละเอียดอื่นเลยที่จะทำให้ผู้อาวุโสทั้งสามเข้าใจในสิ่งที่ตัวเขาพูด ถ้าหากเป็นผู้ฝึกยุทธที่ไม่ได้สังกัดกับสำนักใดสำนักหนึ่ง การที่จะเลือกเส้นทางการฝึกฝนตนที่มากกว่าหนึ่งทางในการฝึกไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในโลกใบนี้มีวิธีการฝึกฝนตนมากมายหลายแบบ คนที่ผู้อาวุโสทั้งสามกำลังพูดถึงอยู่นี้เป็นถึงศิษย์คนที่เก้าของศาลาปีศาจลอยฟ้า หยวนเอ๋อนางเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ที่มากกว่าใครทั้งปวง อายุที่ยังน้อยของนางจะต้องทำให้นางมีทั้งเวลาและเรี่ยวแรงในการฝึกฝนตนได้อีกมาก การที่ฝึกฝนตัวเองหลายทางเข้าไว้ย่อมดีกว่าการฝึกฝนตนเพียงแค่ทางเดียว
“ตอนนี้ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว” เล้งลั่วที่พูดขึ้นได้คารวะลู่โจวเป็นการขอบคุณ
ฝานลี่เทียนได้พูดต่อ “ตาเฒ่าเล้ง เจ้าน่ะศึกษาเต๋าล่องหนมาตลอดทั้งชีวิต เพราะแบบนั้นเจ้าจึงเก่งกาจในเรื่องของความว่องไวซะยิ่งกว่าใคร แต่ถึงแบบนั้นเจ้าก็ยังศึกษาเคล็ดวิชาสำหรับการฆ่าอย่างลับๆ ใช่ไหมล่ะ? ถ้าหากเจ้าไม่ทำแบบนั้นก็ไม่มีทางเลยที่เจ้าจะรอดจนมายืนอยู่ตรงนี้ได้”
เล้งลั่วไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองขอทานเฒ่า ‘แม้ว่าจะออกจากการฝึกฝนตนไปนาน แต่ขอทานเฒ่าคนนี้กลับยังเข้าใจทุกอย่างและยังมีสายตาที่เฉียบคม ขอทานคนนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!’
ฝานลี่เทียนได้คารวะก่อนที่จะพูดกับลู่โจวต่อ “ข้ายอมรับว่าเคล็ดวิชาหยกแห่งความบริสุทธิ์ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับหยวนเอ๋อมากที่สุดแล้ว แต่ถึงแบบนั้นนางก็เพิ่งจะฝึกฝนตัวเองในช่วงเวลาอันสั้นเท่านั้น ข้าคิดว่านางควรจะค่อยๆ กลับมาสร้างรากฐานให้มั่นคงซะก่อน” หลังจากที่พูดจบฝานลี่เทียนก็ชูน้ำเต้าขึ้นมา น้ำเต้าขวดนี้เป็นสิ่งเตือนใจของหยวนเอ๋ออย่างหนึ่ง ในอดีตนางไม่สามารถใช้สายสะพายนิพพานเพื่อเปิดจุกน้ำเต้าได้ การทดสอบในครั้งนั้นถือว่าเป็นการทดสอบเรื่องพื้นฐานอย่างการควบคุม มันไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเข้าใจได้ในชั่วข้ามคืน
“ข้าเองก็เห็นด้วย” ฮั๊ววู่เด๋าพูดเสริม
เล้งลั่วได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจ “เจ้ากำลังจะบอกว่านางยังเป็นมือใหม่ในเรื่องพื้นฐานอย่างงั้นสินะ ถ้าหากเป็นแบบนั้นจะทำยังไงกันให้นางมีรากฐานที่มั่นคงขึ้นมาได้ล่ะ? เจ้าคิดว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดายอย่างงั้นหรอ? มันเป็นเรื่องที่ผู้ฝึกยุทธที่ฝึกฝนตัวเองกว่าร้อยปีถึงจะเข้าใจได้ ข้าน่ะรู้สึกละอายแทนเจ้าจริงๆ”
ฝานลี่เทียนที่ฟังแบบนั้นถึงกับผงะ
“ข้าเองก็เห็นด้วย” ฮั๊ววู่เด๋าพูดเสริมอีกครั้ง
ฝานซง, โจวจี้เฟิง, ฮั๊วยู่จิงและผู้ฝึกยุทธหญิงคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกงุนงง
ลู่โจวที่ได้ฟังการถกเถียงได้แต่ส่ายหัวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ผู้อาวุโสทั้งสามทำให้ลู่โจวนึกถึงคนรุ่นเก่าในอดีต อันที่จริงการจะหวังให้พวกเขาทั้งสามช่วยเหลือคงจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรคาดหวังตั้งแต่แรกแล้ว ลู่โจวได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะจ้องมองไปยังหยวนเอ๋อและพูดขึ้น “เจ้าควรจะจดจำคำชี้แนะของผู้อาวุโสทั้งสามเอาไว้ในใจ นอกจากนี้เจ้าก็ยังพึ่งพาของวิเศษให้มันมากนัก ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจะต้องเก็บสายสะพายนิพพาน, รองเท้าเหยียบเมฆา และชุดขนเมฆาเอาไว้ซะ อย่าได้ใช้มันถ้าหากไม่มีความจำเป็นมากพอ”
“หะ?” หยวนเอ๋อรู้สึกเสียใจมากเมื่อได้ฟังแบบนั้น
ลู่โจวได้พูดเสริม “ข้าจะคิดทบทวนอีกครั้งเองถ้าหากเจ้าฝึกฝนตัวเองจนใช้พลังอวตารดอกบัวห้ากลีบได้”
ผู้อาวุโสทั้งสามต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย สิ่งที่ลู่โจวเพิ่งจะพูดออกไปถือเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่สำหรับหยวนเอ๋อมากที่สุดแล้ว แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไปตรงๆ แม้ว่าของวิเศษทั้งหลายจะเป็นเหมือนกับอัญมณีล้ำค่า แต่ถึงแบบนั้นถ้าหากใช้มันอย่างไม่ถูกวิธีของพวกนี้ก็จะมีแต่รั้งหยวนเอ๋อเอาไว้ไม่ให้นางฝึกฝนตัวเองจนก้าวหน้าไปไหนได้ ถ้าหากมีใครบางคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาที่ไม่ใช่ลู่โจว คนคนนั้นก็อาจจะถูกเข้าใจผิดได้ว่ากำลังอิจฉาสิ่งที่สาวน้อยคนนี้มีอยู่ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วที่ผู้เป็นอาจารย์จะเป็นผู้พูด
“ได้ค่ะท่านอาจารย์” แม้ว่าหยวนเอ๋อจะไม่เต็มใจเท่าไหร่ แต่นางก็พยักหน้ายอมรับอย่างเชื่อฟัง
“ติ้ง! ชี้แนะหยวนเอ๋อสำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 300”
‘นี่มันเป็นวิธีที่สะดวกสบายซะจริง แค่แป๊บเดียวฉันก็ได้แต้มบุญมา 900 แล้ว’
ดูเหมือนว่าเส้นทางแห่งการสั่งสอนลูกศิษย์จะเป็นเหมือนกับเส้นทางอันดีสำหรับลู่โจว
“ไปได้แล้ว” ลู่โจวโบกมือให้กับศิษย์ทั้งสอง
ต้วนมู่เฉิงและหยวนเอ๋อได้โค้งคำนับลู่โจวพร้อมกันก่อนที่จะจากไป
ผู้อาวุโสทั้งสามที่เห็นการสั่งสอนของลู่โจวต่างก็เปี่ยมไปด้วยความสงสัย
ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดขึ้น “ถ้าหากข้าไม่เห็นกับตาของตัวเองข้าก็คงไม่เชื่อเลยว่าท่านปรมาจารย์จะใช้วิธีแบบนี้ในการสั่งสอนชี้แนะลูกศิษย์ของตัวเอง…วิธีของท่านปรมาจารย์ที่ข้าได้ยินมาจากข้างนอกช่างแตกต่างกับของจริงอย่างกับพลิกฝ่ามือ”
เป็นธรรมดาที่ลู่โจวจะรู้ว่าข่าวลือที่ฮั๊ววู่เด๋าได้ยินมาคืออะไร แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว ลู่โจวไม่ใช่จีเทียนเด๋าคนเดิมอีกต่อไป
ฝานลี่เทียนได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าอยากจะถามอะไรท่านสักอย่าง ท่านปรมาจารย์”
“ว่ามา” ลู่โจวหันกลับมามอง
“เมื่อลองคิดดูให้ดีข้าก็อยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้ามาระยะหนึ่งแล้ว ข้าได้ยินมาว่าท่านกำลังศึกษาเคล็ดวิชาต่างๆ เพื่อหาข้อดีของแต่เคล็ดวิชาเหล่านั้น เรื่องนั่นถือว่าเป็นความจริงใช่หรือไม่?” ฝานลี่เทียนได้ถามออกมาตรงๆ
เรื่องนี้ทั้งฮั๊ววู่เด๋าและเล้งลั่วเองก็ต่างก็สงสัยเช่นกัน ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าลู่โจวสามารถใช้เคล็ดวิชาของชาวพุทธ, พลังพุทธองค์กายาทองคำ, พลังพุทธปีศาจ, เคล็ดวิชาเต๋า และแม้แต่พลังฝ่ามือทั้งเก้าเองลู่โจวก้ใช้ได้ นอกจากนี้ทักษะการใช้ดาบและการใช้กระบี่เองก็จัดอยู่ในขั้นยอดฝีมือ ทักษะเหล่านี้สามารถอิงจากทักษะของลูกศิษย์ที่ลู่โจวมีได้
ลู่โจวได้พูดขึ้น “สำนักน้อยใหญ่ในใต้หล้าต่างก็มีเป้าหมายในแบบเดียวกัน” ตัวเขาที่พูดเสร็จได้ก็ชูมือขวาขึ้นมาช้าๆ คราวนี้ในมือของเขาไม่มีการ์ดอะไรอยู่ในมือ ลู่โจวพยายามนึกถึงภาพในตอนที่ตัวเขาใช้การ์ดพิเศษขึ้นมา ในตอนนั้นเองพลังลมปราณก็ได้ควบแน่นขึ้นมาจนกลายเป็นพลังฝ่ามือที่แสนจะเรียบง่ายขึ้น ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกทุกครั้งที่ลู่โจวได้มาจากการใช้งานการ์ดวิเศษ
ทุกสำนักในใต้หล้าต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน อันที่จริงแล้วทุกสำนักก็เริ่มมาจากการควบแน่นพลังลมปราณที่ตัวเองมีให้กลายเป็นพลังงานขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการโจมตีหรือการป้องกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ฝึกยุทธคนนั้น
พลังลมปราณในฝ่ามือของลู่โจวได้หมุนวนไปในทิศทวนเข็มนาฬิกา มันได้หมุนไปจนก่อตัวเป็นพลังฝ่ามือขึ้น
ผู้อาวุโสทั้งสามต่างก็จ้องไปยังพลังฝ่ามือที่อยู่บนมือของลู่โจว
“นี่มันสุดยอดพลังฝ่ามือสายฟ้าคำราม”
ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองด้วยมือซ้ายก่อนที่จะจ้องมองไปยังฝ่ามือที่อยู่ทางขวาด้วยความพึงพอใจ ความเป็นจริงพลังฝ่ามืออันนี้คงจะเทียบเท่าได้กับพลังฝ่ามือทั้งเก้าที่เกิดมาจากการ์ดวิเศษได้ แต่ถึงแบบนั้นนี้มันเป็นเพียงการสาธิตเท่านั้น เพราะแบบนั้นแล้วมันจึงไม่ได้ดูทรงพลังอะไรมากนัก
ผู้อาวุโสทั้งสามได้แต่ประหลาดใจ
มีตัวหนังสือขนาดเล็กกำลังหมุนรอบพลังฝ่ามือของลู่โจว อันที่จริงมันเป็นตัวหนังสือที่ดูคล้ายกับพลังทั้งเก้าที่มีอยู่ในพลังฝ่ามือทั้งเก้า!
“ข้าได้เปิดหูเปิดตาอีกครั้งแล้ว!”
“มันง่ายขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอ?”
“วิเศษจริงๆ”
“สมแล้วที่เป็นฝีมือของท่านปรมาจารย์”
ลู่โจวที่เสร็จการสาธิตได้กำมือของตัวเองก่อนที่พลังฝ่ามือสายฟ้าคำรามจะหายไป
ฮั๊ววู่เด๋าดูเหมือนจะไม่ยอมเลิกรา ตัวเขาได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ท่านปรมาจารย์…ถ้าหากเป็นแบบนี้ท่านก็คงจะสามารถใช้พลังผนึกตราประทับทั้งหกได้สินะครับ?”
“…” ลู่โตวถึงกับพูดไม่ออก แม้ว่าภายนอกของเขาจะยังดูนิ่งเงียบ แต่ภายในของเขากลับสาปแช่งฮั๊ววู่เด๋าอยู่ภายในใจ ‘ทำไมถึงยังต้องสงสัยไม่เลิกไม่ลาแบบนี้ด้วย? แล้วเมื่อไหร่การสาธิตพลังจะจบกันล่ะ?’
เล้งลั่วเคยเห็นลู่โจวใช้พลังฝ่ามือทั้งเก้ามากับตาตัวเองแล้ว ดังนั้นตัวเขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไรเมื่อเห็นการสาธิตพลังที่อยู่ตรงหน้า
พลังผนึกตราประทับทั้งหกถือว่าเป็นพลังที่ฮั๊ววู่เด๋าเป็นผู้คิดค้นก็ว่าได้! การจะใช้เคล็ดวิชานี้ออกมาได้ผู้ที่มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นจึงจะสามารถดึงขีดความสามารถที่แท้จริงออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นฮั๊ววู่เด๋าใช้เวลาฝึกฝนเคล็ดวิชานี้มากว่า 20 ปี ลู่โจวในตอนนี้มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ลำพังด้วยพลังที่มีการจะสาธิตพลังผนึกตราประทับทั้งหกคงจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป
ฝานลี่เทียนได้พูดต่อ “ท่านพูดถูกแล้วท่าปรมาจารย์ ได้โปรดสาธิตพลังเพื่อเปิดหูเปิดตาพวกเราด้วยเถอะ”
“ข้าเองก็เห็นด้วย” เล้งลั่วพูดเสริม
บทสนทนาของชายชราทั้งสี่ได้ดังไปถึงหัวของทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ พวกเขาที่ได้ยินแบบนั้นเริ่มขยับเข้ามาใกล้ตัวของลู่โจวมากยิ่งขึ้น ทุกๆ คนยังคงเงียบเพราะกลัวว่าจะพลาดการสาธิตจากตัวของลู่โจว การที่จะได้ยินบทสนทนารวมไปถึงการแสดงพลังของสุดยอดฝีมือไม่ใช่เรื่องที่จะหาเจอได้บ่อยๆ
ลู่โจวลูบเคราของตัวเอง ‘หรือว่าฉันควรจะใช้การ์ดป้องกันไร้ที่ติกัน? ไม่ ไม่ ไม่ จะใช้การ์ดวิเศษไปเพื่อการสาธิตเนี่ยนะ!’