เล้งลั่วได้พูดออกมาอย่างมั่นใจและตรงไปตรงมา “ตอนที่ข้าเป็นอัศวินดำข้าได้พบกับองค์จักรพรรดิมากว่าหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าองค์ชายองค์ที่สี่กับองค์ชายองค์ที่สองจะแตกคอกันแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังเป็นองค์ชายกันอยู่ คนเดียวที่จะสามารถจัดการองค์ชายได้ก็คือองค์จักรพรรดินั่นเอง”
ลู่โจวจ้องมองไปที่เล้งลั่ว เขาคนนี้พูดมีเหตุผล เล้งลั่วจะต้องคิดหาวิธีจัดการกับคนขององค์ชายสองอย่างม่อหลี่มาเนิ่นนานแล้ว บางทีการใช้องค์จักรพรรดิแทนก็คงจะไม่ใช่ความคิดที่แย่อะไร “เหล่าอัศวินดำพบกับองค์จักรพรรดิ เจ้าในตอนที่เป็นอัศวินดำมีโอกาสแบบนั้นด้วยสินะ เจ้าเคยพบองค์จักรพรรดิมาหลายครั้งแล้วอย่างงั้นหรอ?” ลู่โจวพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าแปลก
เล้งลั่วได้ตอบกลับมา “โดยปกติแล้วจะมีคนขององค์จักรพรรดิเป็นผู้ถ่ายทอดข้อความแทน”
คนที่เป็นถึงองค์จักรพรรดิมักจะไม่แสดงตัวตนให้ใครได้พบเห็นง่ายๆ อยู่แล้ว นอกจากนี้อัศวินดำเองยังเป็นทหารที่ทำงานในเงามืด องค์จักรพรรดิไม่มีเหตุผลเลยที่จะพบปะกับคนเหล่านี้
“ผู้ที่รับหน้าที่ถ่ายทอดข้อความมักจะเป็นผู้ที่มีพลังวรยุทธสุดลึกล้ำ องค์จักรพรรดิทรงไว้ใจพวกเขาเป็นอย่างมาก ในหลายปีที่ผ่านมานี้มีการลอบสังหารเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง มือสังหารทั้งหลายไม่เคยที่จะผ่านผู้ที่รับหน้าที่ถ่ายทอดข้อความไปได้เลย แน่นอนว่าการจะสังหารองค์จักรพรรดิได้จึงเป็นเรื่องที่เหมือนกับเป็นไปไม่ได้” เล้งลั่วที่พูดเสร็จได้ถอนหายใจออกมา
ลู่โจวพยักหน้า “พูดต่อซะสิ”
เล้งลั่วได้พูดต่อ “เนื่องจากจ้าวยู่เป็นทายาทขององค์หญิงหยุนจ้าว ดังนั้นนางก็คงจะต้องมีโอกาสได้พบหน้ากับองค์จักรพรรดิแน่ ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวยู่ยังคอยอยู่เคียงข้างพระอัครมเหสีและได้รับการสนับสนุนจากนางอีกด้วย ดังนั้นพวกเราควรจะถ่ายทอดข้อความให้นางก่อนที่พระอัครมเหสีจะเสด็จออกเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไป แต่ยังไงซะองค์จักรพรรดิก็ยังเป็นองค์จักรพรรดิ เขาไม่ใช่คนธรรมดาที่จะตกหลุมพรางอะไรง่ายๆ แน่ การจะรับมือเขาคงจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุดแล้ว”
“เจ้าพูดมีเหตุผล” ลู่โจวกำลังจะเรียกหาใครบางคน ในตอนนั้นเองโจวจี้เฟิงก็เป็นคนที่วิ่งเข้ามาในห้องโถงอย่างใจจดใจจ่อ
“ท่านปรมาจารย์ เจียงอาเฉียนได้ส่งจดหมายมาหาท่านเพื่อแจ้งข่าวให้รู้ว่าอัครมเหสีทรงเสด็จออกจากเมืองหลวงแล้ว”
“นี่แหละโอกาส” เล้งลั่วได้พูดขึ้น
“โอกาสอะไรกัน?” โจวจี้เฟิงไม่เข้าใจ
“ถ้าหากติดต่อกับองค์จักรพรรดิไม่ได้พวกเราก็ไม่เป็นไร ข้ายินดีที่จะแทรกซึมเข้าไปในค่ายของพวกอัศวินดำเพื่อทำงานนี้เอง” เล้งลั่วได้พูดออกมา ครั้งหนึ่งตัวเขาเคยเป็นผู้นำของเหล่าอัศวินดำมาก่อน ในตอนนี้เล้งลั่วได้ฟื้นคืนพลังวรยุทธส่วนใหญ่มาได้แล้ว การที่จะแทรกซึมเข้าไปโดยใช้สิ่งที่รู้มาคงจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับชายผู้มากประสบการณ์คนนี้แน่
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้าเห็นด้วย “การที่จะต้องแฝงตัวไปแบบนั้นด้วยตัวเองจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้าอย่างงั้นหรอ?”
เล้งลั่วผงะเล็กน้อย ตัวเขาคิดที่จะไปที่นั่นกับลู่โจว ถ้าหากไปที่นั่นพร้อมๆ กับลู่โจวก็คงจะปลอดภัยกว่าแน่ แต่ถึงแบบนั้นในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้เล้งลั่วไม่กล้าที่จะแสดงความตื่นกลัวออกมาให้ใครเห็น ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาก็มั่นใจว่าลู่โจวจะต้องมีแผนเป็นของตัวเองแล้วเช่นกัน นอกเหนือจากนี้ตัวเขายังไม่กล้าขอร้องอะไรลู่โจวให้มากเกินไป ตัวเขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณลู่โจวมากแล้วที่ช่วยเหลือตัวเขามาถึงเพียงนี้ ท้ายที่สุดหลังจากคิดได้แบบนั้นเล้งลั่วก็ได้ตอบกลับไป “ไม่เป็นไรแน่”
“ดี” ลู่โจวโบกมือของตัวเอง
เล้งลั่วได้คารวะให้ก่อนที่จะเดินออกจากห้องโถงใหญ่โดยที่ไม่พูดอะไรออกมาอีก
“เจ้าเองก็กลับไปทำธุระของเจ้าเถอะ” ลู่โจวพูดออกมาอีกครั้ง
“ถ้างั้นข้าน้อยข้าตัวก่อน” โจวจี้เฟิงออกจากห้องโถงใหญ่ไปเช่นกัน ในความคิดของโจวจี้เฟิงตัวเขารู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก ลู่โจวเป็นเหมือนกับผู้ฝึกยุทธที่เก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษ แม้ว่าจะเยือกเย็น สุขุม แต่พลังการต่อสู้ของเขาก็ไม่เคยน้อยหน้าใคร ลู่โจวไม่เคยดูประหม่ากับสิ่งใด ทันทีที่เขาออกจากห้องโถงใหญ่ไปต้วนมู่เฉิงก็ได้เดินเข้ามาด้วยร่างกายที่เปียกโชก
ต้วนมู่เฉิงถือหอกราชันย์เอาไว้ในมือก่อนที่จะพูดขึ้น “โจวจี้เฟิง”
“ท่านต้วนมู่เฉิง”
“พวกเราไปกันเถอะ ข้าในตอนนี้คิดค้นวิธีที่จะฝึกฝนหอกขั้นพื้นฐานได้แล้ว” ต้วนมู่เฉิงพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“ไม่ต้องกังวลไป ในอดีตที่ผ่านมาข้าก็แค่ประมาทเลินเล่อก็เท่านั้น ข้าต้องขอโทษสำหรับเรื่องที่ผ่านมา นี่ถือเป็นโอกาสอันดีที่เจ้าจะได้ฝึกฝนทักษะดาบเช่นกัน…” ต้วนมู่เฉิงได้ขอโทษโจวจี้เฟิงออกมาจากใจก่อนที่จะดึงเขาไปที่ด้านหลังภูเขาด้วยกัน
ลู่โจวกลับไปยังศาลาทางตะวันออกก่อนที่จะมองภาพวาดที่อยู่บนโต๊ะ
ภาพวาดอันเก่าแก่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่แสดงให้เห็นมีเพียงเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์และสุสานแห่งดาบ
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีเบาะแสเพิ่มเติมอะไรเกี่ยวกับชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เลยอย่างงั้นสินะ”
ลู่โจวได้โบกมือของตัวเอง ในตอนนั้นกล่องสมบัติก็ได้ปรากฏออกมา
ตัวเขาได้นั่งขัดตะหมาดก่อนที่จะใช้สมาธิจดจ่อไปกับกล่องสมบัติที่อยู่ตรงหน้า กล่องใบนี้มีเวลาจำกัดอยู่ที่เพียง 3 วันเท่านั้น
‘ฉันควรจะเปิดกล่องใบนี้ดีไหม? ถ้าเปิดไปบางทีอาจจะต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากเข้าก็เป็นได้’
ลู่โจวไม่มีความมั่นใจที่จะทำภารกิจที่ระบบมอบได้เสร็จสิ้นเลย ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า “คูลดาวน์” มันหมายความว่าอะไรกันแน่ เพราะแบบนั้นมันถึงเป็นความเสี่ยงสำหรับตัวเขาเอง
ในที่สุดตัวเขาก็หัวเราะออกมา “คิดจะดูถูกฉันด้วยการจำกัดเวลาเอาไว้สินะ หรือว่านี่จะเป็นการเพิ่มความยากที่ฉันจะต้องเจอกัน?” ลู่โจวยกมือขึ้นมาก่อนที่จะแตกไปที่กล่อง
แคล๊ก!
ทันใดนั้นเองข้อความแจ้งเตือนก็ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ลู่โจวในตอนนี้ไม่ลังเลอีกต่อไป ตัวเขาตัดสินใจที่จะเปิดกล่อง
“ติ้ง! ได้รับอวตารนวกายาหยินหยาง, คูลดาวน์พิเศษ x1, การ์ดพลังชีวิต x20, การ์ดประกันชีวิต x50”
“ติ้ง เปิดใช้คูลดาวน์พิเศษ การ์ดทั้งหมดจะติดอยู่ในสถานะคูลดาวน์เป็นเวลา 7 วัน เริ่มต้นนับถอยหลัง…”
ลู่โจวคาดหวังกับมันเอาไว้มาก ตัวเขารีบเปิดดูเมนูระบบในทันที ในตอนนี้เหลือเวลาอีก 6 วัน 23 กว่าชั่วโมง แม้ว่าการ์ดจะติดสถานะคูลดาวน์แต่สัตว์พาหนะของเขารวมไปถึงอาวุธก็ไม่ได้ติดคูลดาวน์ไปด้วย
“อย่างน้อยระบบนี่ก็ยังมีจิตสำนึกอยู่สินะ”
ลู่โจวพยายามใช้งานพลังอวตารใหม่ เมื่อแทนที่พลังอวตารนวกายาหยินหยางไป เส้นพลังลมปราณทั้งแปดของลู่โจวก็ถูกพลังลมปราณอันมหาศาลไหลผ่าน
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น
เมื่อลู่โจวลืมตาตื่นขึ้นมา ตัวเขาก็รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าพลังวรยุทธของเขาจะพัฒนาไปสู่อีกขั้นแล้ว ตัวเชาเชื่อว่าในอีกไม่นานนี้ลู่โจวจะต้องมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้แน่ เมื่อถึงตอนนั้นตัวเขาก็จะถูกเหล่ายอดฝีมือยอมรับในพลังที่มีอีกครั้ง
ลู่โจวตรวจสอบอายุขัยที่เหลืออยู่
อายุขัย: 6,582 วัน ถ้าหากตัวเขาไม่ได้ใช้การ์ดพลังชีวิตไปตัวเขาก็คงจะไม่เห็นตัวเลขพวกนี้ได้เลย ลู่โจวกำลังคิดที่จะใช้การ์ดพลังชีวิตเพื่อเพิ่มอายุขัยของตัวเอง ในตอนนั้นจู่ๆ ตัวเขาก็นึกขึ้นได้ว่าการ์ดทั้งหมดกำลังติดอยู่ในช่วงคูลดาวน์ ตัวเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ให้กับการใช้การ์ดไป
‘เจ็ดวันไม่นานขนาดนั้นหรอก ยังไงฉันก็รอได้’
ในตอนนั้นเองเสียงของโจวจี้เฟิงก็ได้ดังออกมาจากด้านนอก “ท่านปรมาจารย์ ผู้อาวุโสเล้งได้ออกไปแล้ว”
เมื่อลู่โจวออกมาจากศาลา ตัวเขาก็เห็นฝานซง, ฝานลี่เทียน และโจวจี้เฟิงกำลังยืนอยู่ด้วยกัน ตัวเขาได้ขมวดคิ้วก่อนที่จะถามออกมา “แล้วพวกเจ้ามีอะไรกัน?”
ฝานลี่เทียนเป็นคนตอบ “ข้าก็แค่กลัวรู้สึกผิดถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเล้งลั่ว ดังนั้นข้าก็เลยอยากจะเดินทางไปยังหรงเป่ยกับเขาด้วย”
“ข้าเองก็อยากไปเช่นกัน”
“ข้าด้วย” โจวจี้เฟิงพูดเสริม
ลู่โจวเอามือไขว้หลังก่อนที่จะพูดออกมา “ม่านพลังของภูเขาทองได้หายไปหมดแล้ว การที่จะมีผู้ประสงค์ร้ายแอบย่องเข้ามาก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไร ถ้าหากทุกคนไปกันหมด แล้วใครกันจะปกป้องภูเขาทองแห่งนี้?”
ทุกคนที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็ตกตะลึง พวกเขาไม่สามารถเถียงอะไรกลับได้เลย
“ดูแลภูเขาทองให้ดี นั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วที่พวกเจ้าจะทำได้ในตอนนี้”
“พวกข้าเข้าใจแล้ว” ทุกคนพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ลู่โจวไม่ได้มีความตั้งใจที่จะส่งคนที่มีออกไปมากจนเกินไป แม้ว่าจะไปกันมากขึ้น แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่มีความหมายอะไร ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งส่งคนออกไปมากเท่าไหร่มันก็เป็นการดึงดูดความสนใจมากขึ้นเท่านั้น และถ้าหากเกิดอันตรายขึ้นมาจริงๆ การจะปกป้องทุกคนให้พ้นภัยได้คงยากสำหรับลู่โจว ตัวเขาตัดสินใจที่จะปล่อยม่อหลี่ให้เล้งลั่วจัดการ ด้วยความสามารถที่เล้งลั่วมีการจะจัดการกับม่อหลี่ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ตัวเขาก็แค่รอหาโอกาสดีๆ ที่จะใช้การ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตจัดการกับนางในตอนจบก็เท่านั้น
สิ่งที่ลู่โจวจะต้องทำไม่ได้มากมายอะไร ตัวเขาก็แค่รอบเล้นไปให้มากที่สุดก่อนที่จะลงมือจากในเงามืดต่อหน้าผู้คนมากมาย ตัวเขาไม่ใช่จีเทียนเด๋าคนเดิม การใช้อารมณ์ความโกรธเกรี้ยวในการแก้ปัญหารวมไปถึงแสดงความแข็งแกร่งถือเป็นการโชว์ความเขลาซะมากกว่า หลังจากที่คิดได้แบบนั้นตัวเขาก็ได้เรียกหยวนเอ๋อ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้ออกจากภูเขาทองไปโดยใช้วิซซาร์ด
ในขณะเดียวกันที่ศาลาแห่งหนึ่งภายในหรงเป่ย
ศาลาแห่งนี้สูงพอที่จะชมทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมได้ ทันทีที่มองออกไปด้านนอกก็จะมองเห็นถนนทางเดินของหรงเป่ยได้ในทันที
“ท่านเจ้าสำนัก พระอัครมเหสีได้ออกมาจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์แล้ว เมื่อมาถึงนางคงจะพักอยู่ที่หมู่บ้านฤดูร้อน”
“ดีมาก” สีวู่หยาได้ตอบกลับมาอย่างสบายๆ ก่อนที่จะถามออกไปอีกครั้ง “เจียงอาเฉียนรู้ข้อมูลอะไรเราไหม?”
“เขาน่าจะมีแน่”
“น่าจะมีอย่างงั้นหรอ?” สีวู่หยาไม่ชอบฟังคำนั้นเลย สำหรับตัวเขาความไม่แน่ไม่นอนถือเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ ตัวเขาไม่เคยรู้สึกชอบความไม่แน่นอนนี้เลย
ยี่ฉีชิงได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “แม้ว่าคนของเราจะค้นพบแล้วว่าเจียงอาเฉียนเป็นผู้ให้ข้อมูลรายใหญ่กับศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่ถึงแบบนั้นเขาก็มีไหวพริบมาก พวกเราไม่สามารถติดตามเขาได้เลย”
ทันทีที่พูดจบก็มีใครคนหนึ่งพุ่งผ่านศาลาแห่งนั้นไป หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นมาในอากาศ “เจ้านี่พยายามตรวจสอบข้า? ฝีมือของพวกเจ้ายังห่างไกลที่จะทำแบบนั้นได้…”
“ตามไปซะ” สีวู่หยาลุกขึ้นก่อนที่จะจ้องมองไปนอกหน้าต่าง
“ครับ” ยี่ฉีชิงได้ไล่ล่าคนคนนั้นด้วยความเร็วดุจดั่งสายฟ้าก่อนที่จะหายไปในชั่วพริบตา
“มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง” สีวู่หยาได้หันกลับมา
เมื่อหันกลับมาตัวเขาก็พบร่างของใครคนหนึ่ง ชายคนนั้นได้ยืนเอามือไขว้หลังเอาไว้