ต้วนชิงดูเหมือนว่าจะรอคอยโอกาสนี้มานาน ตัวเขารีบตอบกลับในทันที “ท่านเรียกข้าอย่างงั้นสินะ ท่านผู้อาวุโส? ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ว่าจะให้ข้าบุกน้ำลุยไฟที่ไหนขอเพียงแค่ท่านสั่งออกมาเท่านั้น ข้าพร้อมที่จะไปเสมอ”
“พาเขาไปซะ”
แคล๊ง!
ลู่โจวได้โบกแขนเสื้อของตัวเอง ในตอนนั้นเองก็มีสายลมพัดผ่านเปิดประตู ตัวเขาได้เดินออกมาพร้อมกับเอามือไขว้หลังเอาไว้ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้ตะโกนออกมาอย่างนุ่มนวล “วิซซาร์ด”
วิซซาร์ดได้แหวกว่ายหมู่เมฆออกมาก่อนที่จะร่อนลงบนลานวิหาร
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ดวงอาทิตย์ ในตอนนี้ก็เป็นช่วงเที่ยงแล้ว ดูเหมือนจะได้เวลาแล้วนั่นเอง
ในเวลาเดียวกันต้วนชิงก็ได้ถามออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ทะ…ท่านผู้อาวุโส ข้าควรจะพาใครไปกันแน่?” ยู่ฉางตงได้เดินออกมาจากห้อง ถ้าหากดูจากท่าทางและใบหน้าด้วยแล้ว เห็นได้ชัดว่ายู่ฉางตงเพิ่งจะถูกลงโทษมาทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปที่ยู่ฉางตง
เป็นธรรมดาที่ต้วนชิงจะไม่กล้าเข้าใจยู่ฉางตง
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็ได้หันกลับมาถาม “เจ้ากลัวอย่างงั้นหรอ?”
ต้วนชิงตะลึง หลังจากนั้นตัวเขาก็พยายามกลับมากระตุ้นตัวเองอีกครั้ง “ข้าไม่ได้กลัว! ถ้าหากมีผู้อาวุโสอยู่ด้วยก็ไม่มีเหตุผลเลยที่ข้าจะต้องกลัว!”
“งั้นก็ดี”
ต้วนชิงได้เดินไปหายู่ฉางตง
ยู่ฉางตงเหลือบมองไปที่ต้วนชิงด้วยสายตาอันเย็นชาก่อนที่จะหันไปมองที่อื่น
ต้วนชิงที่เห็นแบบนั้นใกล้ที่จะร้องไห้เต็มที ไม่กลัวอย่างงั้นหรอ? จะเป็นไปได้กัน?
ลู่โจวได้ขึ้นขี่หลังวิซซาร์ด ตัวเขาได้อ้อยอิ่งอยู่เหนือวิหารเมฆาอีกชั่วครู่หนึ่ง ในตอนแรกลู่โจวต้องการที่จะรำลึกถึงเรื่องราวในอดีตต่อ แต่เมื่อมองไปที่วิหารของเหล่าแม่ชีที่ไม่เหลือใครอีกต่อไปตัวเขาก็ได้แต่เสียใจ น่าเสียดายที่ลู่โจวยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องทำ ตัวเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากเดินทางกลับ
เสียงระฆังได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง วิหารเมฆาอยู่ห่างจากหุบเขาสักแค่ไหนกัน?
ลู่โจวกำลังเตรียมที่จะจากวิหารเมฆาแห่งนี้ไป ในตอนนั้นเองแม่ชีเสวียงจิ้งก็ได้ปรากฏตัวออกมา นางได้เหยียดฝ่ามือไปด้านหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “อามิตตาพุทธ ท่านผู้อาวุโส โปรดดูแลตัวเองด้วย”
ลู่โจวถอนหายใจ ตัวเขามองเห็นร่องรอยของจิงหยานที่อยู่ในตัวของเสวียงจิ้งได้ ทั้งสองคนต่างก็เป็นคนที่ดื้อรั้น รักอิสระ และยังเป็นคนที่มุ่งมั่นอีกด้วย คงจะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สถานที่ที่สวยงามแห่งนี้จะถูกทิ้งให้รกร้างไป
สถานที่แห่งนี้แยกออกมาจากโลกภายนอก มันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ มันเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนจริงๆ ถ้าหากมีใครสักคนอยากที่จะตั้งสำนักแห่งใหม่ขึ้นมา สถานที่แห่งนี้คงจะเหมาะสมที่สุดที่จะเก็บตัวฝึกฝนตัวเอง ถ้าหากลู่โจวไม่มีอะไรที่จะต้องทำในอนาคตและต้องการที่จะพักผ่อน สถานที่แห่งนี้คงจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้นแน่
ลู่โจวที่คิดแบบนั้นได้ตอบกลับไป “ข้าได้ทิ้งภาพการฝึกยุทธของชาวพุทธเอาไว้ที่นี่ ข้าหวังว่าเจ้าจะฝึกฝนตัวเองให้ดีและไม่ล้มเลิกยอมแพ้กลางคันซะก่อน วิหารเมฆาแห่งนี้เป็นสถานที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
เมื่อเสวียงจิ้งได้ยินเช่นนั้น ดวงตาที่ดูสลัวของนางก็ดูเปล่งประกายขึ้นมา นางได้คุกเข่าลงก่อนที่จะพูดขึ้น “ขอบคุณผู้อาวุโสจริงๆ ข้าขอขอบคุณท่านในนามของท่านอาจารย์ด้วยเช่นกัน”
“ดูแลตัวเองด้วย” ลู่โจวที่ขี่หลังวิซซาร์ดอยู่ได้บินหายไปในหมู่เมฆ
ต้วนชิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้แบกยู่ฉางตงเอาไว้ด้วยพลังลมปราณ ก่อนที่จะบินตามลู่โจวไป “ขอให้เดินทางปลอดภัยท่านเจ้าสำนัก! พวกเราทุกคนจะรอท่านกลับมาที่วิหารปีศาจ!”
ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า
ใกล้จะถึงเวลาพลบค่ำแล้ว โจวจี้เฟิงและฝานซงก็ยังคงฝึกซ้อมซึ่งกันและกันอยู่ ทั้งสองคนได้จ้องมองไปยังท้องฟ้าและได้เห็นวิซซาร์ดท่ามกลางหมู่เมฆ
“ท่านปรมาจารย์กลับมาแล้ว!”
ฝานซงเห็นต้วนชิงพายู่ฉางตงกลับมากับตัวเขาด้วย ทั้งสองอยู่ด้านหลังของวิซซาร์ด
“สองคนนั้นเป็นใครกัน?”
ฝานซงและโจวจี้เฟิงมาจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์และสำนักดาบสวรรค์ ทั้งสองคนต่างก็เป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งสองคนเคยได้ยินแต่เรื่องราวของยู่ฉางตงมาเท่านั้น เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่เคยเห็นหน้าของศิษย์คนนี้
ฝานซงและโจวจี้เฟิงไม่ใช่แค่สองคนที่ไม่เคยเห็นหน้ายู่ฉางตง แม้แต่ผู้ที่มีชื่อเสียงเองก็ยังไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นหน้าของเขาคนนี้
ฝานซงคาดเดาเอาขึ้นมา “ดูเหมือนว่าจะมีผู้มาเยือนคนใหม่อีกแล้วสินะ”
“อืม…เจ้าคงจะพูดถูกแล้วล่ะ” ทั้งสองคนเรียนรู้จากความผิดพลาดที่มีจากในอดีตมาแล้ว ไม่ว่าผู้ที่มาเยือนจะเป็นใครพวกเขาก็ควรที่จะแสดงท่าทีเคารพและถ่อมตัวต่อคนคนนั้น ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็แล้วแต่การที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้ซะก่อนก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่เสียหายอะไร ยังไงซะที่อย่างศาลาปีศาจลอยฟ้าคงจะไม่ใช่ที่ที่คนทั่วไปจะถูกพาตัวมานา
หลังจากนั้นวิซซาร์ดก็ได้ร่อนลงมาอย่างช้าๆ
“ท่านปรมาจารย์!”
“ท่านปรมาจารย์!”
ลู่โจวได้กระโดดลงจากหลังของวิซซาร์ดก่อนที่จะพูดขึ้น “ขังเจ้านั่นไว้ที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อนซะ!”
ฝานซงและโจวจี้เฟิงที่ได้ยินแบบนั้นตกตะลึง ‘เขาไม่ใช่ผู้มาเยือนอย่างงั้นหรอ?’ จู่ๆ ฝานซงก็นึกถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นได้ ตัวเขายังจำซู่ฮ่องกงที่เพิ่งจะมาถึงได้ เขาคนนั้นก็ถูกทำแบบเดียวกันทันทีที่กลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ ในตอนนั้นหัวใจของเขาเต้นรั่ว ชายคนนี้จะต้องเป็นศิษย์อีกคนหนึ่งของปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นสินะ? ‘เขาเป็นศิษย์คนแรกหรือศิษย์คนที่สองอย่างงั้นหรอ?’ ไม่ว่าจะยังไงดูเหมือนว่าชายคนนี้จะเป็นคนที่พวกเขาไม่อาจจะมองข้ามได้เลย
ฝานซงรีบสะกิดโจวจี้เฟิงด้วยศอก เป็นธรรมดาที่ฝานซงจะไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว ตัวเขาได้แต่หวังว่าโจวจี้เฟิงจะไม่ทำอะไรให้ชายผู้มาเยือนคนนี้ต้องขุ่นเคืองใจ
ทั้งคู่ดูเหมือนจะตกลงกันผ่านสายตาได้ ในตอนนั้นทั้งสองคนก็ได้พูดตอบรับออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ครับ ท่านปรมาจารย์!”
ฝานซงและโจวจี้เฟิงได้เดินไปหายู่ฉางตงและต้วนชิงก่อนที่จะพูดออกมา “ได้โปรด เชิญทางนี้”
ทั้งสองคนพยายามแสดงความเคารพที่มีออกมาให้มากที่สุด พวกเขาต้องทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรที่จะทำให้ชายคนนี้ขุ่นเคืองใจได้ แม้แต่น้ำเสียงรวมไปถึงท่าทางต่างก็เต็มไปด้วยความเคารพ พวกเขารู้สึกพอใจมากที่ได้ปฏิบัติตัวเป็นอย่างดี
ลู่โจวหันไปมองฝานซงและโจวจี้เฟิงอย่างสงสัย ตัวเขาได้พูดออกมาอย่างเฉยเมย “พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”
“หะ?” ต้วนชิงรีบโบกมือปฏิเสธก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเร่งรีบ “ข้าเป็นแขกน่ะ ข้าไม่…” ตัวเขาชี้ไปยังยู่ฉางตง ยู่ฉางตงที่เห็นท่าทางของทุกคนแบบนั้นได้ยิ้มออกมาจางๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าทั้งสองต้องลำบาก ข้าเดินไปเองได้” ยู่ฉางตงได้พูดออกมาอย่างถ่อมตนก่อนที่จะเดินไปยังด้านหลังหุบเขาด้วยตัวเอง
ที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อนมีม่านพลังกั้นอยู่ที่ทางเข้า มันเป็นม่านพลังที่สามารถเดินเข้าไปได้แต่จะไม่สามารถเดินออกได้
ยู่ฉางตงในตอนนี้สูญเสียพลังวรยุทธไปแล้ว เมื่อตัวเขาเดินผ่านเข้าไปยังม่านพลังก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวเขาจะเดินกลับออกมาได้อีก
โจวจี้เฟิงรีบเดินเดินตามยู่ฉางตงไปที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อน
ในขณะเดียวกันลู่โจวก็เหลือบมองไปที่ฝานซงก่อนที่จะถามออกมา “เจ้าสี่ไม่ได้อยู่ที่นี่อย่างงั้นหรอ?”
“ท่านหมิงซี่หยินกับท่านหยวนเอ๋อยังไม่ได้กลับมาเลยท่านปรมาจารย์ แต่ท่านหมิงซี่หยินได้ส่งจดหมายมาบอกแล้ว พวกเขาจะเดินกลับมาในวันพรุ่งนี้ครับ” ฝานซงตอบกลับ
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้า หลังจากนั้นตัวเขาก็เดินกลับไปยังห้องโถงใหญ่
ต้วนชิงในตอนนี้ยืนอ้างว้าง
ฝานซงมองไปที่ต้วนชิงก่อนที่จะถามมา “ให้ข้าเรียกท่านว่าอะไรดี?”
“ต้วนชิงแห่งวิหารปีศาจ” ต้วนชิงได้ทำคารวะเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ
“แล้วชายผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนคนนั้นคือใครกัน?” ฝานซงได้ถามออกมาตรงๆ
“เขาก็คือศิษย์คนที่สอง ยู่ฉางตง” ต้วนชิงตอบกลับ
ฝานซงที่ได้ยินแบบนั้นสูดหายใจเข้าให้เต็มปอด ตัวเขาเกือบที่จะต้องตายแล้ว ‘เกือบไปแล้ว ดีนะข้าคิดได้ซะก่อน!’
โจวจี้เฟิงได้เดินตามยู่ฉางตงไปที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อน ตัวเขาได้เอ่ยปากพูดขึ้น “ทางนี้ เชิญทางนี้…”
ยู่ฉางตงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ตัวเขาหันไปมองโจวจี้เฟิงก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าไม่ได้อยากที่จะวางก้ามหรอกนะ…แต่ดูเหมือนว่ามาตรฐานที่ท่านอาจารย์มีจะลดลงไปมาก”
ดูเหมือนว่ารอบตัวของลู่โจวผู้ที่เป็นอาจารย์จะเต็มไปด้วยผู้ที่ชอบเยินยอ ในตอนนี้ดูเหมือนว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะไม่ใช่สถานที่แบบเดิมที่ตัวเขาได้จากมา
โจวจี้เฟิงได้พยักหน้าให้ก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านพูดถูกแล้วล่ะ!”
ไม่นานหลังจากนั้นโจวจี้เฟิงที่เดินทางมาถึงถ้ำแห่งเงาสะท้อนก็ได้ทักทายผู้ที่อยู่ด้านใน “ท่านซู่ฮ่องกง”
“พูดสิ่งที่เจ้าต้องการออกมาให้เร็วที่สุดซะ! ข้ากำลังฝึกฝนตัวเองอยู่ ถ้าหากไม่มีเรื่องด่วนก็อย่าได้คิดจะรบกวนข้าซะล่ะ!” เสียงของซู่ฮ่องกงได้ดังออกมาจากถ้ำ
“ท่านปรมาจารย์ได้สั่งให้ข้าพาคนคนหนึ่งเข้าไปในถ้ำแห่งเงาสะท้อน ข้าหวังว่าท่านซู่ฮ่องกงจะไม่รังเกียจเขาคนนี้”
เสียงของโจวจี้เฟิงยังไม่ทันที่จะจางหายไป ในตอนนั้นซู่ฮ่องกงก็ได้ตอบกลับมาอย่างรำคาญซะก่อน “ไสหัวไปซะ บอกให้เจ้านั่นนอนข้างนอกไป! นอกจากนี้…บอกให้เจ้านั้นเตรียมน้ำมาล้างเท้าให้กับข้าในทุกๆ วันด้วยล่ะ!”
โจวจี้เฟิงถึงกับพูดไม่ออก หัวใจของเขาเต้นรั่วราวกับจะทะลุออกมาจากอก แม้ว่าตัวเขาจะไม่รู้ว่าชายคนนี้แท้จริงแล้วเป็นใคร มีพลังวรยุทธมากน้อยขนาดไหน แต่ถึงแบบนั้นโจวจี้เฟิงก็รู้ดีว่าเขาไม่ใช่ผู้ที่จะทำให้ขุ่นเคืองใจได้แน่ แต่ถึงแบบนั้นคนที่อยู่ในถ้ำเองตัวเขาก็ไม่อาจที่จะทำให้ขุ่นเคืองใจได้เช่นกัน ‘แล้วข้าจะทำยังไงดี?’
โจวจี้เฟิงกำลังที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา ในตอนนั้นเองยู่ฉางตงก็ได้โบกมือปฏิเสธไปซะก่อน ตัวเขาได้แสดงท่าทีว่าไม่รังเกียจอะไรนั่นเอง
“ทางนี้”