ยี่ฉีชิงตกใจ
สีวู่หยาเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีความมั่นใจสักแค่ไหนแต่สีวู่หยาก็เป็นคนที่เชื่อในหลักฐานก่อนอยู่ดี แต่เมื่อเกี่ยวกับเจียงอาเฉียน เรื่องนี้มันแตกต่างจากเรื่องอื่น แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีหลักฐานอะไรเป็นรูปธรรม แต่ถึงแบบนั้นสีวู่หยาก็มั่นใจมากว่าเจียงอาเฉียนเป็นองค์ชายองค์ที่สาม
“ในตอนนี้ที่พระราชสำนักยังคงมีช่วงเวลที่ระหอกระแหงกันอยู่ องค์ชายองค์ที่สองเป็นคนที่จุดประกายไฟทำให้พระราชวังจิงเหอลุกเป็นไฟขึ้นมา ตัวเขาต้องการที่จะกำจัดทุกคนที่คิดต่อต้าน หลายชีวิตถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่ถึงแบบนั้นกลับไม่มีใครเคยเจอศพของหลิวเฉินเลย ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงแสดงว่าเขาคงจะหนีไปได้แล้ว” สีวู่หยาได้พูดออกมาก่อนที่จะเอามือไขว้ไปที่หลัง
“บางทีองค์ชายองค์นั้นอาจจะถูกเผากลายเป็นเผาถ่านไปแล้วก็ได้นิครับ?” ยี่ฉีชิงสงสัย สีวู่หยายังคงนิ่งเงียบ ไม่มีทางเลยที่จะเป็นแบบนั้นไปได้
หลิวเฉินจากพระราชวังจิงเหอเป็นผู้ฝึกยุทธ ถ้าหากไม่มีเบื้องหลังที่ทรงพลังมากพอ เป็นไปไม่ได้เลยที่หลิวเฉินจะถูกสังหารไป
“ตรวจสอบต่อไปซะ” ยี่ฉีชิงโค้งคำนับให้ก่อนจะพูดต่อ “ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์คนที่ห้าของศาลาปีศาจลอยฟ้าในตอนนี้ยังคงอยู่ดูแลอัครมเหสีอยู่ภายในพระราชวัง นางยังไม่ได้กลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า ข้ากังวลว่าม่อหลี่จะทำอะไรนางที่อยู่ในพระราชวังได้”
“คิดหาวิธีเกลี้ยกล่อมให้นางกลับไปซะ”
“แต่…”
“อย่าได้สงสัยในคำสั่งข้า” สีวู่หยาขมวดคิ้ว เมื่อขาดข้อมูลที่มากพอการที่จะตัดสินใจอย่างถูกต้องได้คงไม่ใช่เรื่องง่าย
ยี่ฉีชิงได้โค้งคำนับก่อนจะพูดต่อ “องค์ชายองค์ที่สี่หลิวปิงได้กลับไปที่พระราชสำนักแล้ว องค์ชายองค์ที่สองได้เชิญชวนเขาไปล่าสัตว์ที่หรงเป่ยเพื่อเป็นการต้อนรับ ข้ากังวลว่าอัครมเหสีและศิษย์คนที่ห้าจะมุ่งหน้าไปยังหรงเป่ยเช่นเดียวกัน องค์จักรพรรดิคงจะอนุญาตให้นางออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์แน่”
“หรงเป่ยนับว่าเป็นสถานที่อันดี” สีวู่หยาได้หันไปมองทิศทางที่หรงเป่ยตั้งอยู่ ตัวเขาจ้องมองไปยังดวงอาทิตย์และขอบฟ้าก่อนจะพูดต่อไป “องค์ชายองค์ที่สองเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ความปรารถนาของเขาก็คือการปกครองหลิวปิงผู้ที่สามารถควบคุมกองกำลังทหารได้ สำหรับเขาแล้วหลิวปิงก็คือผู้สนับสนุนอันแสนสำคัญ เป็นธรรมดาที่องค์ชายองค์ที่สองจะต้องปกป้ององค์ชายหลิวปิง”
ยี่ฉีชิงยังคงนยิ่งเงียบ สีวู่หยาได้พูดต่อไป “ศิษย์คนที่ห้าถือว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของราชวงศ์…”
“นั่นแหละเป็นสิ่งที่ข้ากังวลท่านเจ้าสำนัก”
“การล่าจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่กัน?”
“เมื่อฤดูใบไม้ร่วงได้เปลี่ยนกลายเป็นฤดูหนาว กว่าจะถึงตอนนั้นก็คงจะราวๆ สามเดือนต่อจากนี้”
องค์ชายองค์ที่สี่, องค์ชายองค์ที่สาม, องค์ชายองค์ที่สอง…และองค์หญิงจะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อถึงตอนนั้นทุกคนจะได้รับการพิจารณา
เมื่อเอ่ยถึงฤดูไม้ใบ้ร่วงและฤดูหนาว สีวู่หยาก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ในบรรดาผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่ฝึกฝนตัวเองมาจนถึงขั้นมหาราชครูหรือเหนือกว่านั้นได้ คนเหล่านั้นก็จะไม่ได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรของฤดูกาล แต่ในตอนนี้ตัวเขาได้สูญเสียพลังวรยุทธที่เคยมีทั้งหมดไปแล้ว เมื่อช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ตอนนั้นอุณหภูมิจะต้องลดลงเป็นอย่างมากแน่ สีวู่หยาได้ถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา “ถ้าหากเจียงอาเฉียนเป็นองค์ชายสามจริงๆ เขาจะต้องเป็นคนที่คอยดูแลศิษย์พี่ห้าแน่ แต่เพื่อความปลอดภัยแล้วให้สำนักแห่งความมืดเตรียมการช่วยเหลือเอาไว้ซะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ยี่ฉีชิงได้คารวะให้ก่อนที่จะถอยกลับไปอย่างเคารพ
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธชุดเท่าอีกคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ตัวเขาได้คุกเข่าลงก่อนจะพูดออกมา “ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์คนที่หกของศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ที่นี่แล้ว…”
สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นดูเหมือนจะดีใจ ตัวเขาได้เดินออกมาจากกระท่อมอันสันโดษก่อนที่จะออกมายังด้านนอก ตัวเขาได้ทอดสายตามองไปยังทางเข้า บางทีอาจจะเป็นเพราะกระท่อมหลังนี้ตั้งอยู่ในส่วนลึกของภูเขาลูกหนึ่ง เพราะแบบนั้นมันจึงเต็มไปด้วยชั้นหมอกที่บดบังวิสัยทัศน์ของตัวเขาไป
ชุดสีขาว, ผมสีขาว, รองเท้าสีขาว, เสื้อคลุมสีขาว สตรีที่อยู่ตรงหน้ายังถือร่มสีขาวเอาไว้ในมือ นิ้วของนางเรียวบางราวกับอัญมณีที่แสนสวยงาม หญิงสาวคนนี้กำลังเดินตรงมา นางไม่ได้ก้าวช้าหรือเร็วจนเกินไป ดูเหมือนว่านางกำลังเดินเล่นอย่างสบายๆ ในภูเขาแห่งม่านหมอก ทั้งน้ำค้างหรือแม้แต่หิมะก็ยังดูสกปรกไม่อาจที่จะทำให้หญิงสาวนางนี้แปดเปื้อนได้ คนคนนี้ก็คือศิษย์พี่ของสีวู่หยา ศิษย์คนที่หกยี่เทียนซินนั่นเอง “สีวู่หยาขอทักทายศิษย์พี่หก” สีวู่หยารีบคารวะเพื่อเป็นการทักทาย
ยี่เทียนซินมองไปที่สีวู่หยา นางได้จ้องมองไปที่สภาพของเขาชั่วครู่ก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์น้องเจ็ด เกิดอะไรขึ้นกับพลังวรยุทธของเจ้ากัน?
ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ยี่เทียนซินกำลังมองหาวิธีที่จะเยียวยารักษาบาดแผลของตน อีกทั้งนางยังหาวิธีที่จะฟื้นฟูพลังวรยุทธของตนอีกด้วย นางแอบจับตาดูศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างลับๆ และเพราะแบบนั้นนางจึงไม่มีเวลาที่จะใส่ใจสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้
สีวู่หยาได้ยิ้มก่อนจะตอบกลับมาอย่างช่วยไม่ได้ “นี่คือผลงานพลังผนึกมนตราของท่านอาจารย์พวกเราเอง”
“หืม?” ยี่เทียนซินขมวดคิ้วเล็กน้อย
“มันเป็นความเข้าใจผิดกันน่ะศิษย์พี่ ศิษย์พี่ใหญ่และข้าต้องการที่จะทำลายสำนักแห่งความบริสุทธิ์ พวกเราไม่คิดเลยว่าท่านอาจารย์จะเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ได้ ข้าที่เห็นแบบนั้นจึงอาสาทำหน้าที่เป็นนกต่อหลอกล่อท่านอาจารย์เพื่อถ่วงเวลา แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังไร้ความสามารถ…ถูกพลังผนึกมนตราของท่านอาจารย์เล่นงานเข้า”
ใบหน้าของยี่เทียนซินยังคงดูไร้ความรู้สึก นางได้มองไปยังสีวู่หยาชายผู้ที่มีหน้าตาหล่อเหลาและยังมีมันสมองที่ชาญฉลาดก่อนจะพูดขึ้น “การจะคลายพลังผนึกมนตราได้ไม่น่าใช่เรื่องยากเกินความสามารถของเจ้านิ”
“มีบางอย่างที่ท่านไม่รู้ศิษย์พี่หก…ท่านอาจารย์ได้ดูดซับพลังจากม่านพลังไป วิธีการที่เขาใช้เป็นวิธีการล้ำลึกมาก แม้แต่สำนักเซียนสวรรค์ผู้ฝึกฝนตนตามลัทธิเต๋าเองก็ยังไม่อาจคลายพลังนี้ได้” สีวู่หยาที่พูดเสร็จได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ยี่เทียนซินตกตะลึงเล็กน้อย นางจำได้ดีว่าได้เผชิญหน้ากับผู้เป็นอาจารย์ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเพราะการใช้ยาเดินพลังลมปราณหรือใช้พลังจากม่านพลังก็แล้วแต่ แต่ถึงแบบนั้นน่างก็เคยเห็นดอกบัวกลีบที่เก้าอยู่ที่ร่างอวตารของลู่โจวเป็นการส่วนตัวมา ‘หรือว่านั่นอาจจะเป็นแค่จินตนาการของข้ากัน?’
เมื่อสีวู่หยาเห็นผู้เป็นศิษย์พี่กำลังใช้ความคิด ตัวเขาก็ได้เรียกชื่อนางออกมา “ศิษย์พี่หก?”
“ข้าไม่เป็นไร”
“ตั้งแต่ที่ท่านออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามา ท่านได้ฟื้นฟูพลังวรยุทธทั้งหมดที่มีแล้วรึยัง?”
“ข้าเกือบจะฟื้นฟูพลังทั้งหมดมาได้แล้ว…” ยี่เทียนซินตอบกลับอย่างไม่แยแส
“ตอนนี้ศิษย์พี่มีแผนที่จะทำอะไรกันแน่?” สีวู่หยาได้ถามต่อ แม้ว่าเขาจะถามแบบนั้น แต่ถึงแบบนั้นสีวู่หยาก็ไม่ได้สนใจคำตอบของผู้เป็นศิษย์พี่อยู่ก่อนแล้ว ตัวเขาอยากที่จะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างยี่เทียนซินกับศาลาปีศาจลอยฟ้าซะมากกว่า โดยเฉพาะความสัมพันธ์หลังจากที่เกิดเรื่องกับหนูขโมยทั้งห้าไป
ยี่เทียนซินได้ตอบกลับมา “ข้ากำลังตามหาอะไรบางอย่างที่อาจไม่มีอยู่จริง…”
สีว่าหยาที่ได้ฟังแบบนั้นได้ยิ้มก่อนจะถามต่อ “ศิษย์พี่กำลังมองหาอะไรอยู่กันแน่ บางทีข้าอาจจะช่วยท่านได้ก็ได้นะ”
“เจ้าน่ะหรอ?”
“ถูกต้องแล้ว สำนักแห่งความมืดของข้ามีแหล่งข่าวอยู่ทั่วยุทธภพ ไม่มีข่าวไหนที่ข้าไม่ล่วงรู้หรอกศิษย์พี่” สีวู่หยาได้ตอบกลับมาอย่างมั่นใจ
ยี่เทียนซินได้จ้องมองสีวู่หยาอีกครั้ง นางไม่เคยติดต่อใกล้ชิดกับศิษย์น้องคนนี้มากว่าหลายปีแล้วนับตั้งแต่ที่ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามา นางเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับแหล่งข่าวของสำนักแห่งความมืดมาบ้างก็จริง ในที่สุดนางก็ได้พูดออกมาอีกครั้ง “สิ่งที่ข้าตามหาอยู่เรียกว่าเฉิงกวาง”
“เฉิงกวางอย่างงั้นหรอ?” สีวู่หยาขมวดคิ้ว
ยี่เทียนซินส่ายหัวก่อนที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “ลืมมันไปซะเถอะ ข้าจะตามหามันต่อไปด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นเลยที่เจ้าจะหาปัญหาใส่ตัวแบบนี้”
“ศิษย์พี่…” เมื่อสีวู่หยาเห็นว่ายี่เทียนซินกำลังจะเดินจากไป ตัวเขาก็รีบไปขวางทางเดินของนางเอาไว้ “มันไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวอะไรทั้งนั้น…”
“หืม?”
“เผ่าพันธุ์ที่ดูคล้ายกับมนุษย์แต่กลับมีผิวหนังที่แตกต่างกันออกไป ผิวหนังของพวกเขารวมไปถึงผมที่มีล้วนแต่มีสีขาว พวกเขาอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์ เฉินกวางมีรูปร่างคล้ายกับสุนัขจิ้งจอกที่มีเขาอยู่ที่ด้านหลัง ผู้ที่สามารถขึ้นขี่มันได้ว่ากันว่าจะมีอายุขัยอยู่ได้ถึง 2,000 ปี” สีวู่หยาได้พูดออกมาราวกับว่าตัวเขากำลังท่องบทความที่จำได้
ยี่เทียนซินที่ได้ยินแบบนั้นได้หันมาจ้องมองสีวู่หยาอีกครั้ง “เจ้ารู้จักเฉินกวางอย่างงั้นสินะ?”
“หลังจากการตายของเหวยซู่หยาน ข้าก็ได้ส่งคนของข้าให้ไปตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นที่แม่น้ำสวรรค์ ในระหว่างการตรวจสอบข้าก็ได้พบข้อมูลกับเฉิงกวางเข้า” สีวู่หยาได้ตอบกลับมาก่อนที่จะถอนหายใจ “นอกจากนั้นข้าก็ยังไม่พบอะไรอีกเลย” สิ่งที่สีวู่หยาพูดเป็นการเปรียบเปรย ถ้าหากสำนักแห่งความมืดที่มีกำลังล้นเหลือยังหาไม่พบ คนเพียงแค่คนเดียวอย่างยี่เทียนซินจะไปหาเฉินกวางเจอได้ยังไงกัน?
“ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าเชื่อว่ามันมีอยู่จริงไหม?”
“อืม…”
สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ฝึกยุทธนั่นก็คืออายุขัยที่มีขีดจำกัดนั่นเอง ไม่มีใครสามารถก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดทางอายุขัยมาได้
‘เพียงแค่ขี่มันก็จะมีอายุยืนยาวได้ถึง 2,000 ปี นั่นไม่เท่ากับว่าการเอาชนะอายุขัยที่มีอยู่อย่างจำกัดแค่ 1,000 ปีได้หรอกหรอ? มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน?’ สีวู่หยาได้เลือกที่จะถามออกมาแทน “ท่านเชื่อว่ามันมีอยู่จริงอย่างงั้นหรอศิษย์พี่?”
“ข้าเชื่อ” ยี่เทียนซินยืนยันอย่างหนักแน่น
เมื่อได้ยินแบบนั้นสีวู่หยาก็ได้ประหลาดใจเล็กน้อย ตัวเขาไม่รู้ว่ายี่เทียนซินไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนกันแน่ แต่ถึงแบบนั้นทั้งน้ำเสียงรวมไปถึงสายตาที่นางมีต่างก็แน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง บางทีนางอาจจะเชื่อเรื่องนี้มากกว่าทุกๆ คน มากกว่าใครในโลกนี้