“ติ้ง! จับศิษย์ทรยศยู่ฉางตง ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,000”
ในตอนนี้ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ลู่โจวจะต้องเร่งรีบอะไรอีก
ภายใต้พลังของผนึกมนตรา ยู่ฉางตงในตอนนื้ไม่เหลือพลังวรยุทธอยู่ในตัวอีกต่อไป ถ้าหากไม่มีพลังลมปราณแล้วยู่ฉางตงจะหนีไปไหนได้อีก?
ยังไงซะอูฐที่ผอมโซก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าอยู่ดี ลู่โจวเข้าใจดีว่าทำไมต้วนชิงและคนอื่นๆ ถึงรักษาระยะห่างเอาไว้ ท้ายที่สุดแล้วคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือผู้ที่เป็นถึงดาบปีศาจ การที่จะไปยั่วยุหรือท้าทายยอดฝีมือโดยไม่จำเป็นถือว่าเป็นอะไรที่ไม่ชาญฉลาดเอาซะเลย เมื่อเทียบดาบปีศาจกับวิหารปีศาจของต้วนชิงแล้ว วิหารปีศาจของตัวเขาก็ไม่ต่างอะไรกับปลาเล็กปลาน้อยเลย
ต้วนชิงได้กลืนน่ำลายก่อนที่จะคารวะพร้อมกับพูดออกมา “สวัสดี ท่านดาบปีศาจ” คนอื่นๆ ต่างก็โค้งคำนับให้ไม่กล้าขยับไปไหน
หลังจากที่ยู่ฉางตงล้มลงไปกับพื้น ตัวเขาก็มองเห็นผู้คนจากวิหารปีศาจ ตัวเขารู้สึกประหลาดใจกับพลังที่ไม่ชอบมาพากลของพลังผนึกมนตรา ยู่ฉางตงลุกขึ้นก่อนที่จะคว้าดาบยืนยาวของตัวเขา ยู่ฉางตงได้แทงมันลงไปกับพื้นก่อนที่จะยืนหยัดขึ้นมาอีกครั้ง การแสดงออกของยู่ฉางตงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป
ยู่ฉางตงไม่ได้มองไปที่ต้วนชิงและเหล่าลูกน้องของเขาอีกต่อไป ตัวเขารู้ดีว่าการจะพูดคุยกับคนเหล่านี้คงจะไม่มีประโยชน์อะไร ยู่ฉางตงหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะหันกลับไปมองผู้ที่เป็นอาจารย์ที่กำลังเดินมาหา ชายชราคนนี้เป็นเพียงคนเพียงคนเดียวที่จะทำให้ยู่ฉางตงกลับมารู้สึกไร้พลังเมื่ออยู่ต่อหน้าได้
ลู่โจวได้หยุดเดินโดยที่อยู่ห่างจากยู่ฉางตงเพียงไม่กี่เมตร
ในป่าเมฆากระจ่างยังคงเงียบสนิท
ลู่โจวมองไปที่ยู่ฉางตงอย่างเงียบๆ และเยือกเย็น
ก่อง! ก่อง! ก่อง!
ระฆังของวิหารเมฆาได้ดังขึ้นก่อนที่จะทำลายความเงียบสงบไป ลู่โจวรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินแบบนั้น ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมาตัวเขาคุ้นชินกับเสียงระฆังของวิหารแล้ว แต่มันเป็นเสียงระฆังที่จะดังขึ้นมาในช่วงรุ่งสางและช่วงพลบค่ำเท่านั้น นอกจากนี้สถานที่ที่ลู่โจวกำลังยืนอยู่ก็อยู่ห่างออกจากวิหารเมฆาจนเกินไป…แล้วเสียงระฆังมันดังมาจากไหนกัน? ในที่สุดลู่โจวก็เอ่ยปากออกมา “สีวู่หยาอยู่ไหนกัน?”
ยู่ฉางตงส่ายหัว “เขาจากไปแล้ว”
ลู่โจวเห็นได้ถึงความไม่เต็มใจที่อยู่ในดวงตาของยู่ฉางตง “ข้าเป็นผู้มอบพลังวรยุทธทั้งหมดให้กับเจ้า…และนี่คือสิ่งที่เจ้าตอบแทนให้กับข้าอย่างงั้นสินะ?”
ยู่ฉางตงรู้สึกงุนงง ตัวเขากำลังสงสัยอยู่ว่าผู้เป็นอาจารย์กำลังหมายถึงอะไรกันแน่ แต่ไม่ว่าจะยังไงยู่ฉางตงก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป
ยังไงซะผู้ชนะก็คือผู้คุมชะตากรรม สิ่งที่ผู้แพ้ทำได้ก็มีแต่จะต้องยอมรับความพ่ายแพ้ต่อไป นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจเลี่ยงได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
“พาเขาไปซะ” ลู่โจวที่พูดเสร็จได้สะบัดแขนเสื้อ
“ครับ!” ต้วนชิงตอบรับในทันที
ยู่ฉางตงมองไปที่ต้วนชิงและเหล่าสาวก ตัวเขาได้สะบัดแขนเสื้อของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าเดินเองได้”
ต้วนชิงและคนอื่นๆ รีบถอยห่างในทันที พวกเขาก้มหน้าลงและไม่กล้าที่จะแตะตัวของยู่ฉางตงอีกต่อไป
ต้วนชิงรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ แม้ว่ายู่ฉางตงจะเป็นเหมือนกับนักโทษไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังไม่อาจทำอะไรกับนักโทษคนนี้ได้ แต่ถึงแบบนั้นต้วนชิงก็รู้สึกโชคดี การที่จะได้เห็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานอย่างยู่ฉางตงถูกผู้เป็นอาจารย์ของตัวเองจับตัวกลับไปได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่หาได้ง่ายๆ เลย ในเวลาเดียวกันตัวเขาก็ระลึกถึงการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ระหว่างศิษย์คนแรกและศิษย์คนที่สองของศาลาปีศาจลอยฟ้า การต่อสู้ที่เพิ่งจะผ่านมาทั้งน่าอัศจรรย์และยังน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก ต้วนชิงที่ได้เห็นจะไม่มีวันลืมการต่อสู้นี้แน่
ยู่ฉางตงได้ถือดาบยืนยาวของตัวเองด้วยมือข้างเดียวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลู่โจวกวาดตามองคนอื่นๆ ก่อนที่จะสั่งการออกมา “กลับไปที่วิหารเมฆาก่อน”
ยู่ฉางตงที่ได้ฟังแบบนั้นพูดไม่ออก นี่ก็หมายความว่าผู้เป็นอาจารย์ของเขาคนนี้รอคอยอยู่ที่วิหารเมฆามาโดยตลอดอย่างงั้นหรอ? ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงทำไมอาจารย์คนนี้ถึงจะต้องซ่อนตัวเพื่อรอเข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการต่อสู้กัน? น่าเสียดายที่คำถามเหล่านี้ต่างก็ไร้ความหมายไปซะแล้ว ตัวเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากติดตามลู่โจวกลับไปที่วิหารเมฆา
หลังจากที่คนอื่นๆ ออกไปจากพื้นที่การต่อสู้ ในส่วนลึกของป่าเมฆากระจ่าง สีวู่หยาก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ถ้าหากตัวเขาไม่ได้สังเกตเห็นลู่โจวเร็วกว่านี้ ตัวเขาก็คงจะถูกจับไปแล้วเช่นกัน สีวู่หยาพยายามสงบสติอารมณ์ลง หลังจากที่กลับมาหายใจได้ตามเดิมแล้วตัวเขาก็ได้แต่พึมพำออกมาคนเดียว “ศิษย์พี่รองผู้น่าสงสาร…ตอนนี้ข้าควรจะทำยังไงดี?”
สีวู่หยารีบส่ายหัว ตัวเขายังคงจำพลังผนึกมนตราได้ดี มันเป็นพลังเดิมกับที่ตัวเขาเพิ่งจะโดนมา เมื่อเห็นพลังที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งสีวู่หยาก็กลับไปคิดถึงการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขา หรือว่าผู้เป็นอาจารย์จะสามารถเอาชนะขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ได้แล้ว?
เมื่อคิดต่อไปแบบนั้นสีวู่หยาก็ได้ยิ้มออกมาก่อนที่จะส่ายหัว “ศิษย์พี่รอง ท่านที่ช่างดื้อรั้นจริงๆ ท่านพยายามทำเป็นสบายดีก็เพื่อที่จะคว้าชัยชนะนี้ไว้กับตัว…ศิษย์พี่รองไปเอาเรี่ยวแรงแกล้งทำเป็นแข็งแรงมาจากไหนกันแน่?”
ถ้าหากศิษย์พี่คนนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความภาคภูมิใจที่ตนมี ตัวเขาก็คงจะหนีจากการจับกุมได้แล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาของยู่ฉางคงก็เป็นได้
ภายในวิหารเมฆาบนยอดวิหาร
ณ ห้องแห่งหนึ่งที่หันไปทางทะเลสาบร้อยกลีบ ลู่โจวเดินไปที่ขอบหน้าต่างในขณะที่เอามือไขว้หลังเอาไว้ ตัวเขาจ้องมองไปยังทะเลสาบที่ได้รับความเสียหาย
ในตอนนั้นเองมียู่ฉางคงยืนอยู่ที่ด้านหลัง ตัวเขายืนนิ่งไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งลู่โจวก็พูดออกมาอีกครั้ง “นั่งลง”
แคล๊ง!
ดาบยืนยาวของยู่ฉางตงตกลงบนพื้น ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ยู่ฉางตงไม่ได้สนใจภาพลักษณ์ของตัวเขาอีกต่อไป ตัวเขาได้หยิบดาบยืนยาวขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าหากเป็นช่วงเวลาอื่น ดาบยืนยาวคงจะไม่มีวันหลุดมือของตัวเขาไปได้แน่ ความสัมพันธ์ระหว่างยู่ฉางตงกับดาบยืนยาวถือว่าเป็นความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบแล้ว ถ้าหากยู่ฉางตงไม่ถูกผนึกพลังลมปราณเอาไว้อย่างสมบูรณ์ ตัวเขาก็คงจะไม่มีทางเลยที่จะประคองดาบเล่มนี้เอาไว้ในมือไม่ได้
ลู่โวเหลือบมองดูดาบยืนยาวที่อยู่ในอ้อมแขนของยู่ฉางตง ดูเหมือนว่าตัวเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนที่จะพูดออกไป “เจ้าอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ากับข้ามา 275 ปี…เจ้ายังจำได้ไหมว่ากฎข้อแรกที่ข้าเคยบอกเอาไว้คืออะไร?”
ยู่ฉางตงมองไปที่ทะเลสาบร้อยกลีบผ่านจากทางหน้าต่าง ตัวเขาตกตะลึงเล็กน้อยกับคำถามของผู้เป็นอาจารย์ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้ตอบกลับไป “ห้ามต่อสู้กัน”
“เจ้าละเมิดกฏนั่น”
“ศิษย์พี่ใหญ่กับข้าแค่ประลองกันเท่านั้น…” ยู่ฉางตงตอบกลับ
“ประลองอย่างงั้นหรอ?” ลู่โจวหันหน้ากลับมาช้าๆ ก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง ตัวเขาจ้องมองไปที่ยู่ฉางตงก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าเป็นคนที่มอบทั้งพลังวรยุทธกับอาวุธให้กับเจ้า ข้าเองก็มีสิทธิ์ที่จะเอาพวกมันกลับมาได้เช่นกัน”
ยู่ฉางตงที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกสิ้นหวัง ตัวเขาได้จับดาบยืนยาวแน่นขึ้นตามสัญชาตญาณ แม้ว่ายู่ฉางตงจะกลายเป็นสุดยอดฝีมือไปแต่ตัวเขาก็ไม่เคยลบล้างความกลัวที่มีอยู่ในใจต่อผู้เป็นอาจารย์ได้เลย ตัวเขานิ่งเงียบราวกับเด็กเกเรที่ทำผิดต่อหน้าพ่อแม่
ลู่โจวก้มมองไปที่ยู่ฉางตงก่อนที่จะถามออกมา “ทำไมเจ้าถึงได้ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป?”
“ท่านจำไม่ได้จริงๆ อย่างงั้นหรอ?” ยู่ฉางตงได้ถามออกมาก่อนที่จะเงยหน้ามองผู้เป็นอาจารย์
ลู่โจวพยายามนึกถึงความทรงจำที่ขาดหายไป ตัวเขาพยายามหาคำตอบนี้มาเนิ่นนานแล้ว ตัวเขาได้เลือกที่จะตอบตามความจริงไป “ข้าลืมไปแล้ว” มันเป็นความจริง ลู่โจวได้สูญเสียความทรงจำที่เคยมีบางส่วนไป
ยู่ฉางตงมองไปที่ชายชราด้วยแววตาอันซับซ้อน “ศิษย์น้องเจ็ดเคยบอกกับข้าว่าท่านน่ะเปลี่ยนไป…ในตอนนั้นข้าไม่เชื่อที่เขาพูด”
บางทีอาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ยู่ฉางตงมีโอกาสเผชิญหน้าต่อผู้เป็นอาจารย์หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน ยู่ฉางตงในตอนนี้หวนคิดถึงเรื่องราวมากมายจากอดีต ในตอนที่ตัวเขาได้เข้ามาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า ตัวเขาเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มธรรมดาเท่านั้น แต่หลังจากที่สามศตวรรษผ่านไป ตอนนี้ตัวเขากลับกลายเป็นดาบปีศาจผู้ที่สร้างความหวาดกลัวให้กับคนทุกคนไปซะแล้ว ในทางกลับกันผู้ที่เป็นอาจารย์ของตัวเขา…ใกล้ที่จะสิ้นอายุขัยมากขึ้นไปทุกที ตัวเขาที่เป็นเพียงแค่ศิษย์ไม่อาจที่จะช่วยอะไรได้เลย ภายในใจของยู่ฉางตงเต็มไปด้วยอารมณ์และเรื่องราวมากมาย
“ช่างมันซะเถอะ” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างไร้เยื่อใย
ยู่ฉางตงได้พูดกลับมา “มันคงจะเป็นเรื่องดีแล้วที่ท่านลืมเรื่องนี้ไป”
“สารเลว!” ลู่โจวขมวดคิ้ว เสียงของเขาได้ดังขึ้นและฟังชัดมากกว่าเดิม ตัวเขาลุกขึ้นมาจากเก้าอี้โดยที่เอามือไขว้หลังเอาไว้อีกครั้ง
ยู่ฉางตงรีบคุกเข่าลงในทันที แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังคงนิ่งเงียบ
หลังจากที่ระเบิดอารมณ์ออกมาลู่โจวก็ได้จ้องไปที่ยู่ฉางตง “เจ้าจะไม่พูดสินะ?”
ยู่ฉางตงจ้องมองไปที่พื้นก่อนที่จะตอบกลับไป “มันคงจะดีกับท่านมากกว่าถ้าหากท่านอาจารย์ลืมเรื่องนี้ไป!”
ลู่โจวยกฝ่ามือขึ้นมา ในตอนนั้นเองพลังลมปราณก็ได้ไหลออกจากฝ่ามือเขา มันเป็นพลังที่ไม่ได้อ่อนแอและก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร
ผั๊วะ!
ยู่ฉางตงไม่ได้หลบ ตัวเขาที่ถูกตบได้กระเด็นถอยกลับไปอย่างเต็มกำลัง
“ติ้ง! ลงโทษยู่ฉางตง ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 300”
“ข้ายังมีเวลาตราบนานเท่านานที่จะอยู่ในโลกใบนี้…” ลู่โจวได้ตะคอกขึ้นมา “มีใครอยู่ไหม?”