ทันทีที่อวตารทั้งสองปรากฏออกมา ต้วนชิงก็หันกลับมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร มันคงจะดีกว่าถ้าหากพวกเขาทั้งคู่อยู่ให้ไกลจากเดิม
สาวกของวิหารปีศาจต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตามต้วนชิงไปบนภูเขาอีกลูก
“ท่านเจ้าสำนัก เกี่ยวกับเรื่องของท่านผู้อาวุโส…”
“พวกเจ้าควรจะดูแลตัวเองจะดีกว่า พวกเจ้ามีเวลาไปห่วงเรื่องของท่านผู้อาวุโสจริงๆ อย่างงั้นหรอ? เมื่อเช้านี้หัวของพวกเจ้ากระทบกับหินมารึไงกัน?” ต้วนชิงรีบโต้กลับ
ต้วนชิงพูดถูกแล้ว ผู้อาวุโสที่ทุกคนพูดถึงเป็นอาจารย์ของยอดฝีมือทั้งสองที่กำลังต่อสู้อยู่ ไม่มีความจำเป็นใดเลยที่จะต้องไปเป็นห่วงเขา
ต้วนชิงนำสาวกคนอื่นๆ ออกมาจากยอดเขาเมฆากระจ่าง
ในตอนนั้นเองลู่โจวกำลังจับจ้องไปที่อวตารขนาดใหญ่ยักษ์ทั้งสองเช่นกัน ตัวเขาพยักหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่าข่าวลือที่มีมาทั้งหมดจะได้รับการตรวจสอบความจริงแล้ว พลังวรยุทธที่ศิษย์ทั้งสองมีแข็งแกร่งทรงพลังพอๆ กับที่จีเทียนเด๋ามี แต่เมื่อจีเทียนเด๋าฝึกฝนและใช้ชีวิตของตัวเองจนไปถึงขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ได้ พลังวรยุทธของเขาก็ถดถอยลง เป็นเรื่องธรรมดาที่จีเทียนเด๋าจะไม่สามารถเทียบเท่าได้กับศิษย์ทั้งสองคนนี้ในเวลาต่อมา
ลู่โจวเริ่มตระหนักได้ถึงปัญหาแล้ว ‘แล้วฉันจะไปปกป้องตัวเองได้ยังไงกัน?’ พลังวรยุทธของตัวเขาอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น และลู่โจวเองก็ยังฟื้นพลังวิเศษของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ได้เพียง 2 ใน 5 ส่วนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นพลังพิเศษของเขายังมีค่ามากกว่านั้น มันไม่ใช่อะไรที่จะมีไว้เพื่อป้องกันลูกหลงจากการต่อสู้ของศิษย์ทั้งสองคน
‘ดูเหมือนว่าฉันจะต้องหาที่หลบแทนซะแล้ว’ ลู่โจวที่เห็นอวตารทั้งสองปรากฏขึ้นบนหุบเขาสีม่วงวางแผนที่จากไป
ยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงได้โจมตีกันและกันในเวลาต่อมา อวตารของพวกเขาทั้งคู่ได้พุ่งเข้าหากันราวกับได้นัดกันไว้
“ยอดหุบเขาเมฆากระจ่างคงจะเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดแล้วที่จะรับชมการต่อสู้และยังสามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัย”
กระบี่และดาบได้เข้าปะทะกัน แม้แต่แผ่นหิน พื้นดิน หรือสรวงสวรรค์ต่างก็สั่นสะเทือน
พลังอวตารดอกบัวทองคำสีทองได้รวบรวมพลังเอาไว้ราวกับคลื่นน้ำวน ยู่เฉิงไห่ได้ผสานฝ่ามือของตัวเองเข้าด้วยกันไว้ที่ตรงหน้า ในตอนนั้นกระบี่นิลโลหิตก็ได้ลอยอยู่เหนือศีรษะของตัวเขาแล้ว ภายใต้การเพิ่มพลังของอวตารกระบี่นิลโลหิตในตอนนี้จึงถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังงานอันมหาศาล มันเป็นพลังที่ทำให้กระบี่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากว่าหลายพันเท่า
“โจมตี!”
อวตารของยู่ฉางตงได้สลายหายไปชั่วคราวจากการปะทะ ตัวเขาพุ่งขึ้นสู่ฟ้าพร้อมกับดาบยืนยาวของตน ดาบพลังงานนับพันได้ผสานเข้ากับดาบยืนยาวก่อนที่มันจะเข้าปะทะกับกระบี่นิลโลหิตของยู่เฉิงไห่อีกครั้ง เมื่อการปะทะมาถึงพลังอวตารของยู่ฉางตงก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง
ตู๊ม!
คลื่นดาบพลังงานขนาดใหญ่ได้พุ่งเข้าใส่หุบเขาสีม่วงจนทำให้หุบเขาเกิดช่องว่างบาดลึกลงไป ถ้าหากมีใครมองขึ้นไปที่หุบเขาสีม่วงในตอนนี้คนคนนั้นจะต้องคิดว่าหุบเขาสีม่วงต้องถูกตัดแน่ ร่องรอยที่บาดลึกลงไปดูคล้ายกับร่องรอยของมีคม ไม่นานนักหลังจาที่ได้รับการโจมตีก้อนหินที่เป็นส่วนหนึ่งของหุบเขาสีม่วงก็ได้ร่วงหล่นลงมา เมื่อสูญเสียก้อนหินส่วนหนึ่งไปหุบเขาสีม่วงก็เริ่มที่จะพังทลายตาม ก้อนหินมากมายหลายก้อนเริ่มตกลงสู่ป่าที่อยู่ด้านล่าง สัตว์ร้ายนาๆ ชนิดต่างก็วิ่งหนีอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะเอาชีวิตรอด
ฮั๊วจงหยางได้มองการต่อสู้มาจากด้านบน ตัวเขากำลังเฝ้ามองหุบเขาสีม่วงที่กำลังจะพังทลายหายไป
“ถอยต่อไปเร็วเข้า!”
“ครับ!” รถม้าลอยฟ้าได้บินเข้าไปยังป่าเมฆากระจ่างแทน
การต่อสู้ของยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงเป็นไปอย่างดุเดือด ไม่ว่าพวกเขาทั้งสองจะไปที่ไหน ต้นไม้ที่อยู่บริเวณโดยรอบก็ต่างถูกทำลายไปทั้งหมด ทั้งสองคนเริ่มบินเข้าไปในส่วนลึกของป่าเมฆากระจ่างมากยิ่งขึ้น
“การใช้พลังอวตารแห่งร้อยวิถีขึ้นมา คนคนนั้นจะต้องแบกรับภาระและใช้พลังลมปราณของตัวเองไปอย่างมหาศาล พวกเขาทั้งคู่จะรักษาพลังอวตารได้อีกนานแค่ไหนกัน?” ฮั๊วจงหยางไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเขาได้เห็น
“พี่จงหยาง ท่านน่ะมีอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบ ถ้าหากท่านคิดไม่ออกจริงแล้วพวกเราทั้งสามคนจะไปคิดออกได้ยังไงกัน?”
ฮั๊วจงหยางได้แต่กลืนน้ำลาย ตัวเขามองไปที่ดาบพลังงานขนาดใหญ่ที่บินไปมาระหว่างทั้งสองอวตาร ดาบพลังงานขยายใหญ่ขึ้นมากว่าหลายเท่าตัวนับตั้งแต่เริ่มใช้งาน
หลังจากที่ผลัดกันโจมตีไปมาอยู่หลายครั้งยู่ฉางตงก็ยังสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วดุจดั่งสายฟ้า ตัวเขายกมือขวาขึ้นมาเพื่อคว้าดาบยืนยาวที่กำลังลอยเข้าหาตน ยู่ฉางตงได้จับด้ามของดาบยืนยาวเอาไว้แน่น และในตอนนั้นเองคลื่นดาบพลังงานก็ถูกยิงออกมาจากนิ้วของยู่ฉางตง “ศิษย์พี่ใหญ่…รับนี่ไปซะ!”
ยู่เฉิงไห่ที่เห็นแบบนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาหยุดที่จะใช้พลังอวตารก่อนที่จะบินพุ่งตรงไปยังที่ไกลแสนไกล หลังจากนั้นตัวเขาก็ใช้พลังอวตารขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะยกกระบี่ขึ้นมาในแนวนอน “ย่อมได้”
ฮั๊วจงหยางและคนอื่นๆ ต่างก็กลั้นหายใจมอง
ยู่ฉางตงได้พลิกมือขวาของตัวเองก่อนที่จะทิ้งภาพติดตาเอาไว้ที่เบื้องหลัง
สิ่งที่ได้เห็นได้ทำให้ทุกคนตื่นตกใจ แม้ว่าอวตารร้อยวิถีเองก็ยังเป็นภาพติดตาที่ถูกทิ้งเอาไว้เช่นกัน
“นี่มันสุดยอดวิชาอย่างงั้นหรอ?!”
“เทคนิคดาบกุยหยวน ดาบไร้ร่องรอย” วิชาดาบไร้ร่องรอยเป็นวิชาที่ถูกใช้งานตามชื่อ มันเป็นวิชาที่จะทำให้ผู้ใช้ไม่ทิ้งร่องรอยดาบเอาไว้ในตอนที่เคลื่อนไหวนั่นเอง ในตอนนี้ไม่มีใครเห็นดาบของยู่ฉางตงเคลื่อนไหวได้ด้วยตาเปล่าอีกต่อไป ดาบของยู่ฉางตงเคลื่อนไหวเร็วขึ้น และเร็วยิ่งขึ้นไปอีก ยู่ฉางตงได้ศึกษายู่เฉิงหามาสักพักแล้ว ในตอนนั้นเองคลื่นดาบพลังงานนับหมื่นก็ได้มาบรรจบกันก่อนที่จะพุ่งตรงไปหาศัตรูเพียงหนึ่งเดียวของเขา
ยู่เฉิงไห่ที่เห็นแบบนั้นก็ใช้พลังอวตารขึ้นมา ตัวเขาได้จ้องมองไปที่การโจมตีก่อนที่จะพูดขึ้น “สุดยอดพลังผนึกสรวงสวรรค์แห่งความมืด!” ดูเหมือนยู่เฉิงไห่จะคาดหวังกับการโจมตีของยู่ฉางตงในครั้งนี้ ดาบพลังงานทั้งหมดของยู่เฉิงไห่ได้มาบรรจบกันโดยที่มีกระบี่นิลโลหิตเป็นจุดศูนย์กลาง ในตอนนี้ตัวเขาได้เปลี่ยนสุดยอดอาวุธคู่ใจให้กลายเป็นโล่ป้องกันตัวอันทรงพลัง
ตู๊ม!
เมื่อพลังจากทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน ในตอนนั้นก็เกิดคลื่นพลังกระเพื่อมไปตามแนวนอน พลังที่เกิดจากการปะทะกันได้กระเพื่อมไปไกลกว่าหลายพันเมตร
ต้นไม้ที่อยู่บนบกต่างก็ได้รับผลกระทบจากระลอกคลื่น ถ้าหากมองจากทางด้านบน จะเห็นว่าภูมิทัศน์ของที่แห่งนี้ได้แปรเปลี่ยนไป ที่พื้นดินในรัศมีโดยรอบต่างก็เต็มไปด้วยหลุมจำนวนนับไม่ถ้วน
เมื่อเกิดการปะทะครั้งใหญ่ พลังอวตารทั้งสองก็ได้หายไปในเวลาเดียวกัน
ยู่เฉิงไห่ถอยกลับไป
ส่วนยู่ฉางตงเองก็ถอยกลับมาเช่นกัน
พวกเขาลอยอยู่บนอากาศก่อนที่จะจ้องมองกันและกันจากในระยะไกล
ยู่เฉิงไห่ได้เอามือจับกระบี่นิลโลหิตเอาไว้แน่น ที่แขนของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดนับไม่ถ้วน มันกำลังปูดขึ้นมาอย่างเดือดดาล
ที่นิ้วก้อยของยู่ฉางตงสั่นเล็กน้อย ตัวเขาที่สัมผัสได้ถึงความสั่นรีบหยุดมันอย่างรวดเร็ว
ยู่เฉิงไห่เป็นฝ่ายที่พูดออกมาอีกครั้ง “เจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้มากจริงๆ ”
“ท่านพูดเกินไปแล้วศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเองก็ทำได้ไม่เลวเลย” ยู่ฉางตงยิ้มให้
“ศิษย์น้องรอง…เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าปลดปล่อยพลังที่มีทั้งหมดเพื่อการต่อสู้ได้” ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมาอย่างจริงจัง
“ข้าหวังว่าจะทำให้ท่านพึงพอใจได้ศิษย์พี่”
ยู่เฉิงไห่ได้กางมือของตัวเองออกมา ในตอนนั้นกระบี่นิลโลหิตก็หมุนอยู่บนอากาศ ในเวลาเดียวกันพลังอวตารของตัวเขาก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
หวืดดด!
ยู่ฉางตงไม่ยอมที่จะถูกทิ้งไว้เพื่อเป็นฝ่ายไล่ตาม ตัวเขาได้ใช้พลังอวตารออกมาด้วย
การไหลเวียนของพลังลมปราณอันมหาศาลที่อยู่บนท้องฟ้ากำลังแปรปรวนไป พลังอันมหาศาลได้หมุนเวียนจนราวกับพายุคลั่ง
ใครกันที่จะเป็นผู้คว้าชัยในศึกครั้งนี้ไปได้?
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ยังคงนั่งมองดูจากทางหน้าต่าง ตัวเขาเหลือมองไปยังทิศทางที่มีพลังอวตารปรากฏตัว ใจจริงแล้วตัวเขาก็แอบชื่นชมศิษย์ทั้งสอง แม้ว่าการต่อสู้ของพวกเขาจะดุเดือดสักแค่ไหน ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาทั้งคู่ก็ไม่อยากให้คนนอกอย่างวิหารเมฆาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
ลู่โจวหลับตาลงอย่างสงบก่อนที่จะทำสมาธิอีกครั้ง ตัวเขาที่หลับตาลงได้ยินเสียงปะทะกันเป็นระยะๆ วิหารเมฆาในตอนนี้มีเสียงก้องกังวานอย่างไม่หยุดพัก
“สีวู่หยา…” ลู่โจวนึกถึงศิษย์อีกคนได้ ‘แล้วเจ้านั่นอยู่ไหนกัน?’
เนื่องจากลู่โจวอยู่ไกลเกินไปเพราะแบบนั้นแล้วตัวเขาจึงมองไม่เห็นสีวู่หยา แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็มั่นใจมากว่าสีวู่หยาจะต้องมาที่นี่กับยู่ฉางตงแน่ ตัวเขาจะต้องดูการต่อสู้อยู่จากที่ไหนสักแห่ง ในตอนนี้ลู่โจวมีการ์ดกรงผนึกกักขังโฉมใหม่ทั้งหมด 3 ใบด้วยกัน ทุกอย่างพร้อมแล้ว สิ่งที่ตัวเขาต้องการมีเพียงแค่เวลาเท่านั้น
เวลาได้ไหลไปอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนนี้ก็เป็นเช้าวันใหม่อีกครั้ง ในตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นไปบนขอบฟ้า ลู่โจวก็ได้ยินเสียงดังสนั่นในเวลาเดียวกัน ตัวเขาลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะจ้องมองไปยังทะเลสาบร้อยกลีบ ในตอนนี้มันได้กลายเป็นที่แห่งหายนะไปแล้ว ลู่โจวพยายามมองหาศิษย์ของตน แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่อาจที่จะได้เห็น
ลู่โจวเหลือบมองไปที่เวลาคูลดาวน์ที่เหลืออยู่ มันเหลือเวลากว่า 5 ชั่วโมงด้วยกัน…
“ท่านผู้อาวุโส…” ต้วนชิงได้เรียกลู่โจวจากด้านนอก
ลู่โจวได้ออกไปจากห้องพร้อมกับเอามือไขว้หลัง ตัวเขาเห็นต้วนชิงยืนอยู่ที่ลานกลางวิหารอย่างเคารพ การต่อสู้ที่ดำเนินไปกว่าสามวันสามคืนไม่ได้ทำให้ต้วนชิงรู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด ในความเป็นจริงแล้วตัวเขากลับดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ต้วนชิงที่เห็นลู่โจวเดินออกมาได้พูดต่อ “ดูเหมือนว่าข้าจะได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่แล้วท่านผู้อาวุโส!”
“ผลลัพธ์เป็นยังไงบ้าง?” ลู่โจวถามออกมา ‘แม้ว่าพลังของทั้งคู่จะทัดเทียมกันก็ตาม แต่ในการต่อสู้ตัวต่อตัวแบบนี้ปัจจัยที่สามารถกำหนดผู้แพ้ผู้ชนะได้ก็คือความมุ่งมั่นและประสบการณ์ในการต่อสู้’ ถ้าหากตัดสินจากทั้งสองอย่างที่ว่ามาความเป็นไปได้ยู่เฉิงไห่น่าจะเป็นผู้ชนะจึงเป็นไปได้สูง แต่ถึงแบบนั้นก็เป็นเวลานานแล้วที่ยู่เฉิงไห่ใช้เวลาหลายไปในการรวบรวมเหล่าสาวก บางทียู่ฉางตงอาจจะใช้เวลาที่ว่าเติบโตจนก้าวผ่านผู้เป็นศิษย์พี่ไปก็เป็นได้ แม้ว่ายู่เฉิงไห่จะยังดูได้เปรียบแต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากที่จะบอกว่าเขาจะเอาชนะยู่ฉางตงได้อยู่ดี
“มันยากที่จะบอกผลลัพธ์ออกมาได้…แต่ในแง่ของความเข้มข้นในการต่อสู้ ดูเหมือนว่าในตอนนี้การต่อสู้จะไม่ได้ดูเข้มข้นเหมือนกับหลายวันที่ผ่านมาแล้ว” ต้วนชิงได้พูดออกมา
ในตอนนี้การต่อสู้กำลังอยู่ในช่วงท้าย
ลู่โจวลูบเคราของตัวเอง ‘ตอนนี้พวกเขาก็น่าจะเหนื่อยกันแล้ว’ การต่อสู้ครั้งนี้ก็เป็นเหมือนกับการวิ่ง ยิ่งแข่งกันวิ่งนานเท่าไหร่ทั้งสองคนก็จะยิ่งรู้สึกเหนื่อยล้ามากขึ้นเท่านั้น
หลังจากที่ใช้ความคิดได้พักหนึ่งลู่โจวก็ได้พูดออกมา “พวกเราไปดูกันเถอะ”
“ครับ” ต้วนชิงเองต้องการชมการต่อสู้ในระยะใกล้ด้วยเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาตัวเขามีความกล้าไม่เพียงพอ
ตอนนี้การต่อสู้ไม่ได้ดูเข้มข้นเท่าไหร่ มันยากที่พวกเขาจะสังเกตเห็นการต่อสู้จากในระยะไกลได้ อย่างไรก็ตามถ้าหากพวกเขาทั้งหมดอยู่ใกล้เกินไป พวกเขาก็กังวลว่าจะถูกสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ของสำนักอเวย์จีจับได้ แต่ในตอนนี้มีพลังของผู้อาวุโสหนุนหลังอยู่ ในตอนนี้ไม่มีอะไรจะต้องกลัวอีกต่อไป
“กรุณาขึ้นรถม้ามาเถอะท่านผู้อาวุโส” ต้วนชิงยื่นแขนออกมาเพื่อเชื้อชวน
ทุกคนจะเดินทางต่อไปได้ยังไงถ้าหากตัวเขาไม่อยู่บนรถม้า?
ทุกๆ คนต่างก็ขึ้นรถม้าไป แม้ว่ารถม้าจะได้รับความเสียหายแต่มันก็ยังมีบทบาทในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้อยู่
ทันทีที่ต้วนชิงขึ้นรถม้าตัวเขาก็ได้เตะสาวกของตัวเองที่คอยควบคุมพังงารถม้าไป “เมื่อผู้อาวุโสมีโอกาสขึ้นรถม้าไปกับพวกเรา ข้าจะควบคุมพังงารถม้าเอง”
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ต้วนชิงโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ตัวเขาคิดว่าต้วนชิงเหมาะสมแล้วที่จะเป็นผู้นำในช่วงเวลาสั้นๆ โดยที่มีทัศนคติแบบนี้ ไม่ว่าจะยังไงเรื่องของวิหารปีศาจก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเขาอีกต่อไป
รถม้าลอยฟ้าได้บินออกจากวิหารเมฆาไป มันได้เคลื่อนที่ไปยังทะเลสาบร้อยกลีบแทน
“ท่านผู้อาวุโสได้โปรดอย่าคิดมากกับความเร็วของรถม้าเลย” ต้วนชิงพูดต่อไป
ในตอนนี้ลู่โจวกำลังลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะมองดูเวลาที่คูลดาวน์ ตัวเขาได้ลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้า ความเร็วของรถม้าในตอนนี้ไม่ใช่อะไรที่แย่เลย ยังไงซะตัวเขาก็จะต้องรอเวลาคูลดาวน์การ์ดวิเศษอยู่ดี
ขณะที่รถม้าลอยฟ้าบินเข้าไปใกล้กับการต่อสู้มากยิ่งขึ้น เสียงของการปะทะกันก็ดังขึ้นตาม
เมื่อรถม้าบินอยู่เหนือทะเลสาบร้อยกลีบ ในตอนนั้นทุกคนต่างก็มีทัศนวิสัยที่กว้างขวางขึ้น
ต้นไม้ที่เคยมีถูกโค่นจนหมด
ต้วนชิงได้หันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “ข้าจะเร่งความเร็วแล้วนะครับท่านผู้อาวุโส”
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้น” ลู่โจวลูบเคราของตัวเอง
“ทำไมกันล่ะครับ?”
‘แล้วทำไมเจ้านี่จะต้องคิดสงสัยอะไรให้มากความด้วย? ช่างน่าลำบากใจซะจริง’
ลู่โจวได้ถามกลับมา “ต้วนชิง เจ้ารู้ได้ยังไงกันว่าการต่อสู้ของพวกเขาทั้งคู่จะเกิดขึ้นที่ยอดเขาเมฆากระจ่าง?”
ต้วนชิงได้ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ลู่โจวถามชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะตอบกลับมา “ในตอนที่ข้าเดินทางมาที่หุบเขาผิงตู ข้าจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมายเพื่อที่จะได้ข้อมูลที่สำคัญนี้มา”
“ถ้าหากเจ้าสามารถหาข้อมูลของเรื่องนี้ได้ ใครๆ ก็ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เหมือนกัน” ลู่โวได้พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ท่านผู้อาวุโสกำลังบอกว่ามีใครคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยอย่างงั้นหรอ?” ต้วนชิงรีบชะลอรถม้าลอยฟ้าลงก่อนที่จะควบคุมมันไปยังพื้นที่รอบนอกของป่าเมฆากระจ่าง ลู่โจวยังคงเงียบ แม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่การคาดเดาแต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังมีความเป็นไปได้สูง
ต้วนชิงมองไปทางซ้ายและทางขวา หลังจากที่รถม้าลอยฟ้าบินเข้ามาในป่า ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะเงียบผิดปกติ ในตอนนั้นเองความรู้สึกกังวลก็ได้ปรากฏขึ้นในใจของต้วนชิง “ท่านผู้อาวุโส ท่านคิดถูกแล้วล่ะ ข้ารีบร้อนจนเกินไปจนทำให้พวกหนูสกปรกรู้ตัว…”
แม้ว่าจะพูดแบบนั้นแต่ลู่โจวก็ยังคงนิ่งสงบ ตัวเขาไม่ได้โกรธอะไร ต้วนชิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อรถม้าผ่านหุบเขาสีม่วงไปต้วนชิงและคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึง มีช่องว่างขนาดใหญ่ที่เกิดจากการโจมตีด้วยดาบพลังงานอยู่ มันเป็นช่องว่างที่ดูใหญ่จนไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน สถานที่แห่งนี้ดูเละเทะไม่เป็นธรรมชาติอีกต่อไป
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
เกิดเสียงปะทะกันดังขึ้นมาใกล้ๆ อีกครั้ง ต้วนชิงรีบพูดออกมา “ป่าเมฆากระจ่างอยู่ที่ด้านหน้าของพวกเราแล้ว…”
รถม้าลอยฟ้าจงใจที่จะหลีกเลี่ยงลูกหลงที่จะเกิดมาจากการต่อสู้ ยิ่งเข้าใกล้สถานที่ต่อสู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะต้องระวังไม่ให้รถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจีจับได้ด้วยมากขึ้นเท่านั้น
ในเวลาต่อมาทุกคนก็เห็นร่างอวตารทั้งสองที่หายไปในเวลาอันรวดเร็ว
บนท้องฟ้าที่ยู่ฉางตงและยู่เฉิงไห่กำลังต่อสู้กันในเวลาเดียวกัน ทั้งคู่ได้ตีลังกากลับมาหลายตลบก่อนที่จะทรงตัวได้ในที่สุด
หลังจากที่ได้ต่อสู้กันเป็นเวลากว่าสามวันสามคืนด้วยพลังอวตารร้อยวิถี ทุกๆ คนก็เห็นแล้วว่าพลังวรยุทธที่ทั้งคู่มีมันสูงส่งและยิ่งใหญ่ขนาดไหน
สีหน้าที่ดูตื่นเต้นได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของต้วนชิง “ท่านผู้อาวุโส ข้าคิดว่าพวกเขามาถึงขีดจำกัดกันแล้วรึยัง?”
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะเฝ้ามองทั้งสองคนเผชิญหน้าจากระยะไกล “ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อนอะไร”
ต้วนชิงไม่กล้าที่จะถามอะไรลู่โจวอีก ถ้าหากผู้อาวุโสบอกว่าไม่ต้องเร่งรีบ แสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นก็เป็นได้