แต่เมื่อได้รับคำสั่งมาฝานซงและโจวจี้เฟิงก็ได้แต่ลังเลเท่านั้น พวกเขาไม่อาจที่จะขัดคำสั่งได้ ทั้งสองคนอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามานาน ทั้งคู่รู้ดีว่าสถานะที่มีในที่แห่งนี้ใกล้เคียงกันขนาดไหน พวกเขาทั้งคู่จ้องมองกันก่อนที่จะเดินตรงไป
เมื่อทั้งคู่เดินไปหายู่ฉางตง ฝานซงก็ได้พูดออกมา “ข้าต้องขอโทษด้วยท่านศิษย์คนรอง”
สำหรับผู้ฝึกยุทธที่ฝึกฝนตัวเองในเส้นทางแห่งดาบจนถึงที่สุด ดาบของคนคนนั้นคงจะมีค่าเทียบเท่ากับชีวิตของคนคนนั้นเลยก็ว่าได้ ยู่ฉางตงไม่เคยคิดอยากจะแยกกับดาบของตัวเองมาก่อน “ท่านอาจารย์ได้โปรด! ท่านจะเอาไรไปก็ได้ยกเว้นดาบของข้า!” ยู่ฉางตงได้ทรุดตัวลงกับพื้นอีกครั้ง ตัวเขาได้ใช้ดาบยืนยาวเสียบลงบนพื้น คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็อ้าปากค้าง ไม่มีใครคาดคิดว่ายู่ฉางตงผู้ที่หยิ่งทะนงตัวจะยอมอ่อนข้อให้เพียงเพราะเพื่อดาบของตัวเอง แต่ยังไงซะคนที่สั่งสอนทุกอย่างให้กับยู่ฉางตงก็คือผู้ที่เป็นอาจารย์อยู่ดี ฝานซงและโจวจี้เฟิงไม่กล้าที่จะแย่งดาบจากยู่ฉางตง พวกเขาทั้งคู่ได้แต่ยืนนิ่งอย่างหมดหนทาง สิ่งที่พวกเขากำลังทำนั่นก็คือการรอคอยคำแนะนำเพิ่มเติมจากลู่โจว ถ้าหากมีคำสั่งอีกครั้ง…พวกเขาทั้งคู่ก็ยินดีที่จะปฏิบัติตาม
อันที่จริงดาบเป็นอะไรที่มีความสำคัญอยู่แล้ว แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ไม่คิดมาก่อนว่ามันจะทำให้ยู่ฉางตงยอมอ่อนข้อ ตัวเขาได้มองไปที่ยู่ฉางตงที่กำลังคุกเข่าอยู่ “เจ้าน่ะพึ่งพาดาบยืนยาวมากเกินไป เจ้าพึ่งพาดาบมากจนตัวเจ้าเองถูกดาบเล่มนั้นหยุดเอาไว้ซะเอง”
ยู่ฉางตงมองไปที่พื้นก่อนที่จะพูดออกมา “วิถีแห่งดาบของข้ายังไม่ได้จบลงเพราะดาบของข้า! ท่านอาจารย์ได้โปรด! ข้ายอมเสียทุกอย่างดีกว่าจะต้องเสียดาบของข้าไป” จากน้ำเสียงที่ยู่ฉางตงใช้พูด มันชัดเจนแล้วว่าตัวเขามีอารมณ์แปรปรวนมากแค่ไหนเมื่อต้องเสียดาบไป
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ยู่ฉางตงก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ถ้าหากเจ้าเอาชนะข้าได้ เจ้าก็จะรักษาดาบเล่มนั้นไว้ได้”
คนอื่นๆ ที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว จะเป็นไปได้ยังไงกันที่ยู่ฉางตงจะเอาชนะลู่โจวได้ ช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งคู่ไม่ใช่อะไรที่จะก้าวข้ามผ่านไปได้ง่ายๆ นี่ไม่ใช่โอกาส มันเป็นอีกหนึ่งในวิธีที่จะปฏิเสธยู่ฉางตงนั่นเอง
ยู่ฉางตงได้มองไปที่ดาบยืนยาว ตัวเขากำลังกวัดแกว่งดาบเล่มโปรดของตัวเอง ความรู้สึกของยู่ฉางตงในตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับความรู้สึกของต้วนมู่เฉิงที่ผ่านมา แม้รู้ว่าจะพ่ายแพ้แต่ตัวเขาก็มีแต่จะต้องพยายามต่อไป ยู่ฉางตงได้พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับดาบยืนยาวที่มีอยู่ในมือ ยู่ฉางตงใช้การเคลื่อนไหวที่เรียบง่ายและเฉียบคมที่สุดเพื่อที่จะพุ่งไปที่ด้านหน้าด้วยความเร็วดุจดั่งสายฟ้า
ถ้าหากไม่มีพลังลมปราณเข้ามาเกี่ยวข้องการประลองในครั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคแล้ว ยู่ฉางตงได้ใช้ดาบแทงไปที่ด้านหน้า
ลู่โจวเองเลือกที่จะใช้แค่พลังฝ่ามือ
แทง, ฟัน, จู่โจมจากด้านบน, อาวุธลับ
ยู่ฉางตงได้คิดถึงการโจมตีของลู่โจวที่เป็นไปได้ทุกอย่างเอาไว้แล้ว การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วจนเกินไป เพียงแค่การเคลื่อนไหวอย่างเดียวเท่านั้นสายลมที่เคยพัดผ่านก็ได้ถูกเปลี่ยนทิศไป ยู่ฉางตงได้ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งด้วยความมั่นใจและความสง่างาม สิ่งที่ยู่ฉางตงพยายามใช้นั่นก็คือเทคนิคดาบกุยหยวนที่ไร้ซึ่งพลังลมปราณนั่นเอง
ในตอนแรกดาบของยู่ฉางตงก็เหมือนเงา จากนั้นดาบก็เหมือนกับสายลม และในท้ายที่สุดแล้วเมื่อเวลาผ่านไปดาบของเขาก็ดูเหมือนกับพายุไปจนได้
ลู่โจวยังคงสงบนิ่ง ตัวเขากำลังนึกย้อนไปถึงความทรงจำที่ผ่านมาของจีเทียนเด๋า ความทรงจำกว่า 1,000 ปีกำลังปรากฏขึ้นอยู่ภายในใจของลู่โจว ยังไงซะท้ายที่สุดแล้วคนที่สอนยู่ฉางตงให้ใช้เทคนิคดาบกุยหยวนได้ก็คือตัวของเขาเอง เป็นธรรมดาที่ลู่โจวจะใช้เทคนิคดาบกุยหยวนได้ไม่ได้ด้อยไปกว่ายู่ฉางตง ยิ่งไปกว่านั้นลู่โจวยังรู้ถึงข้อดีข้อเสียของเคล็ดวิชาต่างๆ นาๆ ตัวเขารู้ดีว่าควรจะเก็บหรือทิ้งคุณสมบัติใด แม้ว่าจะอายุมากแต่ตัวเขาก็ยังสามารถขยับได้อย่างรวดเร็วกว่าเมื่อเทียบกับคนที่มีช่วงอายุวัยเดียวกัน
ยู่ฉางตงที่ว่ารวดเร็วแท้จริงแล้วลู่โจวรวดเร็วกว่า เมื่อยู่ฉางตงชะลอตัว ลู่โจวเองก็ยังชะลอตัวได้เช่นกัน
ทุกๆ ครั้งที่ฝ่ามือของลู่โจวฟาดลงไปที่คมดาบของดาบยืนยาว การจู่โจมของยู่ฉางตงก็ถูกหักล้างไปจนหมดสิ้น คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างหมดหวัง “ท่านปรมาจารย์เข้าใจเทคนิคดาบกุยหยวนดีจนเกินไป แม้ว่าท่านศิษย์คนรองจะเคลื่อนไหวได้ดีขนาดไหน แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ถูกท่านปรมาจารย์ควบคุมเอาไว้อยู่ดี”
คนอื่นๆ ที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
เห็นได้ชัดว่าความเข้าใจของลู่โจวที่มีต่อเทคนิคดาบกุยหยวนไม่ได้ด้อยไปว่ายู่ฉางตงเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าลู่โจวจะยังไม่ได้โต้กลับก็ตาม ลู่โจวก็แค่ลบล้างการโจมตีทั้งหมดของยู่ฉางตงที่โจมตีไปก็เท่านั้น “ท่านศิษย์คนรองไม่สามารถที่จะโจมตีได้เลย…” ฮั๊ววู่เด๋าถอนหายใจ “แม้ว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือแห่งยุค แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่เหมาะที่จะต่อสู้กับท่านปรมาจารย์อยู่ดี ในตอนนี้ความมั่นใจ, ทัศนคติ และความสง่างามทั้งหมดที่มีของเขาได้จางหายไปแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่เป็นอาจารย์ของตัวเองความเฉียบคมของเขาก็หายไปจนหมด”
แคล๊ง!
ครั้งนี้ลู่โจวได้ใส่พลังไปที่มือมากยิ่งขึ้น ตัวเขาได้ใช้ฝ่ามือฟาดไปที่ดาบอย่างรุนแรง
ยู่ฉางตงสูญเสียการควบคุมตัวไปชั่วขณะ ดาบยืนยาวได้หลุดออกจากมือของเขาไปในที่สุด มันได้หล่นลงบนพื้นพร้อมกับส่งเสียงดังสนั่น
การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ลู่โจวได้ชักฝ่ามือกลับมา ตัวเขาได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะมองไปที่ดาบยืนยาวอย่างไม่แยแส
ที่หน้าถ้ำแห่งเงาสะท้อนถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
แม้ว่านี่จะเป็นการต่อสู้ธรรมดาที่ไม่ใช้พลังลมปราณ แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ยังเอาชนะได้ด้วยเทคนิคที่ตัวเขามี แม้ว่าลู่โจวจะใช้พลังลมปราณเพียงน้อยนิดก็ตามแต่ถึงแบบนั้นถ้าหากนี่เป็นการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ยู่ฉางตงคงจะไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้อยู่ดี ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าสามารถปิดผนึกพลังวรยุทธทั้งหมดที่ยู่ฉางตงมีได้ ยู่ฉางตงจะเหลือวิธีไหนกันที่จะสามารถเอาชนะอาจารย์คนนี้ได้?
ความภาคภูมิใจของยู่ฉางตงถูกบดขยี้มากยิ่งขึ้น
“ท่านอาจารย์ ท่านอยากได้วิชาหนึ่งร่างสามดวงวิญญาณกลับไปด้วยสินะ?” ยู่ฉางตงได้ถามออกมา
“หนทางของเจ้ายังอีกยาวไกล…เจ้าน่ะยังอยู่อีกไกลกว่าที่จะไปถึงสุดยอดวิถีแห่งดาบที่แท้จริงได้” ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อของตัวเอง “มันก็เหมือนกับยู่เฉิงไห่นั่นแหละ”
ยู่ฉางตง “…”
ผู้แพ้ยังไงซะก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้ ไม่มีข้อแก้ตัวใดสำหรับผู้แพ้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้ชนะพูดนั้นถูกต้องเสมอ ยังไงซะลู่โจวก็รู้ดีว่ายู่ฉางตงไม่เต็มใจที่จะยอมรับเรื่องนี้ ดังนั้นตัวเขาจึงได้พูดต่อไป “วิชาหนึ่งร่างสามดวงวิญญาณล้วนแต่มีต้นกำเนิดมาจากรัศมีแห่งต้นกำเนิด, จิตวิญญาณอันงดงาม และสสารอันสำคัญ รัศมีแห่งต้นกำเนิดเป็นพลังที่มีอยู่ภายในร่างกายอยู่แล้ว ส่วนจิตวิญญาณอันงดงามจะอาศัยอยู่ในเจตจำนงและจิตวิญญาณ ส่วนสสารอันสำคัญไม่ว่าจะอยู่หรือจะตายทุกคนก็ล้วนมีเช่นกัน บนเส้นทางของวูจิ ดวงวิญญาณก็คือหยิน ในขณะที่ร่างกายก็คือหยาง” ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อยู่ฉางตงก็ได้พูดต่อไป “ข้ารู้เรื่องนี้อยู่เต็มหัวใจ” แม้ว่าเขาจะเคยจากที่แห่งนี้ไปแต่ถึงแบบนั้นยู่ฉางตงก็ยังภาคภูมิใจ ตัวเขาภูมิใจที่ยังจดจำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้
ไม่มีใครคิดสงสัยยู่ฉางตงแม้แต่คนเดียว ท้ายที่สุดผู้ที่จะฝึกฝนตัวเองไปยังจุดที่สูงบนวิถีแห่งดาบแบบนี้ได้มีไม่กี่คนเท่านั้น “เนื่องจากเจ้าไม่เต็มใจที่จะยอมรับสิ่งที่ข้าพูด ข้าจะแสดงให้เห็นเองว่าวิถีแห่งดาบที่แท้จริงมันเป็นยังไง” ทันใดนั้นเองลู่โจวก็จดจำทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่ตัวเขาจะข้ามมายังโลกใบนี้ได้ ความทรงจำของทั้งสองโลกได้หลอมรวมประสานกันก่อนที่ตัวของลู่โจวเองจะรู้ตัวด้วยซ้ำ การผสานนี้…ทำให้ลู่โจวเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับการฝึกยุทธได้ ยู่ฉางตงเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจที่มากเกินไป ถ้าหากเขาไม่ลดความภาคภูมิใจที่มีตัวเขาคงจะต้องได้ชดใช้ให้กับความภาคภูมิใจผิดๆ นี่แน่
หลังจากที่หยุดใช้ความคิดไปชั่วครู่ลู่โจวก็ได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น “จุดสูงสุดของวิถีแห่งดาบก็คือการต่อสู้โดยที่ไร้ซึ่งดาบ”
‘จุดสูงสุดของวิถีดาบก็คือการต่อสู้โดยไร้ซึ่งดาบ?’
แม้แต่ยู่ฉางตงที่ได้ฟังแบบนั้นยังไม่เข้าใจ แน่นอนว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นั่นก็ล้วนแต่ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน
ต้วนมู่เฉิงที่ได้ยินแบบนั้นก็นึกย้อนไปในตอนที่ม่านพลังของภูเขาทองถูกทำลาย ในตอนนั้นอาจารย์ของเขาได้สาธิตพลังยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ให้กับตัวเขาได้เห็น ในตอนนั้นต้วนมู่เฉิงยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์พยายามสั่งสอนตัวเขา ดังนั้นตัวเขาที่ได้ยินลู่โจวพูดถึงวิถีแห่งดาบ ตัวเขาก็ยิ่งตั้งใจฟังสิ่งนี้มากกว่าคนอื่นๆ
นอกจากนี้ผู้อาวุโสทั้งสามก็ยังอยากที่จะเติมเต็มความรู้ของตัวเอง ดังนั้นแล้วพวกเขาทุกคนจึงตั้งใจฟังสิ่งที่ลู่โจวพูดออกมาเช่นกัน
ทุกๆ คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ไม่กล้าส่งเสียงหายใจออกมา ทุกคนเองก็อยากจะรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
ลู่โจวได้พูดต่อ “การฝึกดาบมีอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ การฝึกระดับแรกเป็นการฝึกดาบของสามัญชนทั่วไป มันเป็นการฝึกฝนที่แม้แต่สามัญชนจนไปถึงองค์ชายก็สามารถที่จะใช้งานได้ ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากพละกำลังรวมไปถึงความรวดเร็วในการใช้ดาบ การฝึกดาบระดับที่สองนั่นก็คือการฝึกดาบของนักบุญ เป็นการฝึกฝนที่ใช้ความกล้าหาญเป็นส่วนริม ส่วนความภักดีเป็นแกนกลางและวิถีแห่งดาบเป็นส่วนปลาย และการฝึกดาบระดับที่สามนั่นก็คือการฝึกดาบของราชันย์ ประเทศชาติเป็นเหมือนกับส่วนริม ทะเลและภูเขาเป็นเหมือนกับความเฉียบคม เมื่อใช้งานธาตุทั้งห้าควบคู่ไปกับพลังหยินหยางได้ ในตอนนั้นแม้ว่าฤดูจะเปลี่ยนผันก็ไม่อาจมีอะไรมาขวางกั้นได้อีก เมื่อถึงตอนนั้นจะไม่มีใครในโลกเทียบเคียงได้อีกต่อไป ทั่วทั้งโลกจะต้องคุกเข่าเข้าหาคนคนนั้น มันก็เหมือนกับกระบี่นั่นเอง…”
ทุกๆ คนกำลังตั้งใจฟังสิ่งที่ลู่โจวกำลังพูด เสียงของลู่โจวยังคงดังต่อไป “นี่คือมุมมองของลัทธิเต๋า…การใช้ดาบของเจ้าในตอนนี้มันเป็นการใช้ดาบในระดับสองซะมากกว่า”
ยู่ฉางตงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้เปลี่ยนสีหน้าไป จากคำพูดที่ว่ามา สิ่งที่ศิษย์พี่ของเขาอย่างยู่เฉิงไห่เคยพูดเอาไว้ว่าต้องการปกครองดินแดนแห่งนี้ นั่นหมายความว่าวิถีแห่งดาบของศิษย์พี่ใหญ่จะอยู่ในระดับสามอย่างงั้นสินะ?
ลู่โจวสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของยู่ฉางตงได้ ตัวเขารู้ดีว่ายู่ฉางตงกำลังคิดอะไร ลู่โจวได้พูดต่อไป “ยู่เฉิงไห่ปรารถนาที่จะใช้ประเทศชาติเป็นส่วนริมและอยากให้คนทั่วทั้งดินแดนคุกเข่าให้ แต่ถึงแบบนั้น…เจ้านั่นก็ยังมีความสามารถไม่พอ อย่างมากเจ้านั่นก็อยู่ที่ระดับสองเท่านั้น”
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้ยู่ฉางตงอดที่จะถามออกมาไม่ได้ “แล้วใครกันอยู่ที่ระดับสาม ระดับสุดท้าย?”