หลังจากที่หยุดพูดไปนานยู่เฉิงไห่ก็ได้ถามออกมา “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนไหนกัน?”
“หลังจากที่ท่านออกจากป่าเมฆากระจ่างไป ท่านอาจารย์ก็เดินทางมาถึง” สีวู่หยาได้ตอบความจริงมา
ยู่เฉิงไห่ที่ได้ฟังแบบนั้นขมวดคิ้ว ตัวเขาจำได้ว่าเห็นรถม้าที่ใกล้พังทลายอยู่ใกล้ๆ กับหุบเขาสีม่วงเมื่อตอนนั้น ยู่เฉิงไห่จำได้อีกว่าตัวเขาเห็นผู้ที่เป็นอาจารย์อยู่บนรถม้าลอยฟ้าคันนั้น
แม้ว่าการต่อสู้จะจบลงไปแล้วแต่ยู่เฉิงไห่ก็ยังรู้สึกค้างคาใจมาโดยตลอด การต่อสู้ของทั้งสองจบลงด้วยการเสมอ และท้ายที่สุดแล้วด้วยความรู้สึกรำคาญใจทำให้ยู่เฉิงไห่ตัดสินใจออกจากสถานที่การต่อสู้ไปโดยเร็วที่สุด ตัวเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่ายู่ฉางตงจะถูกอาจารย์ของพวกเขาจับตัวกลับไป ท้ายที่สุดยู่เฉิงไห่ก็ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์น่ะแก่แล้ว ด้วยความสามารถที่ศิษย์น้องรองมี แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บอยู่ก็ควรที่จะต้องหนีรอดไปได้สิ”
สีวู่หยาได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กับยู่เฉิงไห่ได้ฟัง
เมื่อได้ยินมาว่าอาจารย์ได้สังหารลั่วฉางชิงแห่งสำนักหยุนไป เขาคนนั้นเป็นถึงหนึ่งในสามผู้คลั่งไคล้แห่งดาบ ชายคนนั้นถูกสังหารด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวยู่เฉิงไห่ก็ได้แต่ส่ายหัวอีกครั้ง “ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าแน่ใจแล้วหรอว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง?” แม้แต่ยู่เฉิงไห่ก็ยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่ว่าลั่วฉางชิงจะอ่อนแอสักแค่ไหนเขาก็ไม่ควรจะถูกฆ่าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“ข้าเองเห็นมันกับตาตัวเอง” สีวู่หยาตอบกลับมา
ยู่เฉิงไห่ที่ได้ฟังแบบนั้นขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “เจ้าเคยบอกว่าท่านอาจารย์เคยดูดซับพลังจากม่านพลังเพื่อรักษาพลังของตัวเองเอาไว้ พลังที่ว่าควรจะถูกใช้บนแท่นประลองดอกบัวจนหมดแล้วนิ แล้วเขาจะไปฆ่าลั่วฉางชิงได้ยังไงกัน?”
สีวู่หยาตอบกลับมา “นั่นคือสิ่งที่ข้าสงสัยเช่นกัน…บางทีท่านอาจารย์อาจจะค้นพบวิธีการที่เอาชนะขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ไปแล้วก็เป็นได้ หรือไม่เขาก็หาทางที่จะยื้ออายุขัยของตัวเองให้ยืดยาวได้มากกว่าเดิม”
เมื่อได้ยินแบบนั้นยู่เฉิงไห่ก็ได้โบกมือขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ “ขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นับตั้งแต่มีการฝึกฝนตนมา…นับตั้งแต่มนุษย์สามารถฝึกฝนบ่มเพาะตัวเองเมื่อหลายพันปีก่อน จะมีใครกันที่สามารถเอาชนะขีดจำกัดนี่ได้?”
“เอ่อ…”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะดูแคลนท่านอาจารย์หรอกนะ…แต่ถ้าหากดูจากคนรุ่นก่อน ไม่มีใครเลยที่สามารถไปถึงจุดนั้นได้” ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมา
“อย่าได้ลืมไปสิศิษย์พี่ คนรุ่นใหม่มักจะเหนือกว่าคนรุ่นก่อนเสมอ” สีวู่หยาได้โต้กลับมา ตัวเขาคิดต่างจากสิ่งที่ยู่เฉิงไห่คิด เพียงเพราะเรื่องในอดีตไม่อาจที่จะยืนยันความเป็นไปได้ทั้งหมดที่มีได้
“แล้วทำไมท่านอาจารย์ถึงได้จับศิษย์น้องรองกลับไปล่ะ?” ยู่เฉิงไห่ได้พูดเข้าเรื่องอีกครั้ง
สีวู่หยาเองก็ดูสับสนกับเรื่องนี้ “บางทีท่านอาจารย์อาจจะอยากที่จะสร้างศาลาปีศาจลอยฟ้ากลับมาใหม่ก็เป็นได้?”
“ถ้าหากเขาสามารถเอาชนะขีดจำกัดที่ยิ่งใหญ่ได้ ตัวเขาก็จะสามารถใช้พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ…ด้วยพลังระดับนั้นไหนเลยเขาจะต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นกัน?” ยู่เฉิงไห่ถามกลับมา
สีวู่หยาขมวดคิ้วก่อนที่จะนิ่งเงียบไป ตัวเขากำลังนึกภาพในตอนที่อยู่ในสำนักแห่งความบริสุทธิ์ ในตอนนั้นยู่เฉิงไห่ก็ไม่คิดที่จะเชื่อตัวเขาเช่นกัน และในครั้งนี้สีวู่หยาก็รู้ดีว่าผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ไม่คิดจะเชื่อตัวเขา ยังไงซะคนที่ดื้อรั้นก็ย่อมที่จะดื้อรั้นจนคำพูดลอยๆ ไม่อาจสั่นคลอนจิตใจได้ มันคงจะเป็นการดีกว่าที่จะหยุดโต้เถียงกับยู่เฉิงไห่
ในตอนนั้นเองไป่ยู่ชิงก็ได้เดินเข้ามาหาทั้งสามคน “สวัสดีท่านสีวู่หยา ท่านเจ้าสำนัก”
“มีอะไรกัน?” ยู่เฉิงไห่โบกมือของตัวเองอีกครั้ง
ไป่ยู่ชิงได้พูดออกมา “พวกเราได้ตรวจสอบซากรถม้าลอยฟ้าที่เหลืออยู่แล้ว ดูเหมือนว่ามันจะเป็นรถม้าของวิหารปีศาจ”
ฮั๊วจงหยางที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้กล่าวออกมาด้วยความสับสน “เร็นบู้ผิงก็ได้ตายไปแล้ว ดินแดนส่วนใหญ่ของวิหารปีศาจก็ถูกพวกเราชาวสำนักอเวย์จียึดครองไป ต้วนชิงในฐานะเจ้าสำนักคนใหม่ตั้งใจที่จะขยายกำลัง แล้วเหตุใดกันเขาถึงต้องอยู่กับท่านผู้อาวุโสด้วย?”
ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมาโดยที่ไม่ต้องรอฟังคำตอบกับสิ่งที่ไป่ยู่ชิงถาม “วิหารปีศาจที่เหลือเพียงแค่นั้นกล้าที่จะมายุ่งเรื่องนี้ได้ยังไงกัน”
“ท่านเจ้าสำนัก ข้ายินดีที่จะเป็นผู้นำ นำกำลังคนของพวกเราไปปราบพวกวิหารปีศาจที่เหลืออยู่เอง ในตอนนี้วิหารปีศาจไม่มีแม้แต่ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง…เจ้าพวกนั้นคงกำลังต่อสู้เพื่อต่อลมหายใจสุดท้ายก็เท่านั้น” ฮั๊วจงหยางเกือบที่จะพูดอะไรผิดไป
สีวู่หยาได้พูดขึ้น “มันสายไปแล้ว”
ยู่เฉิงไห่ที่ได้ฟังแบบนั้นตกตะลึง ตัวเขามองไปที่สีวู่หยาก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าคิดว่ายังไงบ้างศิษย์น้องเจ็ด ช่วยบอกพวกเราด้วย”
สีวู่หยาเองตกตะลึงเช่นกัน ตัวเขาไม่คิดมาก่อนว่าศิษย์พี่ใหญ่จะต้องการรับฟังความเห็นของเขามากถึงขนาดนี้
“เร็นบู้ผิงได้ตายไปแล้ว วิหารปีศาจไม่ใช่อะไรที่ต้องกลัวอีกต่อไป พวกเราไม่จำเป็นจะต้องเสียแรงเสียเวลาไปจัดการกับพวกวิหารปีศาจที่เหลืออยู่เลย มันไม่คุ้มค่ากับความพยายามที่จะต้องเสียไปหรอก นอกจากนี้มีความเป็นไปได้สูงที่ต้วนชิงพยายามช่วยอาจารย์ของพวกเราอยู่ ข้าว่าการจะไปยุ่งกับเจ้านั้นคงมีแต่เสียไม่คุ้มได้” สีวู่หยาได้อธิบายออกมา
ยู่เฉิงไห่ที่ได้ยินแบบนั้นหัวเราะก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าน่ะเป็นคนมีเหตุมีผลตลอดศิษย์น้องเจ็ด…ตอนนี้สำนักแห่งความบริสุทธิ์และสำนักเที่ยงธรรมถูกข้าทำลายไปแล้ว เจ้าคิดว่าใครกันที่ควรจะเป็นเป้าหมายต่อไป?”
สีวู่หยาเข้าใจแล้วว่าทำไมยู่เฉิงไห่จึงรู้สึกสนใจความเห็นของตัวเขามากถึงขนาดนี้ ดูเหมือนว่ายู่เฉิงไห่ต้องการที่จะถามคำถามนี้กับตัวเขาซะมากกว่า “สำนักอเวย์จีได้เติบโตอย่างรวดเร็ว ข้าคิดว่าเรื่องนี้ทางพระราชสำนักจะต้องรู้สึกสนใจแน่ องค์ชายสี่หลิวปิงได้กลับไปที่พระราชสำนักพร้อมกับได้รับอำนาจควบคุมทหารไปเป็นที่เรียบร้อย เหวยซูหยานเองก็ยังอยู่ที่เขตพรมแดน…ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านจะต้องระวังให้ได้”
ยู่เฉิงไห่ตะคอกกลับมา “เจ้าพวกนั้นต้องการที่จะจัดการข้าอย่างงั้นหรอ?”
“ข้าก็แค่คาดเดาเท่านั้น…แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ยังมีคนสำคัญอีกคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อไม่นานมาแล้ว คนคนนั้นจะต้องเบี่ยงความสนใจของพวกพระราชสำนักได้แน่” สีวู่หยาพูดขึ้น
“คนคนนั้นเป็นใครกัน?”
“องค์ชายสามแห่งราชวงศ์ เจียงอาเฉียนยังไงล่ะ!” สีวู่หยาได้ตอบกลับมา
ณ เชิงเขาของภูเขาทอง
หมิงซี่หยินได้พาคนอื่นๆ มาถึงเชิงเขาแล้ว ตัวเขาหันกลับมามองเจียงอาเฉียนก่อนที่จะพูดออกมา “หยุดยืนอยู่ตรงนั้นแหละ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้ามาที่นี่”
เจียงอาเฉียนกลอกตามองบน ตัวเขาเดินไปข้างหมิงซี่หยินก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันสงบเยือกเย็น “พี่ชาย ข้าถือว่าพวกเรากลายเป็นสหายที่ร่วมต่อสู้เคียงข้างกันมาอย่างใกล้ชิด…ท่านผู้อาวุโสจะต้องไม่ถือสาเรื่องนี้แน่ เอาไว้ให้ข้าพูดกับท่านผู้อาวุโสเอง”
“ไม่” หมิงซี่หยินได้พุ่งไปที่ด้านหน้า ตัวเขาพูดออกมาอย่างดูแคลน “อยู่ให้ห่างๆ ข้า ใครกันที่เป็นสหายของเจ้า”
จ้าวยู่และหยวนเอ๋อต่างก็พูดไม่ออกกับการแสดงออกของหมิงซี่หยิน
เจียงอาเฉียนเดินไปหาจ้าวยู่ก่อนที่จะพูดออกมา “จ้าวยู่ ยังไงซะพวกเราก็ถือว่ามาจากครอบครัวเดียวกัน…ข้าน่ะเป็นเหมือนกับพี่ชายของเจ้า”
“หลีกทางไปซะ” จ้าวยู่ได้พูดออกมาอย่างนุ่มนวล แต่ถึงแบบนั้นนางก็ไม่ได้เคารพอะไรเจียงอาเฉียน
เจียงอาเฉียนที่ไม่ได้รับมิตรภาพกลับมาได้แต่ทำหน้ามุ่ยก่อนที่จะเกาหัว ‘ข้าทำอะไรผิดไปกัน?’
หมิงซี่หยินหยุดเดินก่อนที่จะพูดออกมา “มาได้แล้ว หยุดพูดเรื่องไร้สาระสักที”
“ท่านพูดถูกล่ะพี่หมิง!” เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม ตัวเขาเลือกที่จะมายังภูเขาทองเป็นเพราะว่าเจียงอาเฉียนได้ก่อปัญหาขึ้นมา ทุกๆ คนที่อยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้รู้กันแล้วว่าองค์ชายสองหลิวหยวนได้สิ้นพระชนม์ไปในหมู่บ้านฤดูร้อนแล้ว
เมื่อพวกเขาทุกคนเดินทางมาถึงหน้าประตูศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนนั้นมีสาวกหญิงทั้งสองก็ได้เดินมาทักทายพวกเขา “ยินดีต้อนรับค่ะท่านหมิงซี่หยิน, ท่านจ้าวยู่, ท่านหยวนเอ๋อ…” หมิงซี่หยินพยักหน้าตอบรับก่อนที่จะถามออกมา “ท่านอาจารย์อยู่ไหนกัน?”
“ท่านอาจารย์กำลังพักผ่อนอยู่ค่ะ”
มีสาวกหญิงอีกคนหนึ่งได้พูดออกมา “ท่านศิษย์คนที่สองได้กลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหมิงซี่หยิน, จ้าวยู่ และหยวนเอ๋อต่างก็ตื่นตกใจ
“กลับมาอีกแล้วอย่างงั้นหรอ?”
สาวกหญิงคนนั้นตกใจกับสิ่งที่หมิงซี่หยินถาม ดูเหมือนว่าเขากำลังเข้าใจผิด นางได้พูดออกมาอีกครั้ง “ท่านศิษย์คนที่สองถูกจับกลับมาแล้วค่ะ”
“คนทรยศนั่นจะมีสีหน้าเป็นยังไงกัน? เขาอยู่ที่ไหนซะแล้วล่ะ?”
“เขากำลังอยู่ในถ้ำแห่งเงาสะท้อน”
“เอาไว้ข้าจะไปสั่งสอนเจ้าคนทรยศนั่นทีหลังเอง!” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
ในตอนนั้นก็มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นมาก่อนที่จะพูดจากระยะไกล “ท่านอาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้ท่านหมิงซี่หยิน ท่านปรมาจารย์ได้ตามไล่ล่าศิษย์คนที่สองไปกว่าหลายพันไมล์เพื่อไปยังป่าเมฆากระจ่าง ท่านปรมาจารย์ได้ลงมือสังหารหนึ่งในสามผู้คลั่งไคล้แห่งดาบอย่างลั่วฉางชิงก่อนที่จะจับศิษย์คนที่สองกลับมาในที่สุด”
หมิงซี่หยินมองไปที่ใครคนนั้นก่อนที่จะถามออกมา “แล้วเจ้าเป็นใครกัน?”
“ข้าต้วนชิงจากวิหารปีศาจขอทักทายทุกคน…ข้าได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในป่าเมฆากระจ่าง นั่นนับว่าเป็นการต่อสู้ที่น่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าข้าจะตายไปข้าก็จะไม่มีวันลืมการต่อสู้ครั้งนั้นได้เลย” ต้วนชิงได้พูดออกมา