ยู่ฉางตงไม่เคยเห็นผู้ที่เป็นอาจารย์ของตัวเองก้มหัวให้กับใครมาก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายปีอาจารย์ของเขาถือว่าเป็นผู้ที่สูงส่งที่สุดแล้ว เขามักจะชอบดูถูกสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อ่อนแอมากกว่าตัวเอง…แล้วเหตุใดทำไมอาจารย์ถึงต้องพูดเช่นนั้น? คำพูดของลู่โจวทำให้ยู่ฉางตงตกใจอย่างไม่ทันตั้งตัว ตัวเขารีบย่อตัวคุกเข่าลงในทันทีก่อนที่จะคารวะลู่โจวกลับ สายตาของเขาจับจ้องไปที่พื้น แม้ว่ายู่ฉางตงจะรู้สึกภาคภูมิใจมากที่ผู้เป็นอาจารย์คารวะตัวเขา แต่ถึงแบบนั้นในฐานะที่ตัวเองเป็นศิษย์ยู่ฉางตงก็ไม่อาจที่จะรับการคารวะได้เลย
ลู่โจวยังคงนิ่ง ไม่ขยับไปไหน ตัวเขามองไปที่ยู่ฉางตงที่คุกเข่าลงบนพื้นข้างเดียว ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้ลูบเคราก่อนที่จะพูดออกมา “บางครั้งความหยิ่งยโสที่เกินความจำเป็นก็มีแต่จะทำร้ายเจ้า”
“เป็นธรรมชาติที่ดาบจะต้องเยือกเย็นและเย่อหยิ่ง” ยู่ฉางตงตอบกลับมา ดวงตาของเขายังคงจ้องมองไปที่พื้น
“ความมั่นใจเกินเหตุก็ไม่ต่างอะไรกับการประมาท มันเป็นความคิดที่จะมีแต่ทำให้ดวงตาของเจ้ามืดบอด เจ้าคิดว่าทักษะดาบที่เจ้ามีไม่มีใครเทียบเคียงได้จริงๆ อย่างงั้นหรอ?” ลู่โจวได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
“ข้าไม่กล้าแอบอ้างเช่นนั้น” ยู่ฉางตงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“ไม่ เจ้ากล้าพออยู่แล้ว” ลู่โจวขึ้นเสียง
เมื่อลู่โจวขึ้นเสียง หัวใจของยู่ฉางตงก็เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่มีใครในที่แห่งนี้ที่จะกล้าส่งเสียงดังออกมา ทุกๆ คนต่างก็คิดสงสัยว่าปรมาจารย์คนนี้จะสั่งสอนศิษย์คนนี้ได้อย่างไร พวกเขาอยากจะรู้จริงๆ ว่าวิธีการฝึกอบรมผู้ใช้ดาบอัจฉริยะผู้นี้มันเป็นยังไงกันแน่
“ข้าไม่กล้า” ยู่ฉางตงตอบกลับมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาอีกครั้ง
“ยืนขึ้นและพูดซะ”
ยู่ฉางตงตกตะลึงอีกครั้ง ถ้าหากตัดสินจากอารมณ์ของผู้เป็นอาจารย์ก่อนหน้านี้ ตัวเขาก็คงจะต้องได้รับการลงโทษสถานหนักแน่ ทำไมอาจารย์ของตัวเขาถึงได้เปลี่ยนใจไปอย่างกะทันหันกัน? ทันใดนั้นเองยู่ฉางตงก็นึกถึงสิ่งที่ศิษย์น้องเจ็ดของตัวเองได้พูดเอาไว้ ในตอนนี้ตัวเขามีคำถามนับร้อยผุดขึ้นมาในใจ สุดท้ายยู่ฉางตงก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
ลู่โจวได้พูดขึ้นต่อ “เอาดาบมาให้ข้า” ลู่โจวได้ยื่นมือขวาของตัวเองออกไป ตัวเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้อาวุธนิรนาม ลู่โจวตั้งใจที่จะรอรับดาบนั่นเอง
ทุกๆ คนที่ยืนมองเหตุการณ์ต่างก็สบตากัน โจวจี้เฟิงเป็นผู้ฝึกยุทธเพียงคนเดียวที่ใช้ดาบ การที่ลู่โจวขอดาบแสดงว่าเขาจะต้องขอดาบจากโจวจี้เฟิงแน่ โจวจี้เฟิงรีบชักดาบออกมาก่อนที่จะยื่นให้กับมือของลู่โจว
ลู่โจวยกดาบเล่มนั้นขึ้น แสงของดวงอาทิตย์ได้ส่องกระทบเข้ากับใบดาบ
“ถ้าหากเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์ ข้าก็อยากจะเห็นจริงๆ ว่าเจ้าจะพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นศิษย์ข้าได้ยังไงกัน?”
ยู่ฉางตงที่ฟังแบบนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตัวเขาไม่กล้าที่จะถอดดาบยืนยาวออกจากฝักแม้แต่น้อย
เมื่อลู่โจวยังเห็นยู่ฉางตงยังคงนิ่งอยู่ ตัวเขาก็ได้กู่ร้องออกมาก่อนที่จะใช้ดาบที่มีเสียบแทงไปที่ด้านหน้า การโจมตีครั้งนี้ไม่ได้ใช้พลังลมปราณแม้แต่อย่างใด มีเพียงการใช้ทักษะดาบที่รวดเร็วเท่านั้นที่ถูกใช้ออกไป บางทีอาจเป็นเพราะวัสดุที่ใช้ในการสร้างดาบยังไม่ดีพอ เพราะแบบนั้นที่ใบดาบจึงดูเปราะบางขึ้นมาในทันทีที่ลู่โจวใช้มัน แม้ว่ามันจะเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ใช้พลังลมปราณแต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังดูซับซ้อนและยากเกินกว่าที่จะคาดเดาได้
สีหน้าของยู่ฉางตงดูจริงจังขึ้นมา แม้ว่าตัวเขาจะดูถูกทุกๆ คนมาโดยตลอดแต่ตัวเขาก็ไม่กล้าที่จะดูถูกผู้ที่เป็นอาจารย์คนนี้เลย ตัวเขาจำได้ดีว่าการเคลื่อนไหวของผู้ที่เป็นอาจารย์มันคือการเคลื่อนไหวอะไร มันเป็นทักษะที่มาจากเทคนิคดาบกุยหยวน มันเป็นเทคนิคที่ยู่ฉางตงถนัดเป็นที่สุด
ต้องถอย! ถอยเร็ว! ยู่ฉางตงได้เอื้อมมือไปหาดาบยืนยาวก่อนที่จะกวัดแกว่งมันออกมา มีเพียงผลลัพธ์ความเป็นไปได้เดียวเท่านั้นที่เกินจากการปะทะกันระหว่างอาวุธระดับสรวงสวรรค์และอาวุธที่มีระดับน้อยกว่า
แคล๊ง!
ดาบของลู่โจวได้สั่นดาบตัวเองก่อนที่จะหลบดาบยืนยาวของยู่ฉางตงในมุมที่คาดไม่ถึงไปได้ ลู่โจวได้ปล่อยมือออกจากดาบก่อนที่จะปล่อยมันให้บินไป
พรึ๊บ!
ดาบเล่มนั้นได้เสียบแทงไปที่ผนังที่อยู่ด้านหลังของยู่ฉางตง มันเป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างจากคอของเขาเพียงแค่ครึ่งนิ้วเท่านั้น ผู้ที่เป็นอาจารย์ของเขาใช้กระบวนท่านี้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้นก็สามารถเอาชนะยู่ฉางตงได้
กระบวนท่าทั้งหมดถูกใช้ออกมาเพียงไม่กี่อึดใจ แต่ถึงแบบนั้นทั้งขนาดและความรุนแรงของมันก็อยู่เกินกว่าที่จะจินตนาการได้
ยู่ฉางตงไม่อาจที่จะยอมรับเรื่องนี้ได้ นิ้วของเขายังคงกระชับอยู่รอบดาบยืนยาว
การเอาชนะยู่ฉางตงด้วยดาบ นั่นก็คือการทำลายความภาคภูมิใจของยู่ฉางตงทั้งหมด ไม่มีอะไรที่จะได้ผลไปมากกว่านี้ นี่คือสิ่งที่ลู่โจวเล็งมาโดยตลอด
ฮั๊ววู่เด๋าได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมา “ในแง่ของประสบการณ์ดูเหมือนว่าท่านปรมาจารย์จะมีมันมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ในแง่ของการใช้ทักษะเองท่านปรมาจารย์ก็อยู่เหนือกว่าเช่นกัน ท่านศิษย์คนที่สองพึ่งพาดาบยืนยาวมากจนเกินไป เขาคงจะมั่นใจมากกว่าจะต้องทำลายอาวุธของอีกฝ่ายได้ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาคิดผิดไป…”
เล้งลั่วพูดขึ้น “นั่นไม่ใช่ทั้งหมดแน่ แม้ว่าเราจะสามารถเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีให้กับดาบได้ แต่ยังไงซะดาบก็ไม่ใช่อาวุธที่ดีที่สุดอยู่ดี…อาวุธที่ดีที่สุดจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาสำหรับการใช้ ไม่ว่าจะเป็นกระบี่หรืออาวุธลับก็ตามที”
ลู่โจวได้ใช้ดาบอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในตอนที่จู่โจมเป็นครั้งสุดท้าย ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่มักจะฝึกฝนการควบคุมอาวุธโดยใช้พลังลมปราณ ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ได้ อันที่จริงแล้วยู่ฉางตงมีประสบการณ์การต่อสู้มาแล้วนับไม่ถ้วน ตัวเขาได้เผชิญหน้ากับการต่อสู้เฉียดเป็นเฉียดตายจนแทบที่จะนับครั้งไม่ได้ แต่ถึงแบบนั้นยู่ฉางตงก็ไม่เคยพบกับการต่อสู้เช่นนี้มาก่อน เป็นเรื่องปกติที่ตัวเขาจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป
หลังจากที่เอาชนะยู่ฉางตงได้ลู่โจวก็เอามือไขว้หลังก่อนที่จะถามออกมาอีกครั้ง “นั่นมันเป็นวิถีดาบของเจ้าจริงๆ อย่างงั้นสินะ?”
ยู่ฉางตงไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ตัวเขารู้สึกว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ของลู่โจวเต็มไปด้วยช่องว่าง ตัวเขามีวิธีการกว่าหลายร้อยหลายพันวิธีที่จะปัดป้องการโจมตี แต่ถึงแบบนั้นยู่ฉางตงกลับเลือกวิธีที่โง่ที่สุด ตัวเขารู้ดีว่าจะพ่ายแพ้แต่ถึงแบบนั้นยู่ฉางตงก็ไม่คิดว่าจะพ่ายแพ้ง่ายๆ แบบนี้ อาจารย์ของตัวเขาอายุมากขึ้นแล้ว สิ่งที่ตัวเขาใช้นั่นก็คืออาวุธลับ แต่ถึงแบบนั้นด้วยอาวุธลับเพียงชิ้นเดียวก็สามารถเอาชนะยู่ฉางตงที่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนานได้ แม้ว่าในตอนนี้ตัวเขาจะมีดาบยืนยาวที่มีความสัมพันธ์กับยู่ฉางตงจนถึงขีดสุดแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะยังไงทักษะที่ลู่โจวก็มียังนับว่าเหนือกว่าตัวยู่ฉางตงอยู่ดี
ซู่ฮ่องกงได้พูดออกมาอย่างตื่นเต้น “ทักษะที่ท่านอาจารย์มีไม่มีใครเทียบเคียงได้จริงๆ ทักษะของท่านไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปีก็ยัง…” ก่อนที่จะพูดจบซู่ฮ่องกงก็สัมผัสได้ถึงสายตาของฝูงชนที่กำลังจับจ้องมาที่ตัวเขาได้ สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
ยู่ฉางตงได้คารวะให้ก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านพูดถูกแล้วท่านอาจารย์”
“ติ้ง! ชี้แนะยู่ฉางตง ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 500”
รางวัลที่ได้มาจากการสั่งสอนยู่ฉางตงสูงกว่าการสั่งสอนศิษย์คนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
ลู่โจวไม่สามารถตำหนิอะไรระบบได้ ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะว่ายู่ฉางตงรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากไป ตัวเขาได้จ้องมองดาบยืนยาวก่อนที่จะถามออกมา “เมื่อไหร่กันที่เจ้าฝึกฝนตัวเองจนมีอวตารดอกบัวแปดกลีบได้?”
“ข้าจำไม่ได้” ยู่ฉางตงพยายามใช้ความคิดอีกพักก่อนที่จะตอบกลับมา “คงจะเกือบศตวรรษแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนต่างก็ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ยู่ฉางตงยังคงดูเด็กจนเกินไป ทุกๆ คนต่างก็รู้สึกทั้งอิจฉาและชื่นชมชายคนนี้ หลังจากนั้นทุกคนก็หันไปมองผู้อาวุโสแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า
แค่ก!
การเปรียบเทียบผู้อื่นกับตัวเองมักจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอๆ ฮั๊ววู่เด๋าเองก็เป็นเช่นกัน ตัวเขาเป็นผู้ที่รู้สึกละอายใจมากที่สุดแล้ว ในแง่ของรูปลักษณ์ฮั๊ววู่เด๋าดูแก่กว่าเล้งลั่วและฝานลี่เทียนมาก แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็มีพลังอวตารอยู่ที่เจ็ดกลีบเท่านั้น การจะบรรลุไปถึงดอกบัวแปดกลีบได้คงจะยากเกินไปในตอนนี้
ทุกๆ คนที่อยู่ในโลกภายนอกต่างก็พูดกันว่าศิษย์ทั้งเก้าของศาลาปีศาจลอยฟ้าเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ ดูเหมือนว่าสิ่งที่พูดกันจะเป็นเรื่องจริง เมื่อนึกถึงศิษย์คนที่เก้าอย่างหยวนเอ๋อเอง สาวน้อยคนนี้ก็มีแต่ความประหลาด นางเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าเมื่อหกปีที่แล้ว แต่ถึงแบบนั้นนางก็ใช้เวลาไม่นานในการฝึกฝนตัวเองก่อนที่จะอยู่เหนือกว่าศิษย์รุ่นพี่ของนางไปได้ การที่นางจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คงจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรอีกต่อไป
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะมองยู่ฉางตง “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ฝึกฝนไปที่ขั้นเก้าซะล่ะ?” หลังจากที่ได้คิดอย่างถี่ถ้วนลู่โจวก็ได้ถามคำถามนี้ออกมา
ด้วยพรสวรรค์ที่ยู่ฉางตงมี เมื่อเวลาผ่านไปอีก 100 ปีตัวเขาจะต้องฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้แน่
ยู่ฉางตงตอบกลับมา “ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่” ลู่โจวจำคำพูดของหยวนดู่ได้ดี ‘ยู่ฉางตงกับยู่เฉิงไห่ต่างก็เป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ บางทีพวกเขาทั้งคู่อาจจะตัดสินใจในแบบเดียวกันก็เป็นได้’
การตายของจิงหยานแม่ชีจากวิหารเมฆาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าการจะฝึกฝนตัวเองไปขั้นที่เก้าไม่ใช่ผลดี
“การฝึกฝนตัวเองเพื่อให้ได้พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบมันจะเป็นการสูบชีวิตของผู้ฝึกไป…เจ้าจงใจที่จะคงพลังของตัวเองเอาไว้เหมือนกับยู่เฉิงไห่อย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวจ้องไปที่ยู่ฉางตง
เมื่อยู่ฉางตงได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็ได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถข้ามผ่านขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่นี้ไปได้ พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามที่ถูกกำหนดมาแล้ว ตัวข้ารู้เรื่องนี้ดีตั้งแต่ที่ข้าอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้…ท่านอาจารย์ทำไมท่านยังจะต้องฝ่าฝืนสิ่งนี้อย่างดื้อรั้นด้วยล่ะ?”
ทุกๆ คนต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น
ลู่โจวเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าตัวเองมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่สำหรับคนอื่นๆ ลู่โจวเป็นยอดฝีมือที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบขั้นสูงสุด มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ลู่โจวจะพยายามเอาชนะขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่นี้ไป! คำพูดของยู่ฉางตง…ฟังดูเหมือนศิษย์ที่พยายามจะห้ามปรามผู้เป็นอาจารย์ไม่ให้เดินทางผิด
ลู่โจวขมวดคิ้วก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าเคยขอความเห็นกับเจ้าอย่างงั้นหรอ?”
“ศิษย์ไม่กล้า!” ยู่ฉางตงได้พูดว่าตัวเองเป็นศิษย์อีกครั้ง
“ใครก็ได้” ลู่โจวได้พูดออกมา
ฝานซงและโจวจี้เฟิงได้ก้าวออกไปที่ด้านหน้า
“เก็บดาบยืนยาวไปซะ!” ลู่โจวสั่งการต่อ
ฝานซงและโจวจี้เฟิงที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก จากผู้คนทั้งหมดที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ทั้งสองคนถือว่ามีสถานะที่ต่ำเตี้ยมากที่สุดแล้ว อีกทั้งพวกเขายังเด็กมากที่สุดแล้วด้วย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาทั้งคู่จะต้องทำภารกิจที่ดูน่ากลัวแบบนี้ การสั่งให้พวกเขาทั้งคู่ยึดดาบสุดรักของยู่ฉางตงมา…นี่มันก็เหมือนกับการสั่งให้พวกเขาไปตายเลยไม่ใช่หรอไงกัน?