ฮั๊ววู่เด๋าสั่นไปทั้งตัวในช่วงเวลาสั้นๆ ทุกคนสังเกตเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของเขา นี่มันสีหน้าของผู้ที่รับการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียวอย่างงั้นหรอ?
ยู่ฉางตงยืนอยู่บนเสาต้นเดิมก่อนที่จะจ้องมองลงไปที่ฮั๊ววู่เด๋า “งั้นก็ดูให้ดี”
ชิ๊ง! พลังลมปราณของยู่ฉางตงพลุ่งพล่าน มันได้เอ่อล้นออกมาหลังจากที่ดาบยืนยาวถูกชักออกมาจากฝัก แม้ว่าพลังจากดาบยืนยาวจะหายไปแล้วก็ตาม แต่ลักษณะเฉพาะที่ดาบมีก็ยังสามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนที่ได้พบเห็นอยู่ดี
ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปที่ยู่ฉางตง
ยู่ฉางตงในตอนนี้กำลังใช้พลังลมปราณใส่ไปที่ดาบของตัวเอง ในตอนนั้นดาบพลังงานก็เริ่มปรากฏขึ้นมา ร่างของเขากำลังจะเลือนหายไปในม่านหมอก ร่างของยู่ฉางพร่ามัวจนทำให้ทุกคนเห็นรางของเขาถึงสามร่างด้วยกัน
ดวงตาของฮั๊ววู่เด๋าเบิกกว้าง เมื่อเห็นแบบนั้นตัวเขาก็หลอมรวมพลังทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียว ในอีกด้านดาบยืนยาวในตอนนี้เตรียมพร้อมที่จะจู่โจมเต็มที่แล้ว
ยู่ฉางตงได้บังคับดาบยืนยาวก่อนที่จะโจมตีไปที่พลังผนึกตราประทับทั้งหกจากในระยะไกล
ฮั๊ววู่เด๋ารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา ตัวเขาที่เคยประลองกับต้วนมู่เฉิงในทุกๆ วันไม่เคยที่จะรู้สึกแบบนี้มาก่อน แม้ว่าจะไม่เคยพ่ายแพ้ในการต่อสู้เลยแต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ต้องทนรับพลังการโจมตีโดยที่สภาพไม่สู้ดีเท่าไหร่ แต่เมื่อได้ประลองกับยู่ฉางตง ตัวเขาไม่คาดคิดเลยว่าความแข็งแกร่งที่ยู่ฉางตงมีจะมากกว่าต้วนมู่เฉิงหลายเท่าแบบนี้ ฮั๊ววู่เด๋ารู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
ชิ๊ง!
ยู่ฉางตงเรียกดาบยืนยาวกลับมาเข้าฝักก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่จำเป็นจะต้องอับอายไป ดาบยืนยาวอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว มันได้ฝ่าฟันเขตแดนพลังรวมไปถึงม่านพลังป้องกันมานับไม่ถ้วนแล้ว”
“…” นี่เป็นวิธีที่ยู่ฉางตงใช้ปลอบใจผู้อื่นอย่างงั้นสินะ?
ฮั๊ววู่เด๋าได้คลายพลังผนึกตราประทับหกของตัวเองก่อนที่จะเดินโซเซไปที่ด้านหลัง
ฝานลี่เทียนและเล้งลั่วที่เฝ้ามองดูการต่อสู้จากในระยะไกลได้แต่ส่ายหัว
“เล้งลั่ว เจ้าเป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบเหมือนกัน ทำไมเจ้าไม่ลองไปประลองกับศิษย์คนที่สองดูล่ะ?” ฝานลี่เทียนได้ถามออกมาอย่างเหน็บแนม
“ข้ายังไม่ได้ฟื้นฟูพลังวรยุทธทั้งหมดที่เคยมีมา เอาไว้ข้าจะขอประลองกับเขาในวันอื่นจะดีกว่า…แต่เจ้าที่ได้รับพลังวิเศษจากดอกแมกโนเลียสีดำมาน่าจะฟื้นฟูพลังได้เร็วกว่าข้าแท้ๆ ทำไมเจ้าไม่ลองท้าประลองดูล่ะ” เล้งลั่วได้โต้กลับมา
“ข้าเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าวางเหล้าศตวรรษเอาไว้ที่ห้องน่ะ…เล้งลั่ว เจ้าสนใจที่จะดื่มไหมล่ะ?”
“นั่นเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม”
ทั้งสองที่เหมือนจะตกลงกันได้เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ฮั๊วยู่จิงรีบเข้ามาพยุงฮั๊ววู่เด๋า
ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดออกมา “ข้าไม่เป็นไร…ขอบคุณสำหรับบทเรียนจริงๆ ท่านศิษย์คนรอง”
หมิงซี่หยินเดินแซงเหลูฝูงชนไปก่อนที่จะมองหน้าฮั๊ววู่เด๋าอย่างรู้ทัน “ผู้อาวุโสฮั๊ว ท่านไม่ควรที่จะสร้างปมในใจเพิ่มนะ นั่นมันเคล็ดวิชาที่สร้างชื่อให้กับศิษย์พี่รองของข้า มันเป็นวิชาดาบกุยหยวนหนึ่งร่างสามดวงวิญญาณ เป็นเรื่องน่ายกย่องแล้วที่ท่านกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมันน่ะ”
เมื่อฮั๊ววู่เด๋ามองไปรอบตัว ตัวเขาก็ไม่เห็นเล้งลั่วและฝานลี่เทียนอีกต่อไป ตัวเขารู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้นที่เหล่าผู้อาวุโสไม่ได้เห็นความอัปยศอดสูของเขาในวันนี้
ยู่ฉางตงได้พูดออกมาอีกครั้ง “เนื่องจากท่านเป็นหนึ่งในสมาชิกของศาลาปีศาจลอยฟ้า ข้ายินดีที่จะมอบบทเรียนทุกอย่างที่ท่านต้องการแน่นอน”
“มีอะไรอยากให้ข้าชี้แนะอีกไหม” ยู่ฉางตงได้ถามออกมาเบาๆ
สิ่งที่ยู่ฉางตงพูดออกมาเต็มไปด้วยความปรารถนาดี ตัวเขาเต็มใจที่จะสอนทุกอย่างที่รู้ให้กับทุกคน แต่คำพูดของเขาที่ได้พูดออกมามันฟังดูผิดไป
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็รีบชี้ไปที่ต้วนมู่เฉิง “ศิษย์พี่สาม!”
ต้วนมู่เฉิงรีบยกหอกราชันย์ขึ้นมาก่อนที่จะพุ่งออกมาจากฝูงชน ตัวเขาได้คว้าคอของหมิงซี่หยินเอาไว้ก่อนที่จะพูดออกมา “ไหนเจ้าสัญญาแล้วไงว่าเจ้าจะประลองกับข้า! เจ้าจะผิดสัญญาของเจ้าอย่างงั้นสินะศิษย์น้อง?”
“เอ่อ…ไม่ ข้าไม่กล้า…” ต้วนมู่เฉิงได้ลากตัวของหมิงซี่หยินก่อนที่จะออกไปจากศาลาทางใต้
“ศิษย์พี่…ได้โปรดช้าลงหน่อย ศิษย์พี่!”
ทุกๆ คนที่เห็นแบบนั้นต่างก็พูดไม่ออก
ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ปรากฏตัวขึ้นมาที่ศาลาทางใต้ “สวัสดียามเช้าศิษย์พี่รอง”
“สวัสดีศิษย์น้องเล็ก”
“ท่านอาจารย์อยากเจอท่าน”
“ได้เลย”
ภายในห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า
ลู่โจวได้วางพู่กันที่ถืออยู่ลงบนด้านข้าง ตัวเขามองไปที่ชื่อที่เพิ่งจะเขียนออกมาก่อนที่จะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ในตอนนั้นยู่ฉางตง, หยวนเอ๋อ, ฝานซงและคนอื่นๆ ก็เข้ามาถึงห้องโถงใหญ่
“สวัสดีครับ/ค่ะ ท่านอาจารย์”
“สวัสดีครับ/ค่ะ ท่านปรมาจารย์”
ลู่โจวมองไปที่ยู่ฉางตงก่อนที่จะพูดออกมา
“การฝึกซ้อมเป็นยังไงบ้าง?”
ยู่ฉางตงตอบกลับไป “ข้าเอาชนะได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว” เมื่อได้ยินแบบนั้นช่วงเวลาที่หายไปนานของศาลาปีศาจลอยฟ้าก็เหมือนจะกลับมาอีกครั้ง มันเป็นเหมือนกับช่วงเวลาที่เหล่าสาวกจะฝึกฝนและเรียนรู้ตัวเองในที่แห่งนี้นั่นเอง ในช่วงเวลานั้นยู่ฉางตงจะใช้เพียงแค่ดาบไม้เท่านั้น แต่มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการฝึกซ้อมของเหล่ายอดฝีมือ ท้ายที่สุดแล้วยู่ฉางตงก็มักจะชอบพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจที่ได้เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ลู่โจวพูดต่อ “ผู้อาวุโสฮั๊วยังคงมีอัตตาอยู่กับตัว ในครั้งต่อไปทำให้เขาได้พ่ายแพ้ในตอนที่ใช้หลายกระบวนท่าก็แล้วกัน”
ทุกๆ คนที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็นิ่งเงียบ
ยู่ฉางตงพยักหน้า “ครับท่านอาจารย์” ฮั๊ววู่เด๋าถือว่าเป็นเสาหลักของศาลาปีศาจลอยฟ้า การที่ตัวเขาถูกความพ่ายแพ้เหยียบย่ำมันจะทำให้ความภาคภูมิใจของเขาต้องลดลงไป นั่นจะต้องกลายเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่สำหรับการฝึกยุทธของเขาแน่
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้โบกมือของตัวเอง กระดาษบนโต๊ะได้ลอยไปหายู่ฉางตง ยู่ฉางตงรีบคว้ากระดาษเอาไว้อย่างรวดเร็ว ตัวเขาได้ตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดคร่าวๆ ก่อนที่จะเข้าใจทุกอย่าง ลู่โจวได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้ามีภารกิจสองอย่างที่จะมอบหมายให้กับเจ้า…เจ้าเต็มใจที่จะทำมันหรือไม่?”
ยู่ฉางตงได้ตอบออกมาโดยไม่ลังเล “ข้าจะทำตามที่ท่านอาจารย์สั่งทุกอย่าง”
“ดีมาก” ลู่โจวเดินลงบันไดก่อนที่จะเดินไปหายู่ฉางตง “ชื่อทั้งหมดที่ข้าส่งไป…อย่าปล่อยให้ใครได้มีชีวิต” เสียงของลู่โจวไม่ได้เร็วหรือช้าเกินไป และมันก็ไม่ได้ฟังดูนุ่มนวลหรือว่าหยาบกร้านอีกด้วย
คำพูดทุกคนได้ลอยถึงหูของทุกคนอย่างชัดเจน ทุกๆ คนได้แต่สูดหายใจเข้าไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าทุกคนจะไม่มีชื่ออยู่ในกระดาษแต่นั่นก็ไม่สำคัญอะไร ทุกคนรู้ดีว่าผู้ที่มีรายชื่ออยู่ที่กระดาษแผ่นนั้นเมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือของดาบปีศาจแล้วคงจะไม่มีใครรอดกลับมาได้แน่
นี่คือความแข็งแกร่งของศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นสินะ?
ยู่ฉางตงจ้องมองไปที่รายชื่อที่ได้รับมา “อ่อนแอ” ทุกคนที่มีรายชื่ออยู่ในนั้นล้วนแต่อ่อนแอ ก่อนหน้านี้ยู่ฉางตงไม่คิดที่จะชายตามองคนพวกนี้ซะด้วยซ้ำ บางทีตัวเขาอาจจะรู้สึกว่าภารกิจยังไม่ท้าทายมากพอ ยู่ฉางตงได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์ได้โปรดเพิ่มรายชื่อให้ข้าเถอะ”
ทุกๆ คนที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็พูดไม่ออก
ลู่โจวได้ตอบกลับอย่างไร้ความปรานี “ได้”
ยู่ฉางตงนำกระดาษไปบนโต๊ะก่อนที่จะเพิ่มรายชื่อในนั้น หลังจากนั้นครู่หนึ่งภายในกระดาษที่เคยว่างเปล่าก็เต็มไปด้วยรายชื่อ หลังจากนั้นยู่ฉางตงก็ได้ส่งกระดาษแผ่นเดิมให้กับมืออของลู่โจวด้วยมือท่านสองข้าง “ท่านอาจารย์ได้โปรดดูด้วย”
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้น ถ้าหากเจ้าฆ่าเจ้าพวกนั้นได้ เจ้าก็ฆ่าเจ้าพวกนั้นไปซะ” ลู่โจวได้แสดงความไว้วางใจยู่ฉางตงออกมา ท้ายที่สุดแล้วการไม่ไว้ใจศิษย์ของตัวเองตัวเขาเองก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร
คนอื่นๆ ต่างนิ่งเงียบ
ฝานซง, โจวจี้เฟิงและคนอื่นๆ กำลังรู้สึกเหมือนกับโลกกำลังจะแตก
ในทางกลับกันหยวนเอ๋อรู้สึกอยากรู้อยากเห็นจนตัวสั่น นางได้เดินไปหายู่ฉางตงก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์พี่ ให้ข้าได้ดูด้วยเถอะ”
“อืม” ยู่ฉางตงไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร ตัวเขาได้ส่งกระดาษให้กับหยวนเอ๋ฮไป หยวนเอ๋อที่หยิบกระดาษขึ้นมาได้อ่านออกเสียงขึ้น “เจ้าสำนักเที่ยงธรรม, จางหยวนฉาน เจ้าสำนักต้วนหลิน, ฉางเจียน เจ้าสำนักเซียนสวรรค์, จางเด๋ารัน ผู้อาวุโสจากสำนักเฮ้งชู, เล๋าฉางจิน เจ้าอาวาสวิหารแห่งความโชคดี, เมาเฉิน ฮู่เชินเด๋าจากสำนักดวงดาวทั้งเจ็ด…”
ทุกๆ ครั้งที่มีการเอ่ยชื่อ หัวใจของทุกๆ คนที่ได้ฟังก็เต้นรัว ชื่อของทุกคนที่ถูกเอ่ยขึ้นมาล้วนแต่มีชื่อเสียง มันเป็นชื่อของผู้คนที่ทำให้คนทั่วทั้งแผ่นดินจะต้องตกตะลึง พวกเขาทั้งหมดถือว่าเป็นยอดฝีมือที่เคยโจมตีภูเขาทองในอดีต
เสียงของหยวนเอ๋อยังคงเปล่งออกมาอย่างเสียงดังฟังชัดภายในห้องโถงใหญ่ หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็หันไปหายู่ฉางตงก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์พี่รอง ท่านได้เพิ่มชื่อไปหลายชื่อจริงๆ”
ยู่ฉางตงยิ้มกลับมา
หยวนเอ๋อได้พูดต่อ “ผู้อาวุโสจากสำนักหยุน จ่าวจี, ผู้อาวุโสสำนักหยุนซุนหง…” นี้คือรายชื่อทั้งหมดที่มาจากสำนักหยุน สำนักหยุนผู้นำของสามสำนักใหญ่จากดินแดนหยานทางตอนใต้นั่นเอง
ทุกๆ คนที่ได้ฟังมาถึงตรงนี้ต่างก็หัวใจเต้นแรงมากยิ่งขึ้น สามสำนักใหญ่ถือว่าเป็นสำนักที่แข็งแกร่งกว่าสิบสุดยอดสำนักซะด้วยซ้ำ ขนาดกองกำลังที่สามสำนักใหญ่มีไม่ใช่สิ่งที่สิบสุดยอดสำนักจะเทียบเคียงได้เลย
หลังจากนั้นไม่นานหยวนเอ๋อก็ได้อ่านชื่อสุดท้ายออกมา “ผู้อาวุโสคนที่สองแห่งสำนักลั่ว ชานหยุนเจิ้ง”
ทันทีที่ฮั๊วยู่จิงได้ยินรายชื่อนี้ ดวงตาของนางก็ได้เบิกกว้าง นางได้เดินโซเซไปที่ด้านหลังอย่างไร้เรี่ยวแรง