ชายชราผมสีขาวที่สวมใส่อาภรณ์สีขาวทั้งตัวกำลังเดินมาหาทุกคนจากดินแดนคุณธรรมแห่งสวรรค์ ชายคนนั้นได้เดินผ่านระยะทางกว่าหลายร้อยฟุตด้วยการก้าวเดินเพียงแค่ย่างก้าวเดียวเท่านั้น ทุกย่างก้าวที่ชายคนนั้นเหยียบย้ำผ่านจะมีวงกลมแห่งแสงปรากฏขึ้นมา เพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้นชายชราชุดขาวก็ได้ก้าวขามาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแรก
เหล่าสาวกจากทั้งสามสำนักต่างก็คุกเข่าก่อนที่จะทักทายชายชราคนนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ท่านปรมาจารย์!”
ในตอนนั้นเองก็มีชายสามคนพุ่งเข้าหาชายชราภายในพริบตาเดียว ทั้งสามคนนั้นล้วนแต่ใช้สุดยอดเคล็ดวิชาเพื่อที่จะมาถึงชายชราให้เร็วที่สุด ทั้งสามได้คุกเข่าทันทีที่มาถึง “ข้าเจ้าสำนักหยุนคนปัจจุบัน หยุนวู่จีขอคารวะท่านปรมาจารย์”
“ข้าเจ้าสำนักเทียนคนปัจจุบัน หนานกงเหว่ยขอคารวะท่านปรมาจารย์”
“เจ้าสำนักลั่วคนปัจจุบัน เฟิงอี้จือขอคารวะท่านปรมาจารย์”
ผู้ฝึกยุทธทั้งสามคนที่เพิ่งจะปรากฏตัวออกมาก็คือผู้นำคนปัจจุบันของทั้งสามสำนักนั่นเอง การที่พวกเขาจะไม่ปรากฏตัวออกมาเพื่อทักทายปรมาจารย์ของตัวเองในขณะที่เหล่าสาวกทั้งหมดได้ทักทายไปหมดแล้วมันเป็นเรื่องที่ผิดมารยาทจนเกินไป
ชายชราในชุดขาวผู้ที่มีหนวดเครายาวประมาณหนึ่งฟุตที่ได้ใช้พลังฝ่ามือซัดแก้มของเหล่าสาวกจากในระยะไกล ชายคนนี้ก็คือปรมาจารย์แห่งสามสำนักหยุนเทียนลั่วนั่นเอง เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ลู่โจวรู้สึกว่าควรค่าที่จะพูดคุยในสามสำนัก
หยุนเทียนลั่วโบกขนของตัวเอง ในตอนนั้นพลังฝ่ามือทั้งสามก็ได้พุ่งเข้าใส่หยุนวู่จี, หนานกงเหว่ย และเฟิงอี้จือ
ผั๊วะ! ผั๊วะ! ผั๊วะ!
พลังฝ่ามือที่ถูกปล่อยออกมาถูกปล่อยออกมาอย่างแม่นยำ ผู้นำสำนักทั้งสามไม่แม้แต่จะพยายามที่จะหลบหลีกพลังการโจมตีนี้ ทุกๆ คนล้วนแต่ถูกตบหน้าแต่โดยดี แก้มของเจ้าสำนักทั้งสามต่างก็มีรอยแดง มันเป็นรอยที่ดูคล้ายกับถูกพลังความร้อนซัดเข้าใส่ ไม่ใช่ว่าเหล่าเจ้าสำนักจะไม่สามารถหลบการโจมตีหรือตอบโต้ได้ แม้ว่าจะมีสถานะสูงส่งแค่ไหนแต่ถึงแบบนั้นก็ไม่มีใครกล้าตอบโต้ต่อหน้าปรมาจารย์ของตัวเอง
เหล่าสาวกจากทั้งสามสำนักต่างก็สับสน พวกเขาไม่รู้เลยว่าปรมาจารย์คนนี้ได้ลงโทษพวกเขาเพื่ออะไร
หยุนเทียนลั่วไม่แม้แต่จะไยดีในขณะที่พูดต่อ “พวกเจ้ากล้าดียังไงไม่ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติของข้ากัน ฮะ?”
และเพราะคำพูดเพียงแค่ประโยคเดียวเหล่าสาวกจากทั้งสามสำนักก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว พวกเขารู้แล้วว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าแท้จริงแล้วยิ่งใหญ่และทรงอำนาจมากแค่ไหน แม้แต่ผู้ที่เป็นปรมาจารย์ของพวกเขาเองก็ยังปฏิบัติต่อศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างสุภาพ
“พวกเราผิดพลาดไปแล้ว ท่านปรมาจารย์ได้โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย!” เหล่าผู้นำจากทั้งสามสำนักต่างก็ก้มศีรษะลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งสามรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป แต่หยุนเทียนลั่วไม่ได้สนใจอะไร ตัวเขาได้ก้าวไปที่ด้านหน้าต่อ
เมื่อเห็นแบบนั้นเล้งลั่วและฝานลี่เทียนก็ได้คารวะให้กับหยุนเทียนลั่วก่อนที่จะหลีกทางให้กับชายชราคนนี้
เมื่อเดินไปได้เพียงสิบก้าวหยุนเทียนลั่วก็ได้ขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมา “พี่จี ตอนนี้ท่านก็แก่มากแล้ว เหตุใดท่านถึงเลือกที่จะมาที่นี่แทนที่จะอยู่บนหุบเขาของท่านกัน?”
“หยุนเทียนลั่ว เจ้าน่ะก้าวขาข้างหนึ่งไปในโลงศพแล้ว ถ้าหากข้ามาช้ากว่านี้เจ้าจะต้องเหลือแต่กองกระดูกแน่” ลู่โจวได้สะบัดแขนเสื้อของตัวเองก่อนที่จะบินออกมาจากรถม้า ตัวเขาได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะบินข้ามตัวของหยุนเทียนลั่วไป
สีหน้าของหยุนเทียนลั่วได้เปลี่ยนแปลงไป ตัวเขาได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านดูอ่อนกว่าวัย ข้าไม่คิดเลยว่าข้าจะสามารถทนอยู่แบบนี้ได้อีก”
ลู่โจวเอามือข้างหนึ่งไว้ข้างหลังเช่นเดิม ก่อนที่จะใช้มืออีกข้างลูบไปที่เคราของตัวเอง “แล้วข้าจะไม่ได้รับการต้อนรับอะไรเลยอย่างงั้นหรอ?”
หยุนเทียนลั่วโบกมือ “ข้าดีใจจริงๆ ที่สหายเก่าแบบท่านกลับมาเยี่ยม ข้าต้องขอโทษแทนเหล่าสาวกของข้าจริงๆ ที่ดูแลท่านเช่นนี้” หยุนเทียนลั่วได้พูดออกมาในขณะที่โค้งคำนับให้กับลู่โจวไป
เหล่าสาวกที่เห็นแบบนี้ต่างก็หวาดกลัว ทุกคนไม่เคยเห็นปรมาจารย์ของพวกเขายอมก้มหัวให้กับใครมาก่อน และยังเป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ทางนี้” หยุนเทียนลั่วทำท่าทางเชื้อชวนออกมา
ลู่โจวยอมตอบรับข้อเสนอแต่โดยดีก่อนที่จะเดินตามไป เล้งลั่วและฝานลี่เทียนได้ตามหลังพวกเขาทั้งคู่ไปติดๆ
“ท่านอาจารย์ข้าเองก็อยากไปเช่นกัน” หยวนเอ๋อเองก็อยากที่จะลงไป นางรู้สึกเบื่อแล้วที่จะต้องอยู่บนรถม้า หยวนเอ๋อรีบบินลงมาก่อนที่จะบินไปหาตัวของลู่โจว
หยุนเทียนลั่วได้จ้องมองไปที่หยวนเอ๋อครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวชมเชยออกมา “เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมมาก…การจะหาคนแบบนี้เจอได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
หยวนเอ๋อที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้หัวเราะคิกคักก่อนที่จะบินไปหาลู่โจว
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าเองก็สั่งสอนศิษย์ต้องหลายคนไม่ใช่หรอไงกัน?”
หยุนเทียนลั่วหัวเราะก่อนที่จะตอบกลับ “แต่น่าเสียดาย พวกเขาทั้งหมดยังอยู่อีกไกลศิษย์ของท่านมาก”
“มันเป็นเพียงแค่ความแตกต่างของสำนักฝ่ายธรรมะและสำนักฝ่ายอธรรมเท่านั้น” ลู่โจวตอบกลับ
“ข้าเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน”
เมื่อทุกคนเดินมาถึงโต๊ะหินและม้านั่งที่ถูกตั้งเอาไว้ที่ใจกลางดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ลู่โจวและหยุนเทียนลั่วก็ได้นั่งลง คนอื่นๆ ที่ตามมาได้แต่ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยความเคารพเพียงเท่านั้น
หยุนเทียนลั่วได้จ้องไปที่เล้งลั่วและฝานลี่เทียนก่อนที่จะมองหาไปที่ฮั๊ววู่เด๋าที่ยืนอยู่ห่างออกไป ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้พูดขึ้น “พี่จีมีธุระอะไรกัน อะไรกันที่พาให้ท่านมาถึงที่นี่ได้?”
เหล่าสาวกของสำนักลั่วได้เสิร์ฟชาและผลไม้ให้กับลู่โจวและหยุนเทียนลั่วในระหว่างการสนทนา และเมื่อเห็นสาวกคนนั้นหยุนเทียนลั่วก็ได้โบกมือขึ้น
พรึ๊บ!
ของว่างและชาได้กระแทกไปที่หน้าของสาวกคนนั้น
“สามหาว!”
สาวกสำนักลั่วได้คุกเข่าลงในทันที ตัวเขากำลังสั่นกลัวจนไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวต่อ
หยุนเทียนลั่วได้พูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ได้โปรดยกโทษให้กับสาวกที่ไม่เอาไหนของข้าด้วยพี่จี…เด็กๆ มักจะไม่รู้ธรรมเนียมบ้างเป็นเรื่องธรรมดา”
ในระดับที่พวกเขาทั้งคู่อยู่ อาหารว่างอย่างผลไม้และชาไม่ใช่ของที่เหมาะสมที่จะเสิร์ฟให้อีกต่อไป
ลู่โจวไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ตัวเขาได้พูดกลับไป “ไม่เป็นไรหรอก ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะหาเจ้า ข้าไม่ได้ต้องการเห็นเจ้าสั่งสอนสาวกของตัวเองหรอกนะ”
“ท่านพูดถูกแล้ว”
“งั้นพวกเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”
“เป็นความคิดที่ดี” ทั้งสองคนต่างก็พูดคุยสบตากัน
การสนทนาของยอดคนทั้งสองทำให้เหล่าสาวกทุกคนรวมไปถึงผู้ที่อยู่ที่นี่ต่างก็อยากรู้อยากเห็น ทุกคนล้วนแต่สงสัยเหมือนกันว่าสองคนนั้นจะคุยอะไรกัน อะไรที่สำคัญมากพอจนทำให้ปรมาจารย์ทั้งสองจะต้องมาเจอหน้ากันแบบนี้
เล้งลั่วได้โบกมือของตัวเอง ในตอนนั้นม่านพลังก็ได้ล้อมรอบกั้นขวางพวกเขากับเหล่าฝูงชนเอาไว้
เมื่อเห็นแบบนั้นเหล่าสาวกของสามสำนักต่างก็รู้สึกผิดหวัง พวกเขาทุกคนทำได้แค่เพียงมองอยู่ห่างๆ จากภายนอกเท่านั้น แม้แต่ผู้นำสำนักทั้งสามเองก็ยังไม่ได้แตกต่างอะไรกับเหล่าสาวก
“เจ้าเหลือเวลาอีกแค่ 30 ปีก่อนที่จะถึงขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่สินะ?” ลู่โจวได้ถามออกมา
หยุนเทียนลั่วที่ได้ฟังแบบนั้นถอนหายใจ “ก็คงจะประมาณนั้น…ดูเหมือนว่าข้าจะมีเวลาน้อยกว่าท่านแล้วสินะ พี่จี” แม้ว่าหยุนเทียนลั่วจะเก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษ แต่บางครั้งตัวเขาก็ได้ยินข่าวในโลกยุทธภพมาบ้าง
ลู่โจวไม่ได้ปฏิเสธความจริงนี้ จากข่าวลือที่ถูกพูดกันทั่วทั้งยุทธภพ ลู่โจวอาจจะถึงขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่วันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่มีอะไรน่าแปลก แต่สำหรับตัวเขานั้นมันไม่ใช่แบบนั้นเลย ดังนั้นลู่โจวจึงพยักหน้าตอบกลับไปตามความเป็นจริง “ถูกต้องแล้ว”
“แล้ว…พี่จีมาที่นี่ก็เพื่อที่จะหาวิธีขยายขีดจำกัดที่จะมาถึงอย่างงั้นสินะ?” หยุนเทียนลั่วได้ถามออกมา หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้แต่ส่ายหัว “พี่จี ท่านจะต้องล้อข้าเล่นแน่ ถ้าหากท่านไม่มีคำตอบข้าเองจะไม่มีคำตอบได้ยังไงกัน?”
“เจ้ากำลังที่จะฝึกฝนตัวเองให้ไปถึงขั้นที่เก้าให้ได้อย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวถามออกมาในขณะที่ลูบเคราของตัวเอง
“ข้าได้ตัดใจไปแล้ว” หยุนเทียนลั่วถอนหายใจก่อนที่จะพูดต่อ “ก่อนที่ข้าจะถึงขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ ข้าก็ได้สูญเสียแก่นแท้แห่งเลือดไปเกือบ 70 ปีแล้ว หลังจากนั้นพลังวรยุทธที่ข้ามีก็ถดถอยลงไปเป็นอย่างมาก ข้าไม่มีโอกาสที่จะได้ฝึกตัวเองเพื่อที่จะไปถึงขั้นที่เก้าได้อีกต่อไป”
เล้งลั่วและฝานลี่เทียนต่างก็สบตากัน ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นพูดต่อ “เจ้าเคยคิดไหมว่าการจะฝึกฝนตัวเองให้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้จะเริ่มมาจากการที่จะทำให้อายุขัยของตนลดลง?”
หยุนเทียนลั่วขมวดคิ้ว แต่ถึงแบบนั้นดวงตาของเขากลับดูสว่างไสวขึ้นมา การเคลื่อนไหวของเขาดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ตัวเขาเคยใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะพยายามมองหาคำตอบแค่ไหนก็ไม่มีใครเลยที่จะช่วยหยุนเทียนลั่วได้ ถ้าหากมีคนที่พอจะมีโอกาสฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่เก้าได้ คนคนนั้นก็จะต้องเป็นจีเทียนเด๋าไม่ผิดแน่ ตัวเขารู้สึกสนใจในสิ่งที่ลู่โจวพูดมาเป็นอย่างมาก “แล้วพี่จีได้ลองดูแล้วรึยัง?”
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะตอบกลับไปอย่างเยือกเย็น “ข้าเคยลองมาแล้ว”
“พลังชีวิตของข้าได้หมดลงไปอย่างรวดเร็ว บางที…ข้าอาจจะต้องกลายเป็นกรวดทรายไปในวันรุ่งขึ้นก็เป็นได้ ใครจะไปรู้กัน?” ลู่โจวได้แอบพูดเหน็บแนมตัวเอง
เล้งลั่วและฝานลี่เทียนตกใจมากที่ได้รู้ความจริงเรื่องนี้ เมื่อทั้งคู่ฟังชายชราทั้งสองที่เพิ่งจะพูดกันไป ทั้งคู่ก็เหมือนกับได้เปิดประตูแห่งชีวิตบานใหม่ได้ แต่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นประตูบานใหม่ แต่ภายในนั้นกลับไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดมิด
หยุนเทียนลั่วเองตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นตัวเขาก็ถอนหายใจออกมา “ไม่ต้องห่วงไปหรอกพี่จี บางทีข้าเองอาจจะตามท่านมาทันแล้วก็ได้”